ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๑๔

    สนทนาธรรม ที่ สำนักงานเขตพระโขนง

    วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง คือดิฉันก็มาคิดถึงว่า สมมติว่าดิฉันจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างเช่นสมมติว่า จะทำแกงส้มให้เสร็จ ถ้าคิดว่าเกิดดับเกิดดับจะเสร็จได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เราจะทำแกงส้ม ใช่ไหม แต่ว่าจริงๆ แล้วแกงส้มมีหรือไม่มี เหมือนมีใช่ไหม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นแกงส้มไม่เกิดดับแน่ ใช่ไหม แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้คิดหมดแล้วหรือยัง ตอนที่จะถาม แล้วก็ถามแล้วหมดหรือยัง ความคิดหมดแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นคิดต่างหากที่เกิดดับ พอจะเข้าใจ สืบต่อตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาดเลย แต่เราไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงที่ว่าเป็นเรานี่ เป็นสิ่งที่สามารถรู้ สามารถเห็น สามารถจำ สามารถคิด แต่ว่าเป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งละเอียดมาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจำ จะมีแกงส้มไหม สิ่งที่จะเอามาแกงก็ไม่มี แต่จำว่าอะไรเป็นอะไร จำแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ จนกระทั่งสำเร็จเป็นแกงส้ม ตลอดตั้งแต่เริ่มทำ เกิดดับเกิดดับจนเสร็จ ไม่ใช่ว่าถ้าจะคิดจะทำ แล้วเกิดดับแล้วเลยไม่มีแกงส้ม ไม่ใช่ ทั้งหมดมีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เกิดดับสืบต่อเป็นเรื่องเป็นราว จากเห็นมาเป็นแกง เห็นไหม แล้วก็เป็นแกงส้มด้วย เพราะคิด บางทีเห็นแล้วไม่ใช่แกงส้ม แต่เห็นเป็นไข่เจียวใช่ไหม ก็เพราะคิดอีก

    เพราะฉะนั้นเห็นก็เป็นเห็น คิดก็เป็นคิด ต่อกันสนิททั้งวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ได้หมายความว่าพอเกิดดับแล้วไม่มีแกงส้ม แต่ที่เข้าใจว่าเป็นแกงส้ม ก็คือว่าต้องมีคิด ต้องมีเห็น ต้องมีหยิบ ต้องมีทำ ต้องมีกระทะ ต้องมีน้ำมัน ต้องมีไข่เจียว ต้องมีอะไรทุกอย่าง แต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อ โดยไม่มีใครไปบังคับบัญชาเลย ไม่ให้คิดที่จะทำแกงส้มไม่ได้ เพราะคิดจะทำแกงส้ม ไม่ให้คิดที่จะทำไข่เจียวไม่ได้ เพราะคิดแล้วที่จะทำไข่เจียว คิดเกิดแล้วก็ดับ และเวลารับประทานอาหารไม่ใช่คิดทำใช่ไหม แต่คิดตัก คิดชิม คิดเคี้ยว คิดกลืน ทั้งหมดก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ซ่อนเร้น เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ลืมไป แต่ว่าความจริงธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วก็ต่อกัน

    เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่เราไปคิดเอาเอง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วดับทันทีเลย แต่ว่าเราไม่รู้ความจริง แล้วอะไรที่เกิดต่อ มีสิ่งที่เกิดต่ออยู่ตลอดเวลา เร็วมากสนิทมากไม่เห็นรอยต่อเลย เพราะฉะนั้นตั้งแต่เช้ามาจนเดี๋ยวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดดับทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่ไม่เกิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มี เกิดแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเราฟังความจริงว่า เป็นจริงอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นจริงอย่างนี้คำสอนของพระองค์เราก็สามารถที่จะเข้าใจทีละคำเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น จนมีความมั่นคงแน่ใจว่าเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่ใช่เราทั้งสิ้น ไม่เหลือเลย เมื่อวานนี้ไม่เหลือ เดี๋ยวก็ไม่เหลือ พอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไม่เหลือ ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ว่าไม่ปรากฏการเกิดดับให้เห็น เพราะว่าต่อกันสนิทมาก เร็วมากด้วย ก็เหมือนไม่เกิดดับเลย คิดจะทำแกงส้ม มีสติไหม เห็นไหม ย้อนกลับมาหาสิ่งที่เราฟัง ต้องบ่อยๆ และต้องไตร่ตรองจนกว่าจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคง เพราะฟังครั้งเดียว แล้วก็ลืมใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องมั่นคง คิดที่ไม่ดีทำไม่ดีพูดไม่ดีทั้งหมดไม่ใช่สติ เพราะว่าสติมีจริงๆ ไม่ใช่เราด้วย สติเกิดเมื่อใด คิดถูก ทำถูก พูดถูก คิดดี ทำดี พูดดี มีสิ่งของในบ้านเยอะ ยังไม่ได้ให้ใครเลย ใช่ไหม เก็บไว้ตั้งหลายวัน แต่คิดที่จะให้เมื่อใด ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพที่ระลึกได้ว่า ควรจะให้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์แก่คนอื่น แล้วให้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่ให้เป็นสติ เพราะสติเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดีงาม คิดก็คิดดี คำพูดมีหลายคำใช่ไหม พูดให้เขาเสียใจก็ได้ พูดให้เขาโกรธให้น้อยใจก็ได้ พูดให้เขาสบายใจก็ได้ พูดอย่างไหนเป็นสติ ก็ต้องไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดไม่ใช่สติ แต่ไม่ใช่หมายความว่า ทุกอย่างเป็นสติ ต้องเฉพาะที่ขณะให้ทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ยังไม่ให้ ยังอยู่ ยังติดข้อง ในสิ่งนั้นพอใจในสิ่งนั้น เป็นของเรา แต่ความจริงไม่ใช่เลย ถ้าศึกษาอย่างละเอียดจริงๆ เป็นแต่ละหนึ่ง แต่กำลังคิดจะให้ จะให้เป็นสติไหม เป็น แล้วไม่ให้เป็นสติไหม ไม่เป็น เห็นไหม เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าสติเป็นไปในทางที่ดีงาม ไม่ว่าทางกายทางวาจาทางใจ คิดช่วยคนอื่นให้พ้นจากความทุกข์ยาก ไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสติ ช่วยมาตั้งเยอะแยะให้พ้นภัยใช่ไหม แต่ก็ไม่รู้ว่านั่นแหละไม่ใช่เรา เป็นสติ ถ้าสติไม่เกิดจะไปช่วยเขาทำไม ก็อยู่สบายๆ ก็ดีแล้ว ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกเลยว่านั่นไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยชั่วคราว บางคนก็มีอุปนิสัยในการให้ ให้ง่าย เห็นคนที่ต้องการขาดแคลน ช่วยเหลือทันที ให้ง่ายมาก บางคนก็ไม่สนใจ นานๆ ให้ หรืออาจจะไม่ให้เลยก็ได้ บางคนก็ศีลทางกายทางวาจาเป็นไปในทางที่ดีงาม พูดดี เว้นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่น พวกนี้ก็เป็นศีล ขณะนั้นสิ่งที่ดีงามทั้งหมดต้องเป็นสติที่เป็นไปในการทำสิ่งที่ดีงาม แต่ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ดีงามมีปัจจัยก็เกิดขึ้นตามอุปนิสัย ตามการที่สะสมมาที่จะหลากหลายต่างกัน เพราะฉะนั้นคนชั่วก็คิดชั่วทำชั่วเป็นสติหรือเปล่า ถ้าในทางไม่ดีไม่ใช่สติ ถ้าในทางที่ดีเป็นสติ แต่ต้องละเอียด แม้แต่คิดจะให้ขณะนั้นเป็นสติ แต่ไม่ให้ก็ไม่ใช่สติ แต่คิดจะให้ แล้วให้ขณะนั้นก็เป็นสติแต่ละขณะตั้งแต่คิดจนกระทั่งให้

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน แต่ว่าถ้าไม่มีการแสดงให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้ เปลี่ยนอุปนิสัยของคนอื่นไม่ได้เลย เขาสะสมมาที่จะคิดอย่างนั้น เขาก็คิดอย่างนั้น เขาสะสมมาที่จะพูดอย่างนั้น เขาก็พูดอย่างนั้น เขาสะสมมาที่จะทำอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นธรรมทั้งหมด เพราะที่ว่าเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง กระทบสัมผัสแข็ง มองด้วยตา สีสันวรรณะต่างๆ ถ้ามีกลิ่น จมูกก็ได้กลิ่น กลิ่นนั้นไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่สี เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับรวมกันแน่นสนิท จนกระทั่งทำให้ผู้ไม่รู้หลงยึดถือว่าเที่ยง เป็นสิ่งนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นความเห็นผิด ก็คือว่าไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มี มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเท่านั้นเอง ตอบได้ว่ามี แต่ไม่ใช่เรา เพราะว่ามีลักษณะเฉพาะของแต่ละหนึ่ง ใช่ไหม แข็งเป็นเราหรือเป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ หรือเป็นปากกา แข็งเป็นแข็ง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา ที่ตัวนี่ก็แข็ง แตกย่อยได้ ไม่ใช่เรา ละเอียดยิบก็ได้ ไม่ใช่เรา ถึงจะรวมกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆ หรือแตกย่อยเล็กที่สุดก็ยังคงแข็ง เพราะฉะนั้นแข็งนั่นแหละมีจริง

    ผู้ฟัง เวลาสนทนากับคนในบ้าน หนูจะโดนไล่ต้อนจนรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจ อย่างเช่น คำว่าสติ เหมือนกับว่าสติ เป็นสิ่งที่คนเราจะต้องไปทำเอาขึ้น หรือเราจะต้องไปรู้สึกตัว หรืออะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นทีละคำ ถามเขาว่า สติมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง สติมีจริง

    ท่านอาจารย์ มีจริงแน่นอน ถ้าไม่เกิดจะมีสติไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่มีสติ เพราะฉะนั้นสติเกิดแล้วดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วใครไปบังคับให้สติเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ให้เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ใครก็ไปทำสติไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้สติเกิด สติก็เกิดไม่ได้ เหมือนได้ยิน ถ้าไม่มีหู ไม่มีเสียงกระทบหู ก็ไม่มีการได้ยินอะไร ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้น โดยไม่มีใครไปทำ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าโกรธเกิดเป็นโกรธ เปลี่ยนโกรธให้เป็นสติได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เวลาสติเกิด เปลี่ยนสติให้เป็นโกรธได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสติก็เป็นสติ โกรธก็เป็นโกรธ ทั้งสองอย่างก็ไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุดให้รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา และไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้เลย ลองให้เขาทำสักอย่าง เขาจะทำอะไร ไหนทำสติทำอย่างไร

    ผู้ฟัง เขารู้ และปฏิบัติธรรม เขารู้ แต่ว่า

    ท่านอาจารย์ รู้อะไร

    ผู้ฟัง อย่างที่หนูมาฟังธรรม หรือว่าหนูฟังธรรมที่บ้านอย่างนี้ เขาบอกว่าเหมือนกับว่า ทำไมหนูฟังอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ

    ท่านอาจารย์ ปฏิบัติคืออะไร ถามเขาเลย แล้วปฏิบัติรู้อะไร แต่ฟังนี่เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ปฏิบัตินี่เข้าใจอะไรหรือเปล่า แต่ฟังแล้วเข้าใจอย่างไร เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาจริงไหม แต่ว่าไปปฏิบัตินี่จะรู้อะไร

    ผู้ฟัง สมมติว่า เขาขี่จักรยานหรือว่ากระทำสิ่งใด จะนั่งจะลุกจะยืนอย่างนี้ เขาบอกว่าคือความรู้สึกตัว สติของเขา แปลว่าความรู้สึกตัว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสติของเขา ไม่ใช่สติซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงโดยละเอียดว่า สติต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ขี่จักรยานนี่ สนุกใช่ไหม เพลินใช่ไหม ชอบใช่ไหม ดี เพราะฉะนั้นดีเขายังไม่เข้าใจ อะไรที่เขาชอบเขาว่าดี เพราะเขาชอบสนุกเพลิดเพลิน แต่ดีไม่ใช่อย่างนั้นเลย ดีต้องเป็นธรรมที่ไม่ติดข้อง อย่างการที่จะให้ของใคร เราต้องไม่ติดข้องในสิ่งนั้น ไม่ใช่ไปซื้อให้เท่านี้แล้วก็จะได้สมบัติเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่ นั่นซื้อบุญ ไม่ใช่เข้าใจบุญ ไม่ใช่ขัดเกลากิเลสด้วยการสละ ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะว่าพระธรรมทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา แล้วเราอยู่ที่นี่นานเท่าใด ได้ยินกี่คำ ยังไม่ถึงวันเลย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคำมีค่ามากเมื่อไตร่ตรองแล้วเข้าใจ ก่อนอื่นเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่มีจริงเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครบังคับได้ อย่างเสียงกับได้ยิน ใครบังคับได้

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าคนที่เขามาสอนเราว่า ให้มาจับ นี่แข็ง รู้หรือเปล่าว่าแข็ง

    ท่านอาจารย์ รู้ แต่เป็นเราแข็ง

    ผู้ฟัง หรือว่าเป็นน้ำอย่างนี้ หนูว่ามันผิด

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เขาไม่ได้ให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา เขาไม่ได้ให้เข้าใจว่าแข็งเป็นแข็ง

    ผู้ฟัง การที่เราไปจงใจตั้งใจทำอะไร หนูว่ามีเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีสภาพธรรมที่จงใจ ตั้งใจจงใจ มี เกิดขึ้นตั้งใจจงใจแล้วก็ดับ คือต้องให้เขาเข้าใจถูกต้องว่า อะไรก็ตามที่มี สิ่งนั้นเกิดจึงมีแล้วก็ดับ ไม่ใช่มียั่งยืนตลอดไป สิ่งนั้นเกิดขึ้นมี แล้วก็ดับ มีแล้วก็ดับ มีแล้วก็ดับ แกงส้มยังอยู่ไหม ทำเสร็จแล้ว รับประทานไปหมดแล้วยังอยู่ไหม ทุกอย่าง ต้องถึงความจริงจึงจะชื่อว่า ปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงการประจักษ์แจ้งการเกิดดับซึ่งไม่ใช่เรา แต่ปัญญาค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความติดข้องสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับจึงปรากฏ ถ้ายังคงติดข้อง ก็ไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่จากการฟังค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ว่าสภาพธรรมหนึ่งหนึ่งหนึ่งต่างกัน พอต่างกันก็จะเห็นการเกิดขึ้น และการดับ สนทนาธรรมเป็นมงคล มงคล ๓๘ ไปดู อะไรบ้างที่เป็นมงคล สิ่งที่ดีงามทั้งหมดเลยเป็นมงคลแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง การฟังธรรมเป็นมงคลเมื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพราะอยากได้บุญ ถ้าฟังเพราะอยากได้บุญ ไม่ใช่มงคล เพราะอยากได้ ไม่ใช่เข้าใจ แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจถูกต้อง ถ้าไม่ฟังก็ไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นเข้าใจคือฟังแล้วเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงจึงเป็นมงคล ฟังแล้วยังต้องสนทนาธรรมกัน เพราะเหตุว่าคนหนึ่งก็ฟังเรื่องหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็ฟังอย่างหนึ่ง ช่วยกันคิดช่วยกันไตร่ตรอง เป็นการสนทนาก็เป็นมงคล เพราะทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้น อย่างแกงส้ม ถ้าเราไม่มาสนทนากันก็ไม่ชัดเจนใช่ไหมว่า แกงส้มก็ต้องคิด แล้วก็ต้องรู้ว่าอะไร และขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เกิดดับสืบต่อ เดี๋ยวนี้ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่มีทาง เกิดแล้วบังคับไม่ได้ ต้องให้เป็นสิ่งที่ดี ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงความจริงว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป เข้าใจอย่างมั่นคง จะทำให้คลายความเป็นเรา สภาพธรรมก็ค่อยๆ เข้าใจ ปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นมีเราเป็นทุกข์หรือเป็นสุข สุขก็ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นทุกข์ไหม สภาพที่เพียงเกิดขึ้น และดับไป และไม่กลับมาอีกเลย เกิดขึ้นให้ติดข้อง เพิ่มความพอใจไปทุกวัน เพราะฉะนั้นทุจริตทั้งหลายมาจากความไม่รู้ และความติดข้อง อยากได้เงินถึงกับฆ่าเขาก็ได้ ปล้นเขาก็ได้ ทุจริตกรรมต่างๆ ก็ได้ เพราะเรา แต่ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้น มีทั้งธรรมที่ดีเกิดขึ้น ธรรมที่ชั่วเกิดขึ้น และชีวิตวันหนึ่งวันหนึ่งก็เป็นไป ถ้าด้วยความไม่รู้ ธรรมที่เกิดเพราะไม่รู้ก็ดีไม่ได้ แต่ว่าพอรู้ว่าความดีใครๆ ก็พอใจใช่ไหม จะมีขึ้นเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ความเข้าใจจริงๆ ว่าเกิดมาแล้ว ไม่มีเรา แต่มีธรรมฝ่ายดี และไม่ดี

    เพราะฉะนั้นจะสะสมฝ่ายไหน และฝ่ายดีจะดีขึ้นได้ ต่อเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เริ่มจากธรรม ฟังวันนี้ พอใครพูดว่าธรรมก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เราฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง เราไม่ได้ฟังเรื่องที่ไม่มี เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีไหม มีไหม สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมหมดเลย และเราฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่มีนั้นไม่ใช่เรา ถูกต้องไหม ในเมื่อไม่ใช่เรา แต่ไปหลงจำว่าเป็นเรา นานแสนนาน แค่นี้เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น แต่กว่าจะหมดความเป็นเราจริงๆ ไม่ต้องไปทำสติ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจอะไร แต่ที่จะหมดความเป็นเราได้ เพราะเข้าใจจากการฟัง และมีความเข้าใจตามลำดับ ไม่ใช่เข้าใจเพียงแค่นี้ มากกว่านี้อีก ถ้าฟังมากกว่านี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.คำปั่น และที่สำคัญก็คือปัญญา ก็เป็นที่พึ่งได้ในทุกระดับขั้น ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจคือไม่มีปัญญาเลย อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ได้ยินว่ากระทำอย่างนี้ดี แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย เพราะว่าปัญญาสามารถเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นผู้ไม่มีปัญญา ก็จะสำคัญผิดเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เห็นว่าสิ่งที่ไม่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ดี ตามความคิดความเห็นที่ไม่เป็นไปกับปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ปัญญาเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง และปัญญาก็นำไปในสิ่งที่ดีทั้งปวง ในช่วงท้าย ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เห็นคุณของปัญญา ก็ไม่มีทางที่จะมาฟังมาศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจจริงๆ สัตว์โลกก็เป็นไปตามการสะสม แตกต่างกันตามการสะสม แล้วการกล่าวธรรม การแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูล สำหรับใคร

    ท่านอาจารย์ ทุกคนไปโรงเรียนใช่ไหม ตอนเป็นเด็ก ไปทำไม ไปเรียนให้รู้ใช่ไหม ถ้าไม่ไปโรงเรียนจะรู้ไหม เพราะฉะนั้นเรียนก็คือไปฟังหรือไปนั่งเฉยๆ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปนั่งเฉยๆ ไม่พูดไม่จาอะไรเลย แต่ได้ฟังคำจากคุณครู ซึ่งทำให้เรามีความรู้มีความเข้าใจในสิ่งนั้น ถ้าเราจะเย็บเสื้อ เราก็ต้องไปหาคนที่เขาสอนเราได้ว่าจะตัดเสื้ออย่างไร เย็บเสื้ออย่างไร ถ้าจะทำอาหารทำเองก็ไม่เป็น ก็ต้องไปหาคนที่เขาทำเป็น ฟังเขาแต่ละคำแล้วเข้าใจในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้เราได้ยินคำว่าธรรมบ่อยๆ แต่ใครบ้างที่จะรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลี ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสแสดงกับชาวเมืองนั้น เขาพูดภาษานั้น แต่ในภาษาของเรา สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงๆ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นวันนี้เราเรียนแล้วคำหนึ่ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นไหม นี่คือประโยชน์ของการที่ได้ฟังเหมือนกับไปโรงเรียน แต่จะฟังที่ไหนก็ได้ เข้าใจที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ วันนี้อย่างน้อยที่สุดเข้าใจว่าธรรมคืออะไร มีไหม เดี๋ยวนี้ เห็นไหม ต้องคิดต่อ มี เมื่อวานนี้มีไหมธรรม เห็นไหม การที่เราจะสนทนากันหลากหลาย แม้เพียงคำเดียว เพื่อเป็นการทดสอบว่าความเข้าใจของเราถูกต้องมั่นคงแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเผินๆ แล้วก็ลืม แล้วไปต่อ อย่างไรอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าลืมแล้วใช่ไหม ด้วยเหตุนี้ต้องไม่ลืมเลย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะมีจริงๆ นั่นแหละเป็นธรรม แล้วใครจะสอนเราให้เข้าใจธรรมอย่างละเอียด มีผู้เดียวคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีอย่างละเอียดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นคำใดที่กล่าวถึงคำจริงให้เข้าใจ ทุกคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทดสอบ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เห็นไหม มี เมื่อวานนี้มีธรรมไหม พรุ่งนี้จะมีไหม มีแน่ๆ อย่างไรก็หนีไม่พ้น จะต้องเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับสืบต่อไม่มีใครยับยั้งได้เลย นี่เป็นความจริงที่รู้ว่า ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงธรรม ธรรมเป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะดับกิเลสหมดเมื่อใด ถึงความเป็นพระอรหันต์เมื่อนั้นไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดก็เกิดไม่ได้ แต่ทุกคนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์เพราะไม่รู้ก็ต้องเกิดไปอย่างนี้แหละ แต่ธรรมหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นก็มีธรรมทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี แต่ธรรมก็ต้องเป็นธรรม เพราะฉะนั้นดีก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมฝ่ายดี เพราะฉะนั้นเราจะค่อยๆ เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยว่า ที่เป็นธรรมดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน ขณะไหนเป็นเหตุ ขณะไหนเป็นผล ทั้งหมดตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายกี่ชาติก็เป็นธรรม ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.คำปั่น ทุกท่านได้ยินข้อความหนึ่งที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า ใครเป็นบุคคลที่ควรเคารพอย่างสูงสุด ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะรู้คุณของพระองค์ได้อย่างไร ถ้าผู้นั้นไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นจะเข้าใจถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อได้ฟัง แล้วก็เข้าใจคำของพระองค์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าไม่ฟังให้รู้ว่าธรรมคืออะไร ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เห็นแต่พระพุทธรูป แล้วคิดว่านี่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะได้ฟังคำเดี๋ยวนี้รู้เลย ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งสั้นมากเกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่จะรู้ว่าธรรมคืออะไร และทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมต้องเป็นธรรม จะเป็นอื่นไม่ได้ ธรรมเป็นเราได้ไหม เห็นไหมค่อยๆ ก้าวไปตามลำดับว่า ธรรมไม่ใช่เรา ธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา อัตตาแปลว่าเรา ตัวตน สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่ทุกสิ่งที่มีจริงมารวมกันหลอกลวงให้คิดว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะฉะนั้นปัญญาที่ฟังแล้วต่อไปจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และรู้ว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เมื่อเราฟังต่อไป แต่ต้องเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปปฏิบัติ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    11 ก.พ. 2568