ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๙๙๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมบียอน รีสอร์ท จ.กระบี่

    วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม

    อ.วิชัย มีจิต

    ท่านอาจารย์ มีเจตสิกไหม

    อ.วิชัย มี

    ท่านอาจารย์ มีความรู้สึกอะไรไหม

    อ.วิชัย ก็มี

    ท่านอาจารย์ มีจำอะไรหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็มีด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขันธ์ไหนที่กำลังรู้

    อ.วิชัย เกิดแต่ว่ายังไม่รู้เลยสักขันธ์เดียว

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าปัญญารู้ได้ไหม

    อ.วิชัย ปัญญาสามารถเกิดรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ทีละหนึ่ง

    อ.วิชัย โดยรู้ขณะนั้นก็ไม่ต้องใส่ชื่อว่าเป็นขันธ์อะไร

    ท่านอาจารย์ แน่นอน รู้ขณะนั้นจะไม่ต้องพูดถึงอายตนะเลย เพราะว่าการที่สภาพรู้ที่เรากล่าวถึง เวลานี้ทุกคนไม่มีใครทั้งสิ้น แต่จิตเจตสิกคิดดู สภาพรู้หรือธาตุรู้กำลังเกิดขึ้นทำกิจการงานโดยตลอด ถ้าศึกษาพระอภิธรรม พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดถึงทุกขณะจิตว่าเกิดดับสืบต่อกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ แต่ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นลองคิดถึงขณะที่ลักษณะหนึ่งลักษณะใดปรากฏเพียงหนึ่งที่จะรู้รอบ ต้องเมื่อสิ่งนั้นปรากฏเพียงหนึ่ง ถึงจะไม่มีข้อสงสัยเลยในสิ่งนั้น ลองคิดถึงว่าถ้าลักษณะของธาตุรู้ปรากฏ โลกเป็นอย่างไร

    อ.วิชัย โลกก็จะมีเฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้นที่ปรากฏเท่านั้นให้รู้ อย่างอื่นไม่ปรากฏทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ แล้วจะปรากฏลักษณะของธาตุรู้เมื่อใด เมื่อไม่มีสิ่งอื่นปะปน เพราะฉะนั้นโลกมืดไหม เพราะธาตุรู้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธาตุรู้เกิดขึ้นรู้เท่านั้นเอง ในความมืดสนิทยิ่งกว่าปิดไฟ นั่นหมายความว่าสิ่งที่เรากล่าวถึงปรากฏทีละหนึ่ง ด้วยสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ เข้าใจธาตุรู้แต่ละหนึ่ง เช่น ขณะนี้เห็น ไม่ต้องขณะอื่น ขณะที่เห็นนี่เองเป็นสิ่งที่มีจริงที่เห็น สิ่งนั้นต้องมืดสนิท เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณทั้งหมด ทุกญาณทางมโนทวาร แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีทางปัญจทวาร แต่ความสั้นของปัญจทวารสักแค่ไหน เมื่อเทียบกับทางมโนทวาร

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าก็มีทั้งลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏทางปัญจทวาร แล้วก็มีทั้งสภาพของนามธรรมซึ่งเป็นมโนทวาร แล้วก็ยังมีสืบต่อไปอีกหลายๆ วาระต่อเนื่องกันใช่ไหม เพราะว่าเป็นวิปัสสนาญาณ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้นับถ้วนไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่ ๑ นาที เพียงแค่ลืมตาขึ้นมา นับถ้วนไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจะปรากฏอย่างไร ก็ต้องปรากฏในความมืดที่สั้นมาก สำหรับสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง

    อ.ธิดารัตน์ ถึงแม้จะแสนสั้น แต่ก็ขณะนั้นก็เป็นปัญญาที่มีลักษณะของธรรมปรากฏทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ปรากฏกับปัญญา ปัญญารู้ชัด ลืมไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ ปริยัติยังไม่ได้นึกถึงใช่ไหม แต่ว่าสภาพธรรมที่ปรากฏชัดเจน ลืมไม่ได้เลย

    อ.ธิดารัตน์ ถึงแม้เป็นสติปัฏฐานที่เริ่มรู้ลักษณะของธรรม ก็เริ่มเข้าใจ เพราะว่าต่างจากที่ไม่เคยระลึก

    ท่านอาจารย์ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ไม่ใช่ปฏิเวธ

    อ.ธิดารัตน์ ยัง

    ท่านอาจารย์ เพิ่งเริ่มถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง เริ่มถึง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ แค่ถึงนิดเดียว แต่ประกอบด้วยปัญญาไหม เพราะว่าทุกคนก็นั่งแล้วก็มีเห็น แล้วก็มีเสียง แล้วก็มีแข็งปรากฏ รู้ตรงไหน เห็นไหม นี่คือความต่างกัน ต้องเป็นผู้ตรง ถ้าไม่ตรงไม่รู้จักสติปัฏฐาน ไม่รู้จักสติสัมปชัญญะ แต่ขณะใดก็ตามที่สติสัมปชัญญะเกิด มีหรือที่ปัญญาจะไม่รู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ที่ฟัง แต่ว่ามีลักษณะซึ่งปรากฏเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ขณะนั้นมีการเข้าใจลักษณะนั้นตามกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้นเป็นปกติ

    อ.อรรณพ ความมืดของนามธรรม กับความมืดของสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างเช่น เสียงก็มืด เพราะว่าเสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็งก็มืด ความมืดของรูปอื่นๆ ที่ไม่ใช่สีสันวรรณะ กับความมืดของนามธรรม ปัญญารู้ต่างกันอย่างไรก่อน

    ท่านอาจารย์ ถึงแม้มืดสักเท่าใดก็ยังเป็นเรา ต่างกับมืดนั้นไม่ใช่เรา เป็นเราไม่ได้เลย ไม่เหลือความเป็นเรา เพราะเป็นธาตุรู้ แต่เวลาที่เราบอกว่ามืด เรารู้ใช่ไหมว่ามืดแค่ไหน แต่ว่าเวลาที่มืดนั้นไม่ใช่เรา เป็นลักษณะของธาตุที่เพียงเกิดขึ้นรู้ คิดดู รู้ในความมืดสนิท รู้ว่าไม่ใช่เรา ลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้

    อ.อรรณพ ถ้าสิ่งที่ปรากฏทางตามืด เช่น ขณะที่ไฟดับ ก็รู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นว่ามืด

    ท่านอาจารย์ เรา

    อ.อรรณพ เป็นเราในความมืดที่รู้ว่ามืด

    ท่านอาจารย์ มีเรา ไม่ใช่มีจิต แต่มีเรา

    อ.อรรณพ แต่ถ้าเป็นการรู้ลักษณะของสภาพนามธรรม โดยเฉพาะทางมโนทวาร จะเป็นปัญญาที่เข้าใจในลักษณะของสภาพรู้ที่มืด

    ท่านอาจารย์ วันนี้คุณอรรณพ ดับไฟให้หมดเลย พยายามคิดว่าธาตุรู้เป็นอย่างไร แม้ในความมืดก็คิดไม่ออก เพราะไม่ใช่ปัญญา

    อ.อรรณพ หรือว่าแม้ว่าจะเปิดไฟให้สว่างแค่ไหน ก็ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ ยังเป็นเราทั้งหมด

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่ปรากฏกับปัญญาอย่างชัดเจน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา

    อ.อรรณพ ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเป็นเราไปได้เลย เพราะการรอบรู้ในสิ่งนั้นรู้ชัดพอสิ่งนั้นปรากฏ เวลานี้เราพูดถึงจิต จิตไม่ได้ปรากฏ พูดถึงเจตสิก โลภะติดข้องก็ไม่ได้ปรากฏ โทสะขุ่นเคือง ลักษณะของโทสะก็ไม่ได้ปรากฏ เพียงแต่ว่าเหมือนเงา ของสิ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อ แต่ว่าตัวจริงไม่ปรากฏ เพราะมีแล้ว ไม่มี มีแล้ว ไม่มีอยู่ตลอดเวลา

    อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า วิปัสสนาญาณเป็นความรู้ชัด โดยเฉพาะสภาพนามธรรมทางมโนทวาร ทั้งๆ ที่ปัญจทวารก็มี แต่ว่าสั้นๆ ท่านอาจารย์โปรดอธิบาย

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณที่ ๑ คืออะไร

    อ.อรรณพ นามรูปปริเฉทญาณ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีนามธรรมปรากฏไหม

    อ.อรรณพ ต้องมีนามธรรมปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นนามธรรมที่ปรากฏ เป็นนามธรรมไม่ใช่เรา ต่างกับขณะนี้ไหม

    อ.อรรณพ แสดงว่าถ้าปัญญารู้แจ้งที่เป็นญาณที่ ๑ ก็ต้องเป็นการรู้ในลักษณะของนามธรรมซึ่งปรากฏอยู่เยอะมากกว่ารูปธรรมที่จะสลับปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เมื่อนั้นไม่สงสัยในความเป็นนามธาตุ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทั้งหมด ตั้งแต่คำแรกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ทั้งหมดที่ฟังไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ ก็คือให้รู้ความจริงอย่างนี้ เพราะว่าทุกอย่างมีจริงเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นญาณที่ ๑ ท่านถึงได้กล่าวว่า นามรูปปริเฉทญาณ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง

    อ.อรรณพ เดี๋ยวนี้ก็มีแต่โต๊ะ เก้าอี้ คน อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด

    ท่านอาจารย์ มีจิตไหม

    อ.อรรณพ มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าธาตุรู้ปรากฏ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏไหม

    อ.อรรณพ ไม่ปรากฎ

    ท่านอาจารย์ โลกหายไปหมด

    อ.อรรณพ เหลือแต่สภาพรู้เท่านั้น

    ท่านอาจารย์ น่าตกใจไหม

    อ.อรรณพ สลับกับความตกใจ

    ท่านอาจารย์ ได้ เพราะเหตุว่ายังมีความตกใจ แต่ปัญญาก็สามารถจะรู้ในลักษณะซึ่งเป็นธาตุรู้

    อ.อรรณพ แม้ปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะโดยเฉพาะสภาพรู้ แล้วทุกอย่างก็ไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ เหมือนเดิม เกิดดับ เกิดดับก็เหมือนเดิม ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

    อ.อรรณพ ก็ยังสลับกับความตกใจ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นอนัตตา มั่นคงไหม

    อ.อรรณพ คิดนึกด้วยความประหลาดใจ

    ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่มีความสงสัยในความเป็นอนัตตา เพียงแต่ว่าธรรมใดจะปรากฏ เลือกไม่ได้ บังคับไม่ได้

    ผู้ฟัง การอบรมเจริญปัญญา

    ท่านอาจารย์ อบรม ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แต่ว่าจะรู้ไหมว่า ขณะนั้นการละคลายเพิ่มขึ้นบ้างไหม ในชีวิตประจำวัน ไม่มีบารมีอะไรเลยหรือ อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาเป็น นามรูปปริเฉทญาณ หรือว่าเพราะกุศลเกิดมากขึ้น แล้วก็มีความอดทน ขันติบารมี ไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้น ฟังเพื่อเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มั่นคงในคำนี้ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดของความเป็นพระอรหันต์ ก็คือว่ารู้อย่างเดียว คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ว่าธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นใจของแต่ละคน สำนึกรู้สึกบ้างไหมว่า ได้ละคลายความไม่ดีอะไรไปบ้าง หรือยังเหมือนเดิม เพิ่มขึ้นบ้างไหม อกุศลเพิ่มขึ้นแน่ทุกวัน และดีเพิ่มขึ้นบ้างไหม หรือว่าเหมือนเดิมทุกวัน หรือว่าเพิ่มขึ้นอีกแม้นิดหน่อยก็รู้ว่าขณะนั้นเพิ่มขึ้น จากการที่ไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน ทำดียากหรือง่าย สำหรับคนไม่ดีก็ทำดียาก แต่ถ้าคนดีก็ทำดีไม่ยาก แต่ว่าที่จะเข้าใจความดี ไม่ใช่เพียงแค่ทำดี ก็ต้องยิ่งยาก

    เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่า วันนี้ทำดีหรือเปล่า ที่ผ่านมาแล้วกี่วันกี่วันดีขึ้นบ้างหรือเปล่า ถ้าดีขึ้นรู้สึกตัวว่าดีขึ้น ใช่ไหม แต่ก่อนเราทำอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราทำได้ แต่ก่อนใครพูดมา เราต้องตอบกลับทันที แต่เดี๋ยวนี้นิ่ง เข้าใจขึ้นบ้างไหม เห็นไหม ดีขึ้นบ้างไหม แค่นี้เห็นความเปลี่ยนแปลงไหมว่าอะไรมีประโยชน์กว่ากัน ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดอกุศลเพิ่มขึ้นลุกลามมากมายก็หยุดเสีย เขาหยุดไม่ได้ เราหยุดได้ไหม เห็นไหม บารมีหรือเปล่า จากสิ่งที่เคยทำไม่ได้ เป็นทำได้ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น การคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นก็สำคัญ โดยมากจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง แต่ถ้าเพื่อเขา ทำได้ไหม ถ้าทำได้เพิ่มขึ้น ขณะนั้นก็รู้ถึงการที่ว่าเป็นบารมี เพราะว่าได้มีความเข้าใจว่า ถ้ายังคงเป็นคนไม่ดีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ยังพอใจในความไม่ดีเสียด้วย ก็ยังคงมีความไม่ดีนั้นต่อไป

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงระดับขั้นของปัญญา ที่จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับนั้นเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เริ่มจากว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง วิชาการมีตั้งมากมาย แต่ว่าวิชาไหนหรืออะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือธรรมเป็นเรื่องที่ฟังแล้วต้องคิดไม่ใช่บอก เพราะฉะนั้นจากคำถาม ก็จะต่างคนต่างคิด ถ้าคิดตรงถูกต้องตามความเป็นจริง นั่นก็คือความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็เริ่มต้นด้วยคำว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง แต่ว่าสิ่งที่ควรรู้มีมากตลอดชีวิต แต่ทั้งชีวิตอะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ต้องคิด ไม่ใช่ให้บอก ถ้าบอกคิดหรือว่าจะเป็นปัญญา ก็เป็นเพียงแค่ความจำ แต่ขณะนี้มีเห็นแล้วก็ไม่รู้ มีคิดก็ไม่รู้ มีจำก็ไม่รู้ มีชอบก็ไม่รู้ มีโกรธก็ไม่รู้ ทุกอย่างมีแต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ถ้าจะตอบธรรมดา ก็ทุกสิ่งที่มีในชีวิตทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะฉะนั้นอะไรที่มีในชีวิต ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็มีคิดนึกควรรู้ยิ่งไหม เพราะทุกวันก็มีเท่านี้เอง เมื่อวานนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน ได้กลิ่นด้วย ลิ้มรสด้วย รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสด้วย คิดนึกด้วย หมดไปแล้ว พระอาทิตย์ตกสวยไหม เห็นไหม ควรรู้ยิ่ง หรือว่าสวยก็ไม่รู้ และสวยหมดไปแล้วก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นทุกวัน เมื่อวานนี้พระอาทิตย์ตกสวยมาก วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นสวยไหม ไม่เห็น แต่ลองคิดดู ก็มีแต่พระอาทิตย์ให้เห็น เดี๋ยวตกเดี๋ยวขึ้น สวยคิดดู ทุกวัน อยากเห็นทุกวันไหม เมื่อวานนี้พระอาทิตย์ตกสวยมาก อยากจะเห็นอีกหรือเปล่า อยากจะเห็นทุกวันไหม หรือว่าแค่วันเดียวก็พอแล้ว เพราะว่าลืมแล้ว เห็นอีกก็เป็นอย่างนี้ แค่เห็นแล้วก็ลืม ทันทีที่หันหลังกลับก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นทั้งหมดในชีวิต เกิดมาจนกระทั่งถึงจากโลกนี้ไป ก็ไม่รู้ แล้วก็ร่ำเรียนวิชาต่างๆ มากมาย แต่ว่าอะไรควรรู้ยิ่งกว่านั้น เพราะว่าจะเรียนอะไรก็ด้วยความชอบ เรียนไม่เก่งก็โกรธ มีแต่ความรัก ความชังในสิ่งที่ปรากฏตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยรู้ความจริงเลยว่านั่นเองเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ไปหาอย่างอื่นมารู้ คำนี้ว่าอย่างไร คำนั้นว่าอย่างไร แต่ลืมไปว่าภาษาที่เราจะเข้าใจธรรมได้ที่ดีที่สุดก็คือภาษาไทย เพราะฉะนั้นถ้าไปถามเด็กที่ไม่เคยรู้ความหมายของคำว่าปัญญา ถามว่าปัญญาคืออะไร เขาก็ตอบไม่ได้ หรือเขาก็ตอบตามความคิดของเขา แต่เขาจะเข้าใจคำซึ่งเป็นภาษาบาลีว่า ปัญญาหมายความถึง ความเห็นถูกความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี มีตลอดตั้งแต่เกิด แต่ว่าไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้นปัญญาคือความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ เริ่มเมื่อใดก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เมื่อฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วก็เข้าใจขึ้น ไม่อย่างนั้นเราก็รู้สึกว่าเราฟังธรรม เมื่อวานนี้เราฟังตั้งเยอะ แล้ววันก่อนนั้นอีก กลับไปถึงกรุงเทพ เราก็จะไปฟังธรรมอีกเสาร์อาทิตย์ เรื่องของเราฟังทั้งนั้นเลย แต่ความเข้าใจเริ่มเดี๋ยวนี้ก็ได้ ในขณะที่กำลังฟัง เพราะเหมือนกันหมด จะฟังที่นี่ หรือที่กรุงเทพ หรือที่ไหน สิ่งที่มีก็ไม่พ้นจากวันหนึ่งวันหนึ่งก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก ธรรมทั้งหลาย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้จริง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่เป็นธรรมทั้งหลายทั้งหมดหลากหลายมาก อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยไม่มีการเข้าใจอะไรเลย เป็นอย่างนี้มานานมาก

    เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังคำจริง ก็คือว่าได้ฟังแล้ว มั่นคงที่ว่า สิ่งที่มีขณะนี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร คือเริ่มที่จะอบรมสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก พอได้ยินได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ท่านพระสารีบุตรรู้เลย เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา ก็แน่นอนปัญญาที่ได้อบรมมาแล้วไม่ไปที่อื่นเลย ได้ยินคำไหน ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้ก็ต้องมีเดี๋ยวนี้อะไร เดี๋ยวนี้เห็น เดี๋ยวนี้ได้ยิน เดี๋ยวนี้คิด พูดอย่างนี้ตั้ง ๓ คำ เดี๋ยวนี้เห็น รู้ที่เห็นหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ได้ยิน รู้ที่ได้ยินหรือเปล่า เดี๋ยวนี้คิด รู้ที่คิดหรือเปล่า เปล่าเลย เพราะว่าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้รู้ตรงนั้น ไม่มีใครจะไปบังคับบัญชาได้เลยทั้งสิ้น จนกว่าการสะสมจากการฟัง เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ โน้มมาสู่การที่พูดถึงเห็น ก็รู้ตรงเห็นที่กำลังเห็น ไม่ใช่ตรงอื่นเลย พูดถึงสิ่งที่กำลังได้ยิน ก็ตรงได้ยินนั่นเอง แล้วก็รู้ว่าได้ยินคือเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นการที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม ก็ต้องเป็นปัญญาที่อบรมแล้วมาก จนกระทั่งสิ่งที่ปรากฏเป็นปกติ แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับ ก็จะปรากฏสภาพธรรมที่เป็นทีละหนึ่ง แล้วก็สามารถที่จะรู้ขณะที่เกิดขณะที่ดับ เมื่อนั้นเป็นเราหรือเปล่า เพราะว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นี่ก็คือความเข้าใจถูกความเห็นถูก จะใช้คำว่าปัญญาก็ได้ แต่ว่าถ้าใช้คำว่าปัญญาแล้วไม่รู้ว่าปัญญาคืออะไร กับใช้คำว่าความเห็นถูกความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ก็จะรู้ได้ว่า ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ จนกว่าเข้าใจมั่นคงว่า ปัญญาที่ใช้ในภาษาบาลี ก็หมายความถึง ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้จากการฟังเป็นเบื้องต้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าขณะที่พูดว่าเห็น ขณะนี้รู้ตรงเห็น แต่ก็ตามกำลังปัญญาของผู้นั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นว่า ไม่มีเรา แม้แต่ความเข้าใจเห็นในขณะที่เห็นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง

    ผู้ฟัง ถ้าหากว่าผู้นั้นเพิ่งจะอบรมเจริญปัญญา

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เพิ่งจะฟัง ก็จะรู้แค่เรื่องราวของเห็น

    ท่านอาจารย์ จริงไหม

    ผู้ฟัง จริง และเมื่อใดที่ปัญญาเจริญขึ้น ก็จะเป็นไปตามลำดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าปัญญาที่ได้เข้าใจแล้ว ค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งผู้นั้นจะสามารถรู้ด้วยตัวเอง ปัญญาก็คือว่าไม่ต้องถามใคร ใครบอก ก็เขาจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ปัญญาของเขา ต้องเป็นความตรงความจริงใจว่า มีความเข้าใจเห็นมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังก็จะไปฟังเรื่องอื่นทำไม มรรคมีองค์ ๘ ก็มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ แล้วจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเป็นแต่ชื่อที่เราเอามานั่งเรียก ได้แก่ปัญญาเจตสิก ได้แก่วิริยเจตสิก เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟัง ก็คือมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่าไม่ใช่เรา มีสิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน แต่สิ่งนั้นก็เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะเป็นของใครได้ในเมื่อไม่มี เป็นเรื่องปกติธรรมดา ค่อยๆ สะสมไปด้วยความเป็นปกติ

    ผู้ฟัง เรื่องมืด ถามว่ามืดในขณะที่เห็น ตัวเห็นก็มืด

    ท่านอาจารย์ คุณหมอทราบใช่ไหมว่า สภาพรู้ไม่ใช่รูปธรรม

    ผู้ฟัง ทราบ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีรูปร่าง ไม่แข็ง ไม่อ่อน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นเลย เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้แล้วดับ เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่ลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้ที่กำลังรู้ สว่างหรือมืด

    ผู้ฟัง สว่างด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ ไม่ ยังไม่ต้องไปคิดถึงปัญญาเลย สว่างด้วยปัญญา หมายความว่า อวิชชามาก และความเข้าใจนั้นก็คือปัญญาที่ค่อยๆ เห็นตามความเป็นจริง จะไม่เรียกว่าปัญญา จะไม่เรียกว่าแสงสว่าง จะไม่เรียกอะไรก็ได้ แต่หมายความว่า เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็คือเริ่มตั้งแต่เห็นปรากฏตามความเป็นจริงหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ ยัง แล้วก็ธาตุเห็นมีจริงๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเฉพาะธาตุรู้ ตัวธาตุรู้มืดหรือสว่าง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    28 ม.ค. 2568