ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
ตอนที่ ๙๙๓
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง ได้รับข้อความทางโทรศัพท์มาจากเพื่อนๆ ว่าขอเชิญร่วมทำบุญมหาสังฆทาน ช่วยภิกษุสงฆ์ที่อาพาธ ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ ทางฆราวาสที่ว่าอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร
ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องที่ละเอียด เรื่องของจิตใจที่จะเป็นกุศล ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามได้ จะให้เกิดกุศลหรืออกุศล แต่ถ้าเป็นผู้ที่รอบคอบ เราก็จะพิจารณาได้ว่าสงฆ์คือใคร ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรมเลย แล้วก็ให้ชาวบ้านทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นำดวงวิญญาณไปโน่นมานี่ อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็ไม่ได้ประพฤติตามพระวินัยด้วย แล้วเราจะทะนุบำรุงไหม
ผู้ฟัง โดยหลักการแล้วก็ไม่ควรที่จะทะนุบำรุง แต่อาจจะช่วยด้วยความเมตตา ในเรื่องของมนุษยธรรม
ท่านอาจารย์ ในเรื่องของมนุษยธรรม มีคนไข้อนาถา ที่โรงพยาบาลรับบริจาคชัด เจนว่าเขาเป็นคนไข้อนาถา แต่ถ้าเป็นภิกษุแล้วใช้คำว่าสงฆ์ แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้อง เราต้องมีความรู้ว่า เราจะทะนุบำรุงใคร ถ้าเป็นภิกษุที่ได้ศึกษาธรรม และก็ประพฤติตามพระวินัย คฤหัสถ์ทุกท่านเต็มใจที่จะอุปถัมภ์ ไม่ต้องห่วงเลยในเรื่องของปัจจัย ๔ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร บิณฑบาต เสนาสนะ ที่อยู่ ยารักษาโรค ใช่ไหม แต่ถ้ารู้อยู่ว่าไม่ได้ทำกิจของพระศาสนาเลย อย่างที่ชาวบ้านบอกว่า พระเดี๋ยวนี้มีเงินมาก ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเสียภาษี แล้วคนให้ก็ต้องกราบไหว้ด้วย ก่อนจะให้ก็กราบไหว้ ให้แล้วก็ยังกราบไหว้อีก อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเราชาวพุทธจริงๆ หรือเปล่า เข้าใจหรือเปล่าว่า พระพุทธศาสนาควรที่จะทะนุบำรุง ไม่ใช่ควรช่วยกันทำลาย สองคำต้องต่างกัน เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้จริงๆ การทะนุบำรุงพระศาสนาต้องมีความเข้าใจ แล้วก็รู้ด้วยว่าภิกษุคือใคร อย่างน้อยที่สุดที่เป็นธรรมดาสามัญก็คือว่า ความต่างของเพศคฤหัสถ์กับบรรพชิต พระภิกษุหมายความถึง ผู้สละทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใดไม่ได้มีอาการกิริยาวาจา ความประพฤติเป็นไปในเรื่องการสละ คนนั้นไม่ใช่ภิกษุ จะอาพาธหรือไม่อาพาธก็แล้วแต่ แต่เขาก็ไม่ใช่ภิกษุ จะช่วยอนุเคราะห์คนอนาถายากไร้ก็ช่วยไป หรือจะช่วยในฐานะคนอนาถาก็ช่วยไป แต่ไม่ใช่ในฐานะของภิกษุ ต้องชัดเจน ถ้าไม่ชัดเจนช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ได้ช่วยกันทะนุบำรุงเลย พระภิกษุมีเงินมีทองมากกว่าชาวบ้าน
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วท่านทำอะไร ทำอะไรกัน ศึกษาธรรมหรือเปล่า การมีเงินมีทองเป็นโทษอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แล้วเอาเงินนั้นไปทำอะไร ในฐานะที่เป็นผู้สละ และผู้สงบ คัดค้านกันอยู่ตลอดเวลา ผู้สงบคือสงบจากกิเลส ผู้สละคือสละชีวิตคฤหัสถ์ทั้งหมด อยู่ได้ไหม โดยที่ไม่ต้องมีโทรทัศน์ โดยที่ไม่ต้องมีที่ชงกาแฟ โดยที่ไม่ต้องเครื่องบำรุงความสะดวกสบายทุกอย่าง อยู่ได้ไหม
ผู้ฟัง อยู่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะสละชีวิตคฤหัสถ์ ก็ต้องอยู่อย่างบรรพชิต ถ้าอยู่ไม่ได้เป็นภิกษุทำไม ทุกคำที่ทรงแสดงเป็นเรื่องที่เมื่อเข้าใจแล้วก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า เหมาะสมสามารถจะดำรงอยู่โดยไร้สมบัติทั้งปวงได้ไหม แค่มีอาหารอยู่ได้ไหม
ผู้ฟัง อยู่ได้
ท่านอาจารย์ มีเสื้อผ้าอยู่ได้ไหม มีที่อยู่อาศัยอยู่ได้ไหม มียารักษาโรคแล้วยังต้องการอะไรอีก เพราะฉะนั้นสิ่งอื่นที่พระมี ไม่ใช่สิ่งที่สละแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ถ้ามีสิ่งซึ่งเหมือนคฤหัสถ์ เพราะว่าต้องสละเพศคฤหัสถ์ จึงจะสามารถที่จะเป็นภิกษุในธรรมวินัยได้ เป็นบุตรที่เกิดจากอุระ เป็นศากยะบุตร เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงกระทำ แล้วทำได้หรือ เพราะว่าเป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการอุปสมบท ทรงอนุญาตให้ประพฤติตามพระองค์ ก็ต้องประพฤติตามพระองค์
ผู้ฟัง แล้วอย่างฆราวาสมากมายเลย ประมาณ ๘๐-๙๐% ที่คิดว่ายังไม่รู้ธรรมวินัย อย่างแท้จริง ก็จะชวนๆ กันไปเอาไปถวายสังฆทาน ไปทอดผ้าป่า ทอดกฐิน อย่างนี้ก็ถือว่าฆราวาสก็มีส่วนที่ทำให้พระวัดต่างๆ เสียไปด้วย
ท่านอาจารย์ แน่นอน ร่วมกันเลย พระก็อยากได้เงิน ฆราวาสก็ให้เงิน
ผู้ฟัง อยากได้บุญ
ท่านอาจารย์ อยากได้เงิน เพราะว่าอยากได้ไม่ใช่บุญ เพราะฉะนั้นอยากได้เงินไม่ใช่บุญ
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการทอดผ้าป่า หรือว่าทอดกฐินนี้ ก็ไม่ได้อยู่ในพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะว่ากฐินคืออะไร ต้องรู้ เป็นกิจของสงฆ์ไม่ใช่ชาวบ้าน
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ ชาวบ้านพระผู้มีพระภาคอนุญาตให้ถวายจีวรได้ เป็นคฤหบดีจีวร ในยามที่ท่านไม่มีจีวร อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ไม่ใช่กฐิน เพราะฉะนั้นไม่รู้อะไร ก็ไม่รู้อะไร ชวนกันเหมือนคนตาบอดทั้งหมดเลย เมื่อใดจะตาดี ถ้าเราทุกคนเห็นประโยชน์ และช่วยกัน ไม่หมดกำลังใจใช่ไหม ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นคนดี แล้วก็ศึกษาธรรม ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ส่งเสริมพระที่ผิดวินัย
ผู้ฟัง แล้วที่ท่านอาจารย์บอกว่า หน้าที่ของสงฆ์ มีอยู่ ๒ อย่าง
ท่านอาจารย์ คันถธุระ
ผู้ฟัง คันถธุระ
ท่านอาจารย์ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ แต่ต้องรู้ ถ้าไม่มีคันถธุระไม่เข้าใจพระธรรม วิปัสสนาธุระมีไม่ได้ ไม่ใช่หมายความว่าฉันแยก ฉันไม่ศึกษา ฉันไปปฏิบัติ นั่นผิด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีคันถะธุระเท่านั้น จึงสามารถที่จะคันถะธุระที่เข้าใจแล้วนั่นเอง จะเป็นปัจจัยให้มีวิปัสสนาธุระ ถ้าไม่มีปัญญาวิปัสสนาธุระมีไม่ได้
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ช่วยขยายอย่างไร
ท่านอาจารย์ เข้าใจก่อนว่าวิปัสสนาคืออะไร
ผู้ฟัง คือการทำให้เห็นความจริง
ท่านอาจารย์ ทำได้ไหม เวลานี้มีความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เห็นขณะนี้เกิดขึ้นเห็นดับไป จากไม่มีได้ยิน ได้ยินเกิดขึ้น แล้วได้ยินก็ดับไป จากคิดยังไม่เกิด ก็เกิดคิด และคิดก็ดับไป เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ และไม่กลับมาอีก สืบต่อกันตลอดเวลาไม่ขาดสาย จึงปกปิดไม่เห็นว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังเกิดดับเลย คิดว่าไม่มีอะไรเกิดดับ แต่สิ่งนั้นมีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง แต่ว่าชาวบ้านก็จะไม่รู้รายละเอียดลึกซึ้งว่าธรรมคืออะไร แล้วควรจะปฏิบัติอย่างไร ให้ถูกต้องตามหลักพุทธศาสตร์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจแล้ว ก็ทำอย่างนั้นด้วย มีการเผยแพร่ มีอะไรในสิ่งที่ถูกต้อง คนจะได้สามารถเข้าใจได้ว่านี่ถูก และนั่นผิด เพราะฉะนั้นหน้าที่สำคัญของชาวพุทธที่เข้าใจแล้วก็คือว่า ทุกคนช่วยกันให้คนอื่นได้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจถูกต้อง
ผู้ฟัง ขอบพระคุณท่านอาจารย์
อ.ธิดารัตน์ ขอขยายความว่าวิปัสสนาคืออะไร
ท่านอาจารย์ วิปัสสนาเป็นภาษาไทยหรือเปล่า ไม่ใช่ เป็นภาษามคธี ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสสอนชาวมคธ เป็นภาษาบาลี หมายความถึงปัญญาที่ได้อบรมจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความจริง ของแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เรื่องสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เช่น ขณะนี้มีเห็น เห็นต้องเกิด และเห็นดับ นี่คือขั้นการฟังจริงไหม ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะทรงตรัสรู้ แต่เมื่อสิ่งนี้กำลังมี และใครรู้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิด ไม่ใช่ไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งธรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมนั้นแล้วดับไป ไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้นวิปัสสนาหมายความถึงปัญญาที่รู้ถูก เห็นถูก เข้าใจแจ้งชัดตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็นเป็นธรรม มีการที่เกิดเห็นแล้วก็ดับ ปัญญาขั้นฟังไม่สามารถที่จะรู้แจ้งได้
ด้วยเหตุนี้ที่กล่าวว่า พระธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อเบื้องต้นกล่าวว่า ขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ นี่เบื้องต้น ที่สุดคือประจักษ์แจ้งการเกิด และดับของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ให้เชื่อถูก และหมด จบ ไม่ใช่ แต่ต้องถึงการประจักษ์จริงๆ ว่าคำนี้ไม่ใช่เพียงแต่กล่าว โดยที่ว่าเป็นคำเลื่อนลอย แต่เป็นคำกล่าวถึงลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ และทุกขณะ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่พูดเล่น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พูดลอยๆ แต่พูดว่านี้เป็นความจริงถึงที่สุด ตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นไตร่ตรอง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวคิด เดี๋ยวจำ เดี๋ยวลืม ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริงๆ และก็ดับไป รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้นเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การกราบไหว้ ถ้าไม่รู้พระคุณ กราบไหว้อะไร แต่ว่าเพราะรู้พระคุณ กำลังกราบไหว้น้อมถึงพระคุณด้วยความเคารพ นั่นคือนมัสการด้วยใจ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า การที่คนหนึ่งคนใดจะพูดถึงธรรมของตัวเอง ค้านกับพระพุทธพจน์ เพราะเขาเป็นใคร เขาเพียงแต่เอาคำสองคำ ไม่กี่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพูดแล้วเอามาทำ แต่ว่าใครทำ ไม่ใช่ความเข้าใจปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนเพิ่มขึ้น จนละคลายความไม่รู้ซึ่งปิดกั้น เวลานี้ได้ยินคำว่าอวิชชา สภาพที่มีจริงๆ คือไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ตรงกันข้ามกับวิชชา เพราะฉะนั้นวิชชานี่ตรงกันข้ามเลย เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ไม่รู้ วิปัสสนาประจักษ์แจ้ง แทนความไม่รู้ แต่กว่าจะถึงความเป็นวิปัสสนา ปัญญาต้องอบรมเจริญตามลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นต้นงามในขั้นต้น ทุกอย่างจริงเพราะว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ งามในท่ามกลางปัญญาอบรมเจริญขึ้น จนสามารถที่จะรู้ได้ว่าความจริงนี้มีหนทางคือการค่อยๆ เข้าใจขึ้นนี่เอง จะเป็นปัจจัยทำให้มีการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่ง เพราะว่าไม่ปนกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมว่าไม่ปนกันเป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เห็นเป็นเห็น คืออะไร ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏต่างๆ เท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะธาตุรู้ที่เป็นจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ยังมีเจตสิกนามธรรมซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต ซึ่งใช้คำว่าเจตสิก
เพราะฉะนั้นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจโดยความเป็นอนัตตา สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะระลึกลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่เลือกว่า จะเป็นจิตประเภทไหน เป็นเจตสิกอะไร เป็นรูปอะไร เพราะความจริงก็คือว่าไม่มีใครเลย มีจิตมีเจตสิกมีรูป แต่เมื่อมีความไม่รู้ ก็ยึดถือจิตเจตสิกรูปว่าเป็นคน ยึดถือจิตเจตสิกรูปว่าเป็นงู ยึดถือจิตเจตสิกรูปว่าเป็นช้าง ก็ต่างๆ กันไป แต่ความจริงแท้ ก็คือจิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าปรมัตถธรรม หมายความว่าธรรมที่มีจริงนี้เอง มีลักษณะซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นความจริงแท้ เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวถึงคน สมมติสัจจะ แต่ถ้ากล่าวถึงจิต ปรมัตถสัจจะ เพราะฉะนั้นต้องมีปรมัตถธรรม ถ้าไม่มีปรมัตถธรรมจะมีความหลากหลายของจิตเจตสิกรูปไหม เพราะว่าเจตสิกไม่ใช่จิต และรูปก็ไม่ใช่จิตเจตสิก และรูปก็ไม่ใช่มีรูปเดียว ทางตากำลังเห็นปรากฏ ไม่ใช่สภาพรู้แต่มี เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่ามีเมื่อเห็น แต่ถ้าไม่มีเห็น สิ่งนี้จะไม่ปรากฏเลยว่ามี เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทั้งหมดแต่ละคำ แต่ละคำมาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี และทรงตรัสรู้ความจริง ขณะใดที่เข้าใจขณะนั้นกำลังนมัสการพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ที่เรามีโอกาสที่จะได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการศึกษาอย่างนี้ ไม่มีการที่จะงามในท่ามกลาง ที่จะค่อยๆ รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแต่พูด สามารถถึงเฉพาะแต่ละหนึ่ง แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา จงใจพยายามจะทำ แต่ต้องด้วยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นหนทางที่จะรู้ว่า สิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่รวมกันแล้ว เข้าใจยึดถือว่าเป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นสัตว์ แต่ต้องแยกเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากธาตุนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ถ้ากระทบสัมผัสสิ่งที่เราเรียกว่าดอกไม้ แข็งหรืออ่อนเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ดอกไม้ โต๊ะ แข็งหรืออ่อนเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่ใช่โต๊ะ เพราะฉะนั้นโดยความเป็นจริง ก็คือว่าธาตุนั้นมี แต่เมื่อเกิดดับสืบต่อรวมกันแล้ว ก็ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เห็นไหม ถ้าไม่มีอ่อนหรือแข็งจะมีดอกกุหลาบไหม แต่ว่าทำไมมีดอกกุหลาบ สีต่างๆ เพราะอ่อนแข็งที่เกิดหลากหลายมาก ทำไมบางครั้งนุ่มจนนิ่ม บางครั้งก็แข็งหยาบกระด้าง เมื่อธรรมต่างกันอย่างนี้ ส่วนผสมนั้นๆ ก็ทำให้สิ่งซึ่งเกิด คือสีสันวรรณะที่สามารถกระทบตาปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ แล้วก็ทำให้เข้าใจได้โดยอาการคือสัณฐานนั้นๆ ว่านี่เป็นดอกไม้ นั่นเป็นคน นี่เป็นโต๊ะ นั่นเป็นพระอาทิตย์ นี่เป็นพระจันทร์ ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามลำดับในขั้นปริยัติ โดยที่ว่าไม่มีการที่เราจะไปทำให้รู้อย่างนี้ ถ้าใครคิดว่าเราจะทำให้รู้อย่างนี้ได้อย่างไร ลืมธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นทุกคำต้องตรง และสอดคล้องกัน หนทางที่จะไปสู่การเข้าใจถูกว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ก็ต้องเริ่มต้นให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เราที่จะไปทำอะไรได้ แต่ปัญญาเกิดเมื่อใด เมื่อฟังแล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้นความเข้าใจก็ค่อยๆ ละความไม่เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจถูกว่า ปัญญาแค่ฟังยังไม่พอ ยังมีปัญญาที่สามารถจะเข้าใจกว่านี้อีกได้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นปัญญาแต่ละระดับ เพราะฉะนั้นจะไม่มีการคิดว่า ฟังอย่างนี้เป็นวิปัสสนา แต่รู้ว่าวิปัสสนาต้องเป็นการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามที่ได้ฟังตรง แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็มีงามเบื้องต้นปริยัติ ไม่ใช่เพียงฟัง แล้วก็คิดว่าพอแล้ว แต่ว่าถ้าพอจริงๆ ไม่มีความสงสัยในหนทางที่ถูกต้อง ในความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีใครไปตั้งสำนักทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น และก็จะต้องเป็นการที่ปัญญาเท่านั้นที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ สิ่งที่ปิดกั้นอยู่จึงค่อยๆ ปรากฏ เหมือนของที่ถูกปิดไว้ ของที่คว่ำอยู่ อะไรจะทำให้เปิดเผย ก็ต้องเป็นปัญญา ความที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเข้าใจความต่างของปริยัติ และปฏิปัตติ และปฏิเวธ ไม่ใช่มีใครจะทำอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นคำสอนใดๆ ก็ตามที่ผิดจากการที่จะให้เข้าใจความจริงทั้งหมด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไม่รู้ก็ศึกษาไม่มีใครว่าอะไร แต่เมื่อไม่รู้แล้วไปเข้าใจผิด ชักชวนคนให้ทำสิ่งซึ่งตรงกันข้ามกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำสอนอย่างนั้น การกระทำอย่างนั้น พฤติกรรมอย่างนั้น เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นวิปัสสนาก็คงจะชัดเจนว่า ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ และเพียงขั้นฟังปริยัติยังไม่มั่นคงหรือมั่นคงแล้ว ถ้ามั่นคงแล้วไม่ต้องมาคิดเลย แล้วจะทำอย่างไร ไม่มั่นคงแล้ว หาหนทาง ไม่มั่นคงแล้ว แต่ฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็รู้ความเป็นอนัตตาว่าถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้ฟัง การฟังหรือได้ยินไม่มีเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะได้ยินได้ฟัง ขอให้ทราบว่าปัจจัยที่จะทำให้เกิด มีมากมายตั้งแต่อดีตนานมาแล้ว จนถึงขณะนี้ประกอบกัน เพราะว่าถอยไปจิตเกิดดับนับไม่ถ้วนนานแสนนานมาแล้ว และถ้าไม่มีการรู้ความจริงจิตก็จะไม่ได้หยุดยั้ง เพราะมีปัจจัยคือกิเลสความไม่รู้ ที่จะทำให้สภาพธรรมเกิดสืบต่อไป เกิดดับสืบต่อไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการที่จะมีการเข้าใจความจริงได้จริงๆ ไม่ใช่ด้วยความที่เราเป็นพระพุทธเจ้าเอง แต่เราเป็นเพียงแค่สาวก ปัญญาไม่ถึง บารมีที่อบรมไม่พอที่แต่ละคนจะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อวานนี้ก็มีคำถามเรื่องพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แต่ก่อนอื่นจะ ๕ พระองค์ กี่พระองค์ ก็ต้องรู้ก่อนว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร ไม่ใช่สาวก แต่เป็นผู้ที่มีบารมีที่จะเข้าใจความจริงด้วยพระองค์เอง แต่ว่าถ้าไม่มีบารมี คือคุณความดีมากมายนานาประการนับไม่ถ้วนยิ่งกว่าใคร ปัญญาระดับนี้ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใคร ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ และผล ด้วยเหตุนี้จึงมีพระพุทธเจ้าในอดีตมากมายหลายพระองค์ และในกัปนี้ หมายความโลกยังไม่ทำลาย เฉพาะกัปนี้เป็นภัทรกัปที่รุ่งเรือง เพราะเหตุว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ แต่ทีละพระองค์ จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้ แต่ว่าสามารถมีพระปัจเจกพุทธเจ้า รู้ธรรมด้วยตัวเองเพราะสะสมมาที่ไม่ใช่สาวก ตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ท่านเหล่านี้ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่จากการที่สะสมไปนี่เอง พระพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์ว่า บุคคลนี้จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็น แต่ต้องแล้วแต่การสะสมของแต่ละคน เพราะฉะนั้นก็มีผู้ที่รู้พุทธะ ๓ ระดับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด ทรงเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงดับกิเลสหมดสิ้นด้วยพระองค์เอง และผู้ที่ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกันหลายองค์ได้ เพราะว่าต่างคนก็ต่างสะสมมาที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกยิ่งมากใช่ไหม เพราะว่าบารมีไม่ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้ว่า ๕ พระองค์เป็นใคร อยู่ไหน ก่อนอื่นชาวพุทธต้องคืออะไรก่อน ต้องรู้ว่าความจริงนั้นคืออะไร และถึงจะสามารถเข้าใจข้อความที่มีในพระไตรปิฎกได้ ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยของพระสูตร นัยของพระอภิธรรม หรือนัยของพระวินัย เพราะฉะนั้นมีสำนักวิปัสสนาได้ไหม ไม่ได้เลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020