ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๘๕

    สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นอย่างเยาวชนก็ได้รับการปลูกฝังมาอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ปลูกฝังให้เป็นคนมีเหตุผล หรือว่าต้องเชื่อ ถึงแม้ว่าจะได้รับการสั่งสอนให้เชื่อ แต่อุปนิสัยที่สะสมมาที่จะมีเหตุผล ก็สามารถที่จะไตร่ตรองได้ ไม่เช่นนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ท่ามกลางความเห็นผิด แต่คนที่เห็นผิดสะสมมาที่จะเข้าใจถูก และเป็นคนที่มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ซึ่งเป็นเหตุ และเป็นผล ให้คนรู้ความจริงว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าถูกปลูกฝังมาอย่างไร แล้วก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้สิ่งที่ถูกปลูกฝังมา ถูกต้องไหม ผิดหรือถูก แล้วถ้าเป็นสิ่งที่ผิดไม่เป็นประโยชน์ ควรจะกระทำต่อไปไหม ทุกคนเป็นหนึ่ง ไม่มีใครบังคับได้เลย จะคิดอย่างไร จะทำอย่างไร จะเชื่ออย่างไร เป็นอิสระไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ด้วยเหตุนี้แต่ละอัธยาศัย จึงเป็นผู้ที่รู้ว่าเป็นคนมีเหตุผลหรือเปล่า เป็นคนที่สะสมมาที่จะพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิดหรือเปล่า หรือเป็นคนที่ใครบอกอะไรก็ทำตาม ถ้าเป็นคนที่บอกอะไรก็ทำตามไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะพุทธะคือปัญญา ปัญญาต้องเป็นเหตุ และเป็นผล ต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด จึงจะเป็นชาวพุทธ

    เพราะฉะนั้นไม่มีธรรมเนียมที่ว่า ให้ชาวพุทธบวช หรือที่จะปลูกฝังกันมา เดี๋ยวนี้เราไม่พูดถึงอดีตเลย เสียเวลาที่จะกล่าวถึงอดีตผ่านพ้นไปแล้ว ไปแก้ไขอะไรได้ ณ วันนี้ตั้งต้นใหม่ ได้ยินคำที่ต้องพิจารณาแล้วว่าอะไรมีประโยชน์กว่ากัน ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ ต้องมีเหตุผล และต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอที่จะรู้ และสามารถที่จะไตร่ตรองว่าเป็นความจริง ซึ่งคนนั้นไม่เปลี่ยน ถ้าจะบอกว่าธรรมคืออะไร แต่ก่อนตอบไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ก็พูดเรื่องเป็นเด็กดี เป็นคนดี เป็นลูกที่ดี แต่คืออะไร ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจริงๆ จะตอบไม่ได้เลยว่าคืออะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่าคืออะไร แล้วแสดงความจริง

    เพราะฉะนั้นการที่จะถือว่า เมื่อเกิดเป็นผู้ชายแล้วต้องบวช โดยไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย ผิด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะไม่เป็นเหตุ และเป็นผล บวชทำไม ตอบได้ไหม ไม่รู้อะไร รู้ไหมว่าชีวิตของพระภิกษุต่างกับคฤหัสถ์โดยสิ้นเชิง จะทำทุกอย่างอย่างที่เคยทำที่เคยเป็นคฤหัสถ์ไม่ได้ รู้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้บวชอย่างไร ไม่ได้สละอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเป็นคนที่ตรง และก็กล้าหาญที่จะรู้ว่า จะมีชีวิตอย่างเดิม ไม่มีเหตุผล ไม่กล้า หรือเป็นผู้ที่เห็นว่าสิ่งใดมีประโยชน์ ชีวิตก็แสนสั้น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เสียตั้งแต่ ณ วันนี้ เพราะยังมีอีกมากมายนักซึ่งได้เคยทำมาแล้วที่ไม่เป็นประโยชน์ ที่จะต้องแก้ไข เพราะฉะนั้นอยากจะถามผู้ชายทุกคนที่อยู่ที่นี่ นักศึกษาจะบวชไหม เริ่มเป็นคนที่มีเหตุผล เพื่อที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เชื่อคำของคนอื่น

    ผู้ฟัง จากคำถามว่าจะบวชไหม ผมคิดว่าไม่จำเป็น ถ้าบวชแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม แต่ว่าถึงเราจะอยู่ในเพศของฆราวาส เราก็สามารถที่จะทำกิจของเรา และในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะเป็นผู้ที่จะศึกษาธรรม เพื่อให้เข้าใจธรรมได้ ไม่จำเป็นต้องไปบวชด้วยความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าถ้าไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ไม่มีประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องบวช

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ จะบวชทำไม ถ้าไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นประเพณีที่ว่าชาวพุทธที่เป็นผู้ชายต้องบวช ไม่ใช่ประเพณีที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นประเพณีใดๆ ก็ตามที่เคยมีมานานแล้ว ควรจะได้พิจารณาให้เข้าใจถูกต้องว่า อะไรถูกอะไรผิด ไม่อย่างนั้นเราไม่มีการแก้ไขเลย เราก็ทำสิ่งที่ผิดต่อไปใช่ไหม แต่ถึงเวลาหรือยังที่ชาวพุทธผู้ที่เข้าใจธรรม แล้วรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตื่นขึ้นอย่างคุณอภิวิชญ์ที่จะได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าความถูกต้องถูก และความผิดต้องผิด ถ้าไม่เข้าใจธรรมแล้วบวชทำไม ไม่ใช่ว่าตามประเพณีว่าต้องบวช เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ เมืองไทยซึ่งกล่าวว่าเป็นเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นผู้ที่เริ่มเห็นความจริงที่ต้องเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการประพฤติปฏิบัติที่เป็นประเพณีเก่าๆ ก็จะต้องพิจารณาแก้ไขให้ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วก็เป็นผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธแน่นอน

    อ.คำปั่น และที่สำคัญการที่จะทดแทนพระคุณของบิดามารดาไม่ใช่การบวช แต่ว่าเป็นการตั้งใจประพฤติตนเป็นคนดี ดูแลท่านให้ดีที่สุด ทำกิจแทนท่าน ทำสิ่งที่เหมาะควร เวลาที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลรักษาปรนนิบัติ นี่คือสิ่งที่สามารถที่จะกระทำได้ เป็นประโยชน์แก่ท่านอย่างยิ่ง แต่ถ้าไปบวชแล้วกิจเหล่านี้ยังจำกัดด้วยพระวินัย เพราะฉะนั้นเป็นคฤหัสถ์ที่ดี ดูแลตอบแทนพระคุณบิดามารดา สามารถที่จะกระทำได้ แล้วก็ทำได้อย่างดีที่สุดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเป็นคนดี แล้วก็เข้าใจธรรม ลูกคนใดที่เข้าใจธรรม แล้วก็สามารถที่จะเกื้อกูลให้ผู้ที่เป็นบิดามารดาได้เข้าใจด้วย นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เป็นการตอบแทนพระคุณที่ประเสริฐที่สุด

    ท่านอาจารย์ และการที่จะทดแทนคุณของผู้ที่มีคุณคือ มารดาบิดา หรือใครก็ได้ ทำได้ทุกวัน ทุกโอกาส ไม่ต้องคอย ไม่ต้องรอ จะไปบวชแทนคุณใครเลย เพราะว่าไม่รู้ว่าบวชแล้วทำอะไร แล้วก็ทำไมต้องบวช ไม่ได้แทนคุณใครเลยทั้งสิ้น แต่การที่ชีวิตประจำวันประพฤติเป็นไปในทางที่ถูกต้องในทางที่สมควร ทำสิ่งที่ดีเมื่อใด เป็นการแทนคุณบุคคลผู้ที่ต้องการให้เราดี พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกดี ถึงอย่างไรอย่างไรก็ตามแต่ จะมีความรู้มีความสามารถมีอะไรก็ตาม แต่ก็พ่อแม่ก็ยังอยากให้ลูกเป็นคนดี ไม่ใช่เพียงแต่มีความรู้แล้วก็เป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าความดีจะแทนคุณของผู้ที่ได้ทำคุณต่อเราได้

    อ.อรรณพ ทีนี้ก็จะให้อาจารย์คำปั่นได้กล่าวถึง หน้าที่ของผู้ที่เป็นบุตรต่อมารดาบิดา ซึ่งเป็นมงคลข้อหนึ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้

    อ.คำปั่น ถ้ากล่าวถึงหน้าที่ของผู้ที่เป็นบุตรธิดาที่จะพึงกระทำต่อบิดามารดา ก็มีแสดงไว้ในสิงคาลกสูตร ซึ่งก็มีแสดงไว้ว่าผู้ที่เป็นบุตรธิดา เมื่อรู้ว่าผู้ที่เป็นบิดามารดา มีคุณอย่างไร ก็ตอบแทนพระคุณของท่านดังนี้ ก็คือ ๑ ท่านเลี้ยงเรามา ก็ต้องเลี้ยงท่านตอบ ดูแลท่านอย่างดี ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ประการที่ ๒ ก็คือทำกิจแทนท่าน เมื่อท่านมีภาระหน้าที่อะไร ที่เราสามารถที่จะแบ่งเบาช่วยเหลือท่านได้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ประการที่ ๓ ก็คือดำรงวงศ์ตระกูล อันนี้เป็นการกระทำที่เหมาะควร เป็นการทำความดี อย่างเช่น ถ้าครอบครัวพ่อแม่เป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีการฟังธรรมศึกษาธรรม ก็คล้อยตามนั้นดำรงความถูกต้อง ดำรงในคุณความดี ถ้าผู้ที่เป็นบิดามารดามีความเห็นผิด มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็สามารถที่จะทำให้ท่านดำรงอยู่ในความถูกต้องได้ ด้วยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ประการที่ ๔ ก็คือทำตนให้เหมาะสมที่จะได้รับทรัพย์มรดก ไม่ใช่ว่าหวังสิ่งตอบแทน แต่ว่าทำกิจที่ควรทำ และประการสุดท้าย ก็คือเมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็คือไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว ก็ทำความดี และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน นี่คือสิ่งที่ควรทำ และก็ทำได้ทุกโอกาสทุกเมื่อไม่ต้องรอด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่คิดเอง ใครก็คิดได้ ต่างคนต่างคิดไม่ใช่ แต่ผู้ที่จะเข้าใจความจริงทั้งหมดโดยตลอดถึงที่สุด คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงความจริงไว้ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาว่า ไม่มีการที่จะกล่าวว่าให้บวชแทนคุณ เพราะอะไร เพราะว่าถ้าผู้นั้นไม่ได้สะสมอัธยาศัยที่จะสละอาคารบ้านเรือน สามารถที่จะมีชีวิตที่ละสละความสะดวกสบาย ความสนุกสนานทั้งหมด ดำรงเพศอยู่ด้วยการที่อุทิศชีวิตทั้งหมดต่อการที่จะศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏ และการบวชนั้นไม่ใช่การบวชตามธรรมวินัย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นการบวชตามธรรมวินัย ต้องศึกษาพระธรรม และประพฤติตามพระวินัย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็คือว่า ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ซึ่งเป็นโทษ

    สนทนาธรรมที่โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

    วันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

    ผู้ฟัง ก่อนอื่นจะขอให้ท่านอาจารย์กล่าวถึง พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญก็คือว่าเราต้องคิดถึงว่า ความจริงทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ก็คือว่าทุกคนจะจากโลกนี้ไปเมื่อใด ไม่มีใครรู้ได้เลย เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิตทั้งหมดตั้งแต่เกิดมาอยู่ที่ไหน เราก็สนุกสนานรื่นเริงมีความสุขทุกข์มาแล้ว แล้วก็หมดแล้ว ไม่เห็นเหลือเลย แล้วก็จะจากโลกนี้ไป โดยไม่ได้เข้าใจความจริง แล้วก็ไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการฟังคำของพระองค์ ซึ่งแต่ละคำลึกซึ้งมาก อย่าลืม ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องไม่เหมือนใคร คำพูดทุกคำของพระองค์ต้องต่างจากคนอื่น เพราะเหตุว่ามาจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม โดยอาศัยการบำเพ็ญพระบารมี คือคุณความดีซึ่งยากแสนยาก ที่ใครจะทำได้อย่างนั้น นานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป กว่าจะรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งดูเป็นธรรมดา แต่ไม่มีใครรู้เลย แต่ว่าคำของพระองค์ทุกคำเป็นปัญญาที่สามารถจะทำให้เกิดความเข้าใจ แต่ผู้ฟังต้องรู้ว่าประโยชน์ของชีวิตอยู่ที่ความเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน แล้วก็มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย คิดดู ตั้งแต่เกิดจนตายอยู่มาด้วยความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ คือความเป็นคนตรง จริงใจต่อประโยชน์ต่อเหตุผล ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่ไม่ตรง ไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง คือสิ่งที่มีจริงทุกขณะ แต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการฟังไม่ใช่หวังจะให้จิตสงบ ไม่ได้หวังให้ใจสบาย บางคนก็บอกฟังแล้วสบาย ผิดเลยใช่ไหม ไม่ต้องฟังก็สบาย ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจะฟังแล้วสบาย เพราะฉะนั้นจะมีความต่างอะไรกันกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้เราแค่สบายใจ

    เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องต่างกับคำของคนอื่นโดยสิ้นเชิง ถ้าใครคิดว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าง่าย ดูหมิ่นพระองค์หรือเปล่า ประมาทพระปัญญาคุณหรือเปล่า แม้แต่จะกล่าวว่าพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ อยู่ที่ไหน อยู่ที่ความเข้าใจของเราแต่ละคน ถ้าเราไม่เข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะบอกว่าเรารู้พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ รู้ได้อย่างไร เมื่อไม่เข้าใจคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง ความตรงก็คือว่าเป็นเหตุเป็นผล และก็เป็นความถูกต้อง สิ่งใดผิดรีบทิ้งไปเสีย อย่าเก็บไว้ เพราะว่าจะสะสมเพิ่มพูนมากขึ้นยากที่จะเอาออกได้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ผิด ตัดไปเลย อย่าเข้าใกล้แม้เพียงคิด ใช่ไหม คิดผิดๆ ต่อไปเรื่อย คิดยาวๆ ก็ผิดๆ ต่อไป เพราะความคิดไม่เคยหยุดเลย มีใครคิดสั้นๆ แค่คำเดียวบ้าง คิดแล้วก็เป็นเรื่องยาวต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าคิดผิดตั้งแต่ต้น ก็ผิดไปตลอด จนถึงชาติต่อๆ ไป สะสมความเป็นผู้ไม่มีเหตุผล ไม่ตรง และก็เชื่อบุคคลซึ่งพูดคำซึ่งไร้สาระ ไม่ได้ทำให้มีความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีได้เลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่หวังเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่หวังไปปฏิบัติธรรม แต่เข้าใจคำด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า แต่ละคำเป็นคำจริงซึ่งกว่าจะรู้อย่างนั้นได้ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเข้าใจได้ทันที ถ้าใครเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะว่าความละเอียดของแต่ละคำ ๔๕ พรรษา ประมวลไว้เป็น ๓ ปิฎก พระสุตตันตปิฎก ได้ยินกันบ่อยๆ น้อยคนจะได้ฟังพระอภิธรรม แล้วก็น้อยคนก็จะได้ฟังพระวินัย แต่ทั้งหมดทุกคำเป็นคำที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นพระวินัยไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ จึงไม่สนใจแปลว่าผู้นั้นไม่เห็นประโยชน์ พระสูตรธรรมดา บางทีก็สั้นมาก แต่ว่าทุกคำเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง คิดว่าเข้าใจแล้ว แค่นั้นก็ไม่แสดงว่ามีความเคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอภิธรรม อภิ ลึกซึ้งละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นก็ยาก เพราะฉะนั้นใครหวังจะเป็นพระโสดาบันบ้าง ใครหวังจะให้จิตสงบเป็นสมาธิหรืออะไร นั่นไม่ใช่การที่จะถึงความเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่จะเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ขณะใดที่เข้าใจแต่ละคำของพระองค์แล้วนั่นคือปัญญา ไม่เรียกปัญญาก็ได้ แต่ว่าถ้าไม่เรียกแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า หมายความถึง สภาพธรรมที่มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกในสิ่งที่มี ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละคำแต่ละคำ ให้คนได้ไตร่ตรองได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นพระคุณ แล้วปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา คือค่อยๆ ปรุงแต่งที่จะเป็นความเข้าใจธรรมที่มี โดยไม่มีใครไปทำ เพราะว่าเกิดแล้วทั้งหมด เสียงเกิดแล้วดับแล้ว ใครทำ เห็นขณะนี้ก็เกิดแล้ว ดับแล้วอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจถูกว่า ถ้าจะรู้ความจริงก็เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะอื่นเลยเพราะว่าขณะนี้มีสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มานานแสนนาน แล้วก็ถ้าจะรู้ความจริงก็คือรู้ความจริงของสิ่งที่เดี๋ยวนี้มี จนกระทั่งค่อยๆ รู้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นใครสามารถที่จะกล่าวถึงพระคุณย่อๆ ได้ไหม ๓ ปิฎก ทุกคำมีความหมายที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้เข้าใจเพื่อละความไม่รู้ และละกิเลส ทุกคนได้ยินคำว่าละกิเลส รีบละ อยากละ เอาอะไรไปละ อะไรๆ ก็ละกิเลสไม่ได้นอกจากปัญญา เพราะว่ากิเลสเกิดจากความไม่รู้ อวิชชาไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะละความไม่รู้ ก็ต่อเมื่อวิชชาความรู้เกิดขึ้นขณะไหน ละความไม่รู้ขณะนั้นเท่านั้น และมีความไม่รู้มากมายมหาศาลแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ และยังชาติก่อนๆ อีกนับไม่ถ้วนเลย เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลยว่าจริงๆ แล้ว ทุกคนที่ฟังธรรม ฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจไม่ใช่เรา แต่เข้าใจเป็นสิ่งที่เกิด เพราะได้ยินได้ฟังแล้วไตร่ตรอง และเข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ขั้นฟัง ปัญญาเรายังไม่ถึงขั้นที่จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมหรือว่า

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเรา เมื่อสักครู่นี้ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ต้องปัญญาเราแล้ว แต่ละคำเข้าใจคำที่ได้ฟังแค่ไหน ไม่ใช่เราด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีเรา ฟังเพื่อไม่มีเรา แต่ฟังเพื่อปัญญาเราไปเรื่อยๆ นั่นคือผิด ไม่ใช่เราเห็นไหม ดีกว่าเป็นเราไหม คิดดู แค่ไม่ใช่เราดีกว่าเป็นเราไหม นี่ก็ไม่ใช่เรา นั่นก็ไม่ใช่เรา ดีกว่าเราเราเราใช่ไหม เพราะฉะนั้นนี่ก็ไม่ใช่เรา ดีกว่านี่เป็นเราไหม

    ผู้ฟัง อย่างจะไปบวช เขาก็จะถือพานดอกไม้ธูปเทียนมาขออโหสิกรรมในสิ่งที่ได้ทำไม่ดีไว้ทั้งกายวาจาใจ

    ท่านอาจารย์ คำตอบก็คือว่าเข้าใจทีละคำ ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำแล้วอย่างไร จะอธิบายกันอย่างไร ไม่เข้าใจสักคำ แต่ถ้าเข้าใจทีละคำ การที่เข้าใจคำนั้นเองตอบทั้งหมด

    ผู้ฟัง อย่างอโหสิกรรมมีในประเพณีของพุทธศาสนา

    ท่านอาจารย์ เราได้ยินคำภาษาบาลี โดยที่ว่าเราไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่าคำนั้นคืออะไร หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นคนไทยใช้คำภาษาอื่น ผิดๆ ถูกๆ ไม่ตรงตามภาษานั้น อย่างอโหสิ พูดบ่อยแปลว่าอะไร

    ผู้ฟัง หนูไม่ทราบความหมายที่แท้จริง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมไม่ทราบแล้วพูด แล้วจะให้ใครรู้ คนโน้นก็ไม่รู้ คนนี้ก็ไม่รู้ แต่ก็พูดกันไปหมด เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมทีละคำถูกไหมว่า ถ้าเข้าใจคำหนึ่งก็เข้าใจคำอื่นด้วย แต่ถ้าไม่เข้าใจคำหนึ่ง จะให้เข้าใจคำอื่นๆ ทั้งหมดได้อย่างไรเพราะไม่เข้าใจทุกคำ และโดยเฉพาะคนไทยที่นับถือพุทธศาสนา เอาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำมาพูดมาใช้ ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกคนก็พูดคำว่าอโหสิกรรม แต่ถามว่าอโหสิคืออะไร กรรมคืออะไร ไม่ใช่ให้พูดอโหสิกรรมโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธ ก็จะไม่พูดคำที่ไม่รู้จัก ถ้ารู้สึกตัวว่าได้พูดคำที่ไม่เข้าใจ ก็ศึกษาเพื่อจะได้ไม่ทำลายคำสอนของพระศาสนา โดยความเข้าใจของตัวเองผิดๆ ใช้คำว่าอโหสิกรรมหมายความว่า ขอเชิญคุณธิดารัตน์

    อ.ธิดารัตน์ คำว่าอโหสิกรรม ก็หมายถึงกรรมที่ได้ทำแล้ว แต่วิบากจะให้ผลหรือไม่ให้ผลก็ได้

    ท่านอาจารย์ อโหสิหมายความว่า ที่ได้ทำแล้ว อโหสิกรรม กรรมที่ได้ทำแล้ว ถ้าคนนั้นไม่เข้าใจคำนี้ อย่าใช้ แต่เขาอาจจะเพียงแค่ขอโทษ อะไรที่ทำไว้ที่ไม่ดี ขอโทษด้วย แค่นี้เราก็เข้าใจ แต่มาพูดคำที่ไม่รู้จัก อโหสิกรรมกันได้อย่างไร ชอบใช้คำที่ไม่รู้จักแต่ผิด เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้าเป็นชาวพุทธคือผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา หมายความว่าเข้าใจ พุทธะแปลว่ารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นคนไม่รู้ไม่ใช่ชาวพุทธ ชาวพุทธต้องเป็นผู้รู้ผู้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นอะไรที่ได้ทำผิดไปแล้ว ขอโทษด้วย ถ้าจะขอโทษ แค่นี้ก็สั้นๆ ง่ายๆ ไม่ต้องมานั่งคิดว่าอโหสิกรรมนี่คืออะไร ไม่รู้แล้วก็พูดกันต่อเลย พอไม่รู้ก็ต่อไปเลย ก็ไปขออโหสิกรรมกันไปหมดไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แล้วเรายังจะคงเป็นคนที่ใช้คำผิดๆ ถูกๆ แล้วก็ต่อไปจะยิ่งผิดผิดผิดขึ้น ถ้าเราไม่ศึกษาให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นอโหสิกรรม กรรมที่ได้ทำแล้วมีผลไหม เพราะอะไร เพราะกรรมเป็นเหตุ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุ และผล ที่สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ว่า อะไรๆ ถ้าไม่มีเหตุเกิดได้ไหม ไม่ได้ แต่ที่เกิดแล้ว ต้องเป็นไปตามเหตุใช่ไหม ต้องเป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่เหตุอย่างหนึ่งให้ผลอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าเหตุที่ได้ทำแล้ว เป็นปัจจัย ปัจจัยคือธรรมที่เกื้อกูลสนับสนุนก่อตั้งทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นกรรม การกระทำที่ได้ทำแล้ว ไม่ได้หมดสิ้นไปเลย สะสมสืบต่ออยู่ในจิต จิตคือทุกคนเข้าใจคร่าวๆ ว่าทุกคนมีจิต แต่ถ้าถามจริงๆ ว่าจิตคืออะไร ก็ตอบไม่ได้ นี่คือการไม่ศึกษา เหมือนรู้ แต่ไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    11 ม.ค. 2568