ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๑๓
สนทนาธรรมที่ สำนักงานเขตพระโขนง
วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตกย่อย เราก็เข้าใจว่าเป็นตัวเราทั้งหมดเลย แต่ถ้าย่อยออกไปเป็นทีละส่วนละส่วนละส่วน ไหนเรา ตาเป็นตา แขนเป็นแขน ขาเป็นขา แขนขาดไม่ใช่ขาขาด แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ก็เป็นแต่ละส่วน ซึ่งมีจริงๆ ซึ่งท้ายที่สุดลองคิดดูว่าจริงไหมที่ว่าไม่มีเรา มีสิ่งที่มีจริงๆ เท่านั้น แต่ว่ารวมกันแล้วก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ดอกไม้ก็แยกออกไปได้ โต๊ะก็เอาไปฟันให้ละเอียดยิบแตกย่อยให้หมดก็ไม่เหลืออะไร เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเพียงมีแล้วก็หมดไป ชั่วคราวใช่ไหม แม้แต่เกิดแล้วก็ต้องตาย ตายแล้วเป็นเราหรือเปล่า ตายแล้วไม่ใช่เรา แต่ยังไม่ตายเป็นเรา เป็นตัวเรา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราไม่เคยเข้าใจความจริงที่จะละคลายความยึดมั่น ซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะไม่รักใครเกินกว่าตัวเอง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็รักมากใช่ไหม ดูแลอาบน้ำ แต่งตัว ตั้งแต่เช้าทุกวัน
ผู้ฟัง สองข้อ มีข้อหนึ่ง ต้องทำอย่างไรถึงจะตัดจากกิเลสได้ หรือไม่ก็ทำให้ลดน้อยลงไป และอีกข้อหนึ่ง วิธีปฏิบัติตัวในการที่จะไม่ทำให้หลงลืมสติ
ท่านอาจารย์ มีกิเลสเพราะอะไร เห็นไหม ไม่ใช่อยู่ดีๆ ใครเขาก็จะไปตัดได้ แต่กิเลสมีเพราะอะไร ต้องตัดสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดกิเลส กิเลสถึงจะหมดได้ ไม่ใช่มีเราไปตัดกิเลส ลองเปรียบเทียบดู คำสอนคำพูดไหนถูกต้อง ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดกิเลส แต่จะมีตัวตนไปตัดกิเลส จะสำเร็จไหม การฟังธรรมจึงต้องละเอียด เพราะเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ ธรรมในพระศาสนาที่ตรัสรู้โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดอย่างยิ่ง คนฟังต้องรู้ประโยชน์ว่าเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วอยากจะหมดกิเลส ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วกิเลสอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าอะไรตัดกิเลส และกิเลสคืออะไร เห็นไหม ต้องตั้งต้นอย่างละเอียดมาก ไม่ใช่ว่ามีเราจะไปตัดกิเลส ทำไมอยากตัดกิเลส กิเลสไม่ดีหรือ หรืออย่างไร แล้วกิเลสเกิดจากอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง หายากยิ่งที่ใครจะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้เลย ทั้งๆ ที่ปรากฏทุกวัน เหมือนอยู่ในความมืดสนิท อยู่ไปวันๆ เห็นไปวันๆ ชอบไปวันๆ คิดไปวันๆ แล้วก็ตายจากโลกนี้ไป ไม่มีการรู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว อยู่ทุกวันจะตายวันไหนก็ได้ โดยที่ว่าไม่รู้มาเลยว่าแท้ที่จริงแล้วคืออะไร ถ้าเป็นเราตายก็ไม่มีเรา ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่มีเราเกิด แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย สิ่งที่มี มี แต่ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม เล็บเมื่อสักครู่นี้ถ้ายังอยู่ที่ตัว ก็เป็นเล็บของเรา พอตัดเล็บทิ้งออกไป ไหน เอาเราไปทิ้งหรือ
เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่มีอยู่ที่ตัว ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา ค่อยๆ ฟังนี่แหละถ้าไม่เข้าใจก็คือกิเลส แต่ฟังเข้าใจเมื่อใด เมื่อนั้นความเข้าใจไม่ใช่กิเลส เพราะฉะนั้นหนทางที่จะละกิเลสก็คือว่าเข้าใจ ความเข้าใจต่างหากละกิเลส ไม่ใช่เราละกิเลส เพราะฉะนั้นคำพูดใดๆ ที่เผิน ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนจะหลงเข้าใจว่าฟังง่าย ทำง่าย ทำได้ แต่ผิด ทำได้จริงๆ หรือ ทำได้จริงๆ ทำเดี๋ยวนี้ แล้วทำอะไรก็ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ แต่ให้ทราบว่า ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องละกิเลสไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังจะมีปัญญาไหม จะเอาตัวเราไปละกิเลสได้อย่างไร เราตามกิเลสมานานแล้ว ตามมาตั้งแต่เกิดทุกวัน แล้วก็จะคิดไปละกิเลส ด้วยความเป็นตัวตนที่จะไปละ เป็นไปไม่ได้ เพราะตามกิเลสตลอด
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นทำไม่ได้ ไม่มีใคร แต่เข้าใจสิ่งที่มีให้ถูกต้อง แต่ถ้ามีคนบอกว่าทำอย่างนี้แล้วจะดับกิเลส เชื่อเขาไหม เขาไม่ให้เราเข้าใจอะไรเลยสักอย่างเดียว แต่บอกให้ทำ ก็ตัวเราเก่ง ดับกิเลสได้แล้วจริงหรือ กำลังทำนั่นแหละเป็นกิเลสแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องฟังจริงๆ แต่ละคำถึงได้ เมื่อสักครู่นี้มีหลายคำถาม แต่แม้แต่คำถามแรกก็ต้องมีความเข้าใจก่อน แต่ละคำด้วย ค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ไม่ใช่ของใคร มีปัจจัยเกิด เกิดแล้วก็หมดไป ดับไป คนตาบอดเห็นไหม ไม่เห็น คนหูหนวกได้ยินไหม แต่คนตาดีไม่ได้เห็นตลอดเวลา เดี๋ยวก็ได้ยิน เดี๋ยวก็คิด เพราะฉะนั้นเห็นก็ชั่วคราว ทุกอย่างชั่วคราวที่สั้นมากเพราะไม่รู้ จึงหลงว่าเป็นเรา แล้วก็ไปหาทางจะไปดับกิเลสได้อย่างไร ในเมื่อความไม่รู้ต่างหากซึ่งเป็นกิเลส นำมาซึ่งกิเลสทุกอย่าง ต้นเหตุของกิเลสอยู่ที่ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าจะละกิเลสก็คือค่อยๆ รู้เมื่อใด ความรู้ก็ละความไม่รู้ ซึ่งเป็นต้นเหตุของกิเลสทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจ และปัญญาละกิเลส ไม่ใช่ทำอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร แล้วถ้าคนอื่นเขาสอนเชื่อเลย แต่ไม่ใช่ปัญญาเลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นก็เป็นตัวตนซึ่งจะไปดับกิเลส แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะขณะนั้นก็เป็นกิเลส
ผู้ฟัง มีอีกข้อหนึ่งที่ว่าบอกว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร ในการที่จะไม่ทำให้หลงลืมสติ
ท่านอาจารย์ สติคืออะไร
ผู้ฟัง รู้ตัว
ท่านอาจารย์ รู้ตัว เดี๋ยวนี้รู้ไหม นั่งอยู่นี่รู้ไหมว่านั่ง รู้ตัวไหมว่านั่ง เห็นรู้ตัวไหมว่ากำลังเห็น
ผู้ฟัง รู้ตัว
ท่านอาจารย์ นั่นหรือสติ เพราะฉะนั้นใช้คำที่ไม่รู้จัก พูดคำที่ไม่รู้จักจนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงจะรู้ตัวธรรมแท้ๆ ซึ่งไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง และรู้ว่าธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของใคร ไม่เหมือนคำของใครทั้งหมด เพราะคำของคนอื่นไม่ใช่คำที่เกิดจากการตรัสรู้จากปัญญา เป็นคำที่คิดเองพูดเอง ถามว่าสติคืออะไร ก็ตอบไม่ได้ ตอบได้แค่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกตัวเป็นสติหรือ แล้วทำอย่างไรจะไม่หลงลืมสติ ก็รู้ตัวแล้วอย่างไรว่านั่ง ถ้าเข้าใจว่าสติคือรู้ตัวว่านั่ง ก็รู้ตัวแล้ว หลงลืมตรงไหน เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าสติก็ไม่รู้จัก แต่พูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่นเกิดปัญญาของตนเอง ไม่ใช่ให้ปัญญาของพระองค์ไปดับกิเลสของใครๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องรู้ว่าก่อนฟังธรรมไม่เข้าใจอะไรทั้งหมดเลย แต่พอฟังแล้วเริ่มเข้าใจ เริ่มเข้าใจเพราะได้ฟังคำซึ่งเป็นธรรมสิ่งที่มีจริงจากการตรัสรู้
เพราะฉะนั้นแต่ละคำ อย่าเพิ่งคิดว่ารู้แล้ว เขาว่ามีสติไม่ใช่เลย ต้องมาบอกก่อนว่าสติคืออะไร ถึงจะรู้ว่าใช่สติหรือไม่ใช่สติ อย่างเมื่อสักครู่นี้บอกว่านั่งก็รู้สึกตัวเป็นสติ ไม่ใช่ ตั้งก็ไม่ได้ไม่มี ก็ไม่มี จะไปเอาอะไรตั้ง สติอยู่ไหน ตั้งตัวเองก็ไม่ใช่สติ เพราะฉะนั้นฟัง ฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่เราคิดเอง ถ้าเราคิดเอง เราก็ต้องไม่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ตรัสรู้จนนิพพาน ทุกคำมีคุณค่าที่จะทำให้เราได้เป็นผู้ที่เข้าใจความจริง มิฉะนั้นแล้วเราก็ไม่รู้ว่า เราเกิดมา อะไรจริง เพราะฉะนั้นฟังคำให้รู้ว่าคำใดที่ได้ฟังเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำใดไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คิดกันเอง ถ้ามีคนบอกให้ตั้งสติ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราไม่รู้ว่าสติคืออะไร และจะตั้งกันอย่างไร ไม่รู้ รู้จักสติหรือยัง ต้องตรง ธรรมต้องตรงจึงจะได้สาระ มิฉะนั้นเราก็จะเสียเวลา
ผู้ฟัง เวลาจะตั้งสติ ก็ต้องคิดถึงพระพุทธเจ้าก่อน จะได้ตั้งสติได้
ท่านอาจารย์ สติเป็นอย่างไร จะได้ตั้งได้
ผู้ฟัง ก่อนจะทำอะไรแล้วก็ต้องคิดๆ ก่อน คิดก่อนค่อยทำ
ท่านอาจารย์ และคิดเป็นเราหรือเป็นสติ เพราะฉะนั้นก็เป็นเราคิด ไม่ใช่สติ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็อธิบายให้ฟัง
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริง นี่ถูกต้องที่สุด คือผู้ฟังเริ่มรู้ว่าไม่เข้าใจ นี่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลยของการฟัง และจะได้ฟังแต่ละคำ แล้วเข้าใจไหม ก่อนอื่นสติก็มีแต่ไม่เคยรู้ เห็นไหม สติมีแต่ไม่เคยรู้ และยังเข้าใจว่าสติเป็นเราด้วยซ้ำไป เรามีสติ เราตั้งสติ แต่ตอนนั้นเราก็พูดกันแล้วใช่ไหม สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเกิดแล้วก็หมดไปดับไป แล้วก็หายไปเลย แล้วจะเป็นของเราหรือเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องตั้งต้นให้ตรง และให้ถูกว่า มีสิ่งที่มีจริงแน่นอน และสิ่งที่มีจริงต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่มี ค่อยๆ คิด เดี๋ยวนี้สิ่งใดปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่เกิดนี้ ใครทำให้เกิดขึ้น ไม่มีใครสักคน ได้ยินแล้ว ใครไปทำให้ได้ยินเกิด คิดแล้วใครไปทำให้คิดเกิด ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด ไม่ใช่มีเราไปทำ แต่ว่าแยกแล้วก็เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนั้นสิ่งนั้น ซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น สติเป็นกิเลสหรือเปล่า ไม่รู้ตอบไม่ได้ ใช่ไหม แต่ถ้ารู้แล้วก็สามารถที่จะบอกได้เข้าใจได้ ใครคิดว่าสติเป็นกิเลสบ้าง คิด คิดไปเถิด ผิดถูกก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่ความจริงจนกว่าจะเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นอะไร โต๊ะมีสติไหม ชุดขาวเป็นสติไหม ชุดขาวก็ไม่ใช่สติ ชุดขาวก็คือชุดขาว ต้องตรง เพราะฉะนั้นสติไม่ใช่ชุดขาว สติไม่ใช่ชุดเหลือง และสติก็ไม่ใช่เรา แค่นี้ก่อน สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชั่วคราว แม้สติก็ชั่วคราวด้วย ค่อยๆ รู้ในคำว่าสิ่งที่มีจริงก่อนว่า มีจริงๆ ไม่มีใครไปทำเลย แต่สิ่งนั้นเกิดแล้วมีปรากฏให้รู้ว่ามีจริง แล้วก็ไม่ใช่ของใคร
เพราะฉะนั้นตรงกับคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหลายเป็นอนัตตา ได้ยินคำว่าอนัตตาไหม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งหมดเลย คำนี้เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งนั้นมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี มีจริง แต่ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย ไม่มีเราเลยทั้งสิ้น ตั้งต้นอย่างนี้แล้วค่อยๆ เรียนเรื่องสิ่งที่มีจริงทีละหนึ่งทีละหนึ่งทีละหนึ่ง จริงๆ แล้ว สิ่งที่มีจริงต้องต่างกันมากเลยใช่ไหม แข็งเป็นกลิ่นหรือเปล่า หอมไหม กลิ่นเป็นกลิ่น แข็งเป็นแข็งใช่ไหม หวานเป็นเค็มหรือเปล่า หวานก็เป็นหวาน เค็มก็เป็นเค็ม แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ไม่เกิดก็ไม่ปรากฏว่าหวาน หวานแล้วก็ดับไป อย่างอื่นเกิดขึ้นแทนทันที เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าที่เกิดมาในโลกนี้ ชั่วคราว คือแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง มีจริงหมดเลย แยกออกไปแล้วก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร นี่คือเริ่มที่จะฟังธรรม
ผู้ฟัง คนเราเกิดมาไม่มีสติ เคล็ดลับจะทำอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ยังไม่รู้จักสติ
ผู้ฟัง เรารู้จักสติ
ท่านอาจารย์ เรารู้จัก เราก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
ผู้ฟัง เวลาเราจะคิดอะไร เราก็ต้องใช้สติคิด
ท่านอาจารย์ อย่างนั้นเราต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
ผู้ฟัง แล้วคนเกิดมาไม่มีสติ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน เราต้องฟังคำของคนอื่นไหม หรือว่าเราจะคิดของเราอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มีตั้งหลายคำ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์อธิบายมาแล้วกัน ฟังไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ อธิบายว่าอย่างนี้ อธิบายว่าสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ ถูกต้องไหม ก็ไม่ตอบ แปลว่ามีหรือไม่มีก็ไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่ปัญญา แต่ถ้าเป็นการที่จะค่อยๆ เข้าใจ ความเข้าใจเป็นปัญญา ก็ต้องค่อยๆ คิด แล้วก็เรื่องที่จะพูด ก็ค่อยๆ ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น มากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ตั้งตนขึ้นมาก็นี่เป็นรูป ไม่ใช่ แต่หมายความว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไหม มีอะไรไหม มีเสียง อย่างนี้แสดงให้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ คือเสียง ถ้าเสียงไม่เกิดมีเสียงไหม เห็นไหม นี่คือค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่เสียงก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามทั้งสิ้นที่มี สิ่งนั้นต้องเกิดจึงมี ถูกไหม ถ้าไม่คิดจะมีคิดไหม เป็นคนที่มีเหตุผล ไม่มี เพราะฉะนั้นคิดเกิดจึงมีคิด ถ้าคิดไม่เกิดก็ไม่มีคิด เลือกคิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าคิดไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา คิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บางคนคิดดี บางคนคิดชั่ว เริ่มจะถึงสติแล้ว บางคนคิดดี บางคนคิดชั่ว คิดชั่วมีสติไหม ไม่มี คิดดีมีสติไหม ก็ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย แต่ว่ายังไม่ละเอียดพอ แต่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เราเริ่มหัดคิด จะเป็นคนที่หัดมีเหตุผลไม่ใช่เชื่อใคร ไม่ว่าใครเขาบอก เราก็ฟังแล้วก็ตามไป แต่ว่าต้องเป็นคนที่คิดไตร่ตรอง และการคิดไตร่ตรองนี่เมื่อเป็นสิ่งที่เป็นจริงก็ถูกต้อง เพราะฉะนั้นความถูกต้อง ก็คือสิ่งที่จริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น เสียงหมดไปแล้ว เสียงใคร ไม่ใช่เสียงใคร ไม่ใช่เสียงของใคร เสียงเกิดแล้วเสียงก็หมดไป จะไปหาเสียงที่ไหนอีกก็ไม่ได้ จะบอกว่าเป็นของเราก็ไม่ได้ ของใครก็ไม่ได้ และไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง ทุกอย่างหมด แม้แต่คิด คิดแล้วก็หมดไป คิดเมื่อสักครู่นี้ก็หมดไป หมดไปแล้วจะไปหาคิดนั้นอีกที่ไหนก็ไม่ได้ ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าสิ่งที่มี มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีถูกไหม ค่อยๆ ฟัง ก็ต้องฟังจนกว่าจะเป็นความรู้ของตัวเอง ตอนนี้รู้แล้วว่า ถ้าอะไรไม่เกิดก็ไม่มี สิ่งที่มีนั้นคือสิ่งที่เกิดแล้ว เกิดแล้วชั่วคราวก็ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เคยได้ยินคำนี้ใช่ไหม แต่ไม่ได้คิดถึงคำนี้เลย พูดตาม เข้าใจนิดๆ หน่อยๆ อนิจจังคือไม่เที่ยง เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ไม่เที่ยง แต่ไม่เที่ยงยิ่งกว่านั้นคือทุกอย่างที่มีชั่วคราวมาก พอได้กลิ่นหมดแล้ว ไม่ใช่ทั้งวัน เห็นก็ไม่ใช่ทั้งวัน จำมีจริงไหม ถ้าไม่เกิดจะมีจำไหม มีไหม ถ้าจำไม่เกิดขึ้นจะมีจำไหม นี่คือเริ่มเป็นคนมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลจะฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เข้าใจ แต่ความมีเหตุผลคือปัญญาที่เริ่มตรง พอจะรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้วจึงปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริงว่าเกิดแล้วดับ ไม่เข้าใจในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าฟังเรื่องอื่นทั้งหมดก็ไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ เพราะยังคงยึดถือว่ายังมีสิ่งนั้นอยู่ ซึ่งความจริงสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับแล้วทันทีไม่เหลือเลย จริงหรือเปล่า เห็นไหม ไตร่ตรองไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้คิดก่อนว่าถูกไหม จริงไหม อะไรก็ตามปรากฏเพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สั้นมาก แต่สั้นมาก และสืบต่อกันทั้งวัน จนไม่รู้เลยว่า อะไรบ้างตั้งแต่เช้ามาที่เกิดแล้วดับแล้ว แต่ทุกอย่างที่เกิด เกิดแล้วดับแล้ว
เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว อนิจจังทุกขังสิ่งที่สั้นมากแสนสั้น และหายไปเลย จะนำความสุขมาให้อย่างไร เพราะไม่มี มีเพียงให้ติดข้องยึดถือว่ายังอยู่ แต่ว่าความจริงหมดแล้วไม่เหลือ เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีก ไม่ใช่ไปทำอะไร เพราะฉะนั้นไปทำอะไรที่จะให้หมดกิเลส ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย แค่วันนี้รู้ว่าสิ่งที่มีนี่เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แค่นี้ก็เริ่มเป็นความถูกต้องแล้ว และสิ่งที่เกิดบังคับบัญชาก็ไม่ได้ ไม่อยากให้ไฟไหม้ ไฟไหม้ได้ไหม ก็ไหม้แล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยากเจ็บปวด ก็เจ็บแล้ว เกิดแล้ว ปวดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจทีละนิดทีละหน่อยในสิ่งที่มีจริงในชีวิตทั้งหมด
ผู้ฟัง คำถาม พอดีได้ฟังบ่อยๆ กับคำพูดที่ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อันนี้รบกวนท่านอาจารย์ช่วยอธิบายคำนี้หน่อย
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำ สภาพธรรมหนึ่งที่กำลังปรากฏ หมายความว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงนั้นแหละ มีสภาวะ มีลักษณะของตน ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย เสียงเปลี่ยนเป็นแข็งไม่ได้ เสียงต้องเป็นเสียง แข็งเป็นรสไม่ได้ แข็งต้องเป็นแข็ง หวานก็มีภาวะลักษณะหวาน เป็นสภาวะของตนที่ต้องหวาน เป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาวธรรมเข้าใจแล้วไหม ธรรมซึ่งมีลักษณะจริงๆ เฉพาะของตนซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ค่อยๆ เข้าใจธรรมตามลำดับ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ นี่เริ่มเข้าใจถูกต้องทีละน้อยทีละน้อย แต่ไม่เปลี่ยนเลยตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย คำที่จริงแล้วเปลี่ยนไม่ได้ คำจริงต้องเป็นคำจริงตลอด เมื่อสักครู่ถามว่าสภาวธรรมที่ปรากฏใช่ไหม
ผู้ฟัง สภาพธรรมที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ สภาวะหรือสภาพเหมือนกัน ว กับ พ ใช้แทนกันได้ เพราะฉะนั้นภาษาไทยเราจะพูดว่าสภาพธรรม แต่ภาษาอื่นจะใช้สภาวธรรม ความหมายอย่างเดียวกัน ที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้อะไรที่ปรากฏจริงใช่ไหม มีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้น เห็นแข็งไหม ไม่เห็น เพราะแข็งเป็นสภาวะที่แข็ง รู้เมื่อกระทบสัมผัสแต่ไม่เห็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งจริงๆ น่าเหนื่อยไหม ไม่เหนื่อยก็ดี เพราะว่าธรรมจริงๆ แล้วเบาสบาย ค่อยๆ ได้ยินสิ่งซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อน แต่ละคำฟังแล้วก็ไม่ลืม จะฟังต่อไปก็เข้าใจอีกได้ พูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งนั้นเลย แต่สิ่งที่มีจริงขยายออกไปได้ ๔๕ พรรษา เพื่อให้เราเห็นจริงๆ ว่าไม่ใช่ของเรา เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็หมดไป ตอนนี้มีใครไม่รู้จักสภาวธรรมบ้างไหม หรือสภาพธรรม สิ่งที่มีลักษณะของตน แข็งเป็นแข็ง เสียงเป็นเสียงนี่แหละเป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
อ.คำปั่น จากคำถามที่ท่านอาจารย์ได้ถามว่ากิเลสเป็นสติหรือเปล่า จะให้ความเข้าใจอย่างไร อาจารย์อรรณพ
อ.อรรณพ กิเลสก็คือสิ่งที่ไม่ดีงาม เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดกับจิต แล้วก็ทำให้จิตนั้นไม่ดี ยกตัวอย่างกิเลสที่น่ากลัวที่สุดก็คือความไม่รู้ อย่างโจรเขามีความไม่รู้เยอะมากเลย ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ถึงไปปล้นคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นจะต้องประกอบไปด้วยความไม่รู้หรือว่าโมหะ แล้วบางทีก็มีความอยากได้ ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เป็นตัวหลักๆ ของกิเลส เพราะฉะนั้นจะละกิเลสได้ ก็ต้องละความไม่รู้ และสะสมความรู้ ที่จะเป็นไปเพื่อละกิเลส
อ.คำปั่น สติเป็นธรรมฝ่ายดี ก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี และธรรมฝ่ายดีจะไปเกิดกับธรรมฝ่ายไม่ดี ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะที่กิเลสเกิดขึ้น ความไม่รู้เกิดขึ้น ความติดข้องเกิดขึ้น ไม่มีสติ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เริ่มสะสมความจริงจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020