ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๑๗

    สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง ในช่วงแรกก็คิดว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะได้กล่าวถึงสิ่งที่สำคัญสิ่งที่มีค่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดมาให้กับชีวิตของทุกๆ คน

    ท่านอาจารย์ เวลาของชีวิต สิ่งที่มีค่าที่สุดซึ่งทุกคนไม่รู้เลย จะมีอีกนานเท่าใด เพราะฉะนั้นการที่ได้มีความเข้าใจธรรม เท่ากับการได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเคยได้ยินแต่เพียงชื่อ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กราบไหว้มาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าไม่ได้คิดว่า พระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อใครก็เป็นไม่ได้เลยสักคนเดียว ไม่ว่าจะเทวดาหรือพรหม ก็ไม่สามารถที่จะมีนามว่า พระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นก็มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นในสากลจักรวาล รู้เท่านี้ไม่พอเพราะเหตุว่ายังไม่ได้รู้จริงๆ ว่าคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายความว่าอย่างไร ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น โดยความหมาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือผู้ที่ทรงตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ทรงห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง อรหันตะ คือเป็นผู้ที่ห่างไกลจากเครื่องเศร้าหมองของจิตโดยประการทั้งปวง สัมมาสัมพุทธะ ก็คือผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยชอบโดยพระองค์เอง โดยที่ไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ ด้วยพระบารมีคือความดีทั้งหมดที่พระองค์ได้สะสมอบรมมาจนถึงความสมบูรณ์พร้อม ก็ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในแต่ละครั้งที่มีการอุบัติขึ้นก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีการที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์

    ท่านอาจารย์ รู้เท่านี้พอไหม พอไหม เพียงเท่านี้เองไม่พอ ต้องรู้มากกว่านี้อีกว่าอะไรที่พระองค์ทรงตรัสรู้ที่จะทำให้พระองค์สามารถที่จะดับกิเลส ทุกคนมีกิเลสมาก จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ทราบ แต่ว่าให้ทราบจริงๆ ว่า มากเกินกว่าที่จะประมาณได้ แต่ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง และสามารถที่จะดับกิเลสได้ ได้ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟังด้วย ด้วยเหตุนี้รัตนะที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่ารัตนะใด ก็คือ พระพุทธรัตนะ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ แสดงให้เห็นว่าปัญญาที่ได้ตรัสรู้ความจริง ทำให้บริสุทธิ์ และดับกิเลสได้ ใครเคยคิดที่จะดับกิเลส ยากไหม กิเลสมี แล้วอะไรจะดับกิเลสได้ ไม่มีใครสามารถจะดับกิเลสได้เลย นอกจากปัญญาความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟังมีความลึกซึ้ง แล้วเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และสามารถที่จะอบรมให้เพิ่มขึ้นได้ด้วย ด้วยเหตุนี้จากการฟังคำแต่ละคำ ทำให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น เพราะฉะนั้นการกราบไหว้บูชาพระองค์ ก็เป็นไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ด้วยเหตุนี้พระธรรมทั้งหมด ทุกคำเป็นคำจริงแต่ละคำ ซึ่งต้องอาศัยการฟังทีละคำแล้วก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นรัตนะที่ประเสริฐที่สุด ที่จะทำให้ทุกคนรู้จักพระองค์ และรู้จักว่าถ้าปราศจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกมืดเพราะไม่รู้ความจริง หรือว่าเหมือนอย่างที่คุณไชยยศกล่าวคือหลับ และฝันทุกชาติไป ยังไม่ตื่นขึ้นรู้ว่าความจริงนั้นคืออะไร ด้วยเหตุนี้พระธรรมเป็นรัตนะที่สูงสุด ทำให้ผู้ที่ได้ฟังสามารถที่จะเข้าใจความจริง และก็ดับกิเลสได้ เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นสาวกคือผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคำว่าสาวกหมายความถึงผู้ฟังพระธรรม ด้วยเหตุนี้พระรัตนตรัย ๓ อย่าง ที่เป็นรัตนะที่ประเสริฐที่สุด คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง เป็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ เพื่อที่จะให้คนอื่นรู้ว่า ธรรมคือความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงแต่ละคำสามารถนำไปสู่ความรู้สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นธรรมนั้นก็เป็นธรรมรัตนะ และผู้ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ฟังเพราะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม เพื่ออนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย เพราะฉะนั้นผู้ฟังซึ่งเป็นผู้ที่มั่นคงว่า การเกิดมาแล้วไม่รู้ความจริงแล้วจากโลกนี้ไป แต่มีผู้ที่ทรงแสดงความจริงของโลกนี้ทุกอย่างทั้งหมดโดยประการทั้งปวง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องได้ ผู้นั้นอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งความจริง จึงเป็นพระสาวกหรือสังฆรัตนะ

    เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยคือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่สามารถที่จะถึงความเป็นพระสังฆรัตนะได้ ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมแต่ละคำ เหมือนได้รัตนะที่ประเสริฐยิ่งกว่ารัตนะใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในคำแต่ละคำซึ่งอาจจะชินหู แต่ว่าเข้าใจหรือเปล่าว่าหมายความว่าอะไร เช่น พระพุทธรัตนะเข้าใจแล้ว หมายความถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ก็คือตรัสรู้ความจริงแท้ถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริง แล้วเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงไหม การฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจต้องไม่ลืมเลย ไม่ว่าจะฟังอะไรก็ตาม ทั้งหมดฟังเพื่อเข้าใจทั้งนั้น แต่ละคำฟังเพื่อเข้าใจ เช่น คำว่าไป เข้าใจใช่ไหม ตื่น พอพูดคำนี้ก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นได้ยินได้ฟังคำใด เพื่อเข้าใจคำนั้น แต่คำที่จะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนทั้งหมด เริ่มจากคำว่าธรรมสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ถ้าไม่เคยฟังธรรมมาก่อน ใครรู้บ้างว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้เองจริง เห็นจริง ได้ยินจริง คิดจริง จำจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีไม่มีคำภาษาไทยว่าสิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำว่า ธรรม

    เพราะฉะนั้นเริ่มทีเดียว คือเริ่มเข้าใจแม้คำเดียวในวันนี้ให้ถูกต้อง ก็เป็นลาภที่ประเสริฐยิ่ง เป็นรัตนะที่เหนือเพชรนิลจินดา ทรัพย์สินเงินทองใดๆ ทั้งหมด ที่จะได้รู้ความจริงว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ทำไมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะได้ตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน แสดงว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังธรรมแต่ละคำ ก็เพื่อไตร่ตรองจนกระทั่งรู้ว่า เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริง คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ทุกคนเห็น ไม่มีใครสงสัย แต่รู้ไหมว่าเห็นคืออะไร ได้ยินก็เช่นเดียวกัน ก็กำลังได้ยินแท้ๆ แล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้ยิน หมายความว่าอย่างไร ได้ยินธรรมดาอย่างนี้ เห็นธรรมดาอย่างนี้ คิดธรรมดาอย่างนี้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อทรงตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง แต่ละคำเตือนให้คิดถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริง ซึ่งยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่าไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังว่าเห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร ใครจะตอบได้ เห็นกำลังมี เห็นกำลังเห็น แต่เห็นคืออะไร เห็นมีจริงไหม ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น จะมีเห็นไหม แค่นี้ เริ่มเป็นผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้ความจริงว่าเห็นเดี๋ยวนี้ที่มีอยู่ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีตา เห็นก็เกิดไม่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นจริงๆ แต่ความจริงของเห็นลึกซึ้ง คือเห็นเกิดแล้วเห็นก็ดับไป ไม่ปรากฏเลย แต่ว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นถ้าเห็นไม่ดับไป ได้ยินจะมีได้อย่างไร เพราะว่าเสียงมีปรากฏเมื่อมีได้ยิน เพราะฉะนั้นเห็น ไม่มีเสียงปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นอีกขณะหนึ่ง ซึ่งต่างกับขณะที่ได้ยิน แต่ละขณะไม่มีใครไปทำให้เกิดเลย แม้แต่ขณะแรกที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้ แต่ก็เกิดมาแล้วตามเหตุตามปัจจัย ปัจจัยหมายความถึงสภาพที่มีจริงที่อาศัยกันที่ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมีขึ้นได้ เช่น เห็นขณะนี้ ถ้าไม่มีตา ไม่มีเห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ก็ไม่ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ ในขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นต้องกระทบตา แล้วจึงมีธาตุที่เห็นเกิดขึ้นเห็น แต่ละคำยากในตอนต้น แต่ว่าโดยฐานะที่มีจริงๆ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ว่ารู้กับไม่รู้ต่างกันมาก และการรู้มีประโยชน์อย่างไรที่จะทำให้ถึงความจริงที่ว่า เป็นผู้ที่รู้จักตนเอง หรือชีวิตหรือโลก หรือทุกอย่าง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง โดยมากคนจะไม่ฟังตอนต้น แต่จะฟังเรื่องอื่น เช่น ความเมตตาบ้าง ความกรุณาบ้าง ความขยันบ้าง หรือการที่จะปฏิบัติต่อมารดาบิดา ชาติ ประเทศบ้าง จะไปพูดถึงสิ่งซึ่งไม่ใช่การตั้งต้นให้รู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าฟังอย่างนั้น ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็จะได้ยินคำซึ่งไม่เหมือนกับที่หวังหรือที่คิดว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่มีความทุกข์ หรือทำอย่างไรถึงจะมีความสุข นั่นคือมีความต้องการในสิ่งซึ่งคิดว่าจะทำได้ แต่ความจริงถ้าเข้าใจคำว่าธรรม ก็จะเป็นคำตอบของทุกอย่างว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ใครทำได้ ใครก็ทำไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นคำถามว่าทำอย่างไรจะหมดทุกข์ ก็ต้องเป็นคำถามซึ่งไม่สามารถที่จะให้ใครตอบได้ นอกจากผู้ที่ตรัสรู้ว่าความทุกข์เกิดจากอะไร เมื่อไม่มีเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ทุกข์จึงเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องอดทนที่จะรู้ว่ายากลึกซึ้ง ทำไมพูดถึงสิ่งที่มีแล้ว ทำไมไม่พูดถึงสิ่งที่ต่อไปจะเกิดเป็นอย่างไร จะร่ำรวย จะเป็นเศรษฐี แล้วสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ขณะนี้ แม้ว่าจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาศาลก็ไม่รู้อยู่นั่นเอง ทุกขณะก็เป็นไปตามที่มีเหตุที่จะให้เป็น แต่ไม่รู้ความจริงว่าเกิดเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเหตุใด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกคนมีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม แม้ได้ฟังแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นประโยชน์ของการฟัง เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการฟังจริงๆ ก็คือผู้ที่ไม่เพียงแต่เอ่ยคำว่าชาวพุทธ หรือว่านับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องรู้ว่ากว่าจะได้เข้าใจคำของพระองค์ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความอดทนอย่างยิ่ง ที่จะรู้คำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแต่ละคำได้ แม้คำเดียวคือธรรม เพราะฉะนั้นวันนี้ไตร่ตรอง ธรรมทั้งหมดเป็นเรื่องจริง พูดถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนทุกคำ นั่นคือธรรม เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย และเป็นผู้ที่ตรงที่ว่ารู้จักธรรม เพราะธรรมมีจริง และกำลังมีจริง และก็เป็นแต่ละสิ่งที่หลากหลายมาก เห็นมีจริงเป็นธรรมหนึ่ง ได้ยินมีจริงเป็นธรรมหนึ่ง อะไรที่มีจริง ก็มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ปะปนกัน หลากหลายมาก

    วันนี้ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ธรรมทั้งหมดมีจริงทั้งหมด เห็นทั้งหมด คิดทั้งหมด ชอบทั้งหมด ไม่ชอบทั้งหมด ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง สุขทุกข์บ้าง ผ่านไปทั้งหมด โดยไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังคำจริง ก็คือเริ่มรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงหลงยึดถือว่าเป็นเรา ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้นเราก็ไม่มี แต่เพราะธรรมเกิดขึ้นไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงเข้าใจว่าเป็นเรา ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ขาดไม่ได้ที่จะเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เป็นคำที่ถูกต้องที่สุด เพราะเหตุว่าโลกทั้งโลก มี เมื่อมีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งนั้นเป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นคนมีจริงไหม คนมีจริงไหม ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ใช่ไหม ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย ไม่มีใจ มีโลกไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่า แม้แต่คำว่า โลกหรือโลกะ ก็คือเป็นธรรมสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วดับไป ก็แสดงว่าเริ่มเข้าใจคำว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ด้วย คิดเป็นธรรม ห้ามคิดได้ไหม ไม่ได้ เปลี่ยนความคิดได้ไหม ไม่ได้ เพราะคิดแล้ว เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่คิดแล้ว เห็นแล้ว ดับแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว ดับแล้วทั้งหมด นี่คือความหมายของโลกหรือโลกะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นมีจริง แล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย เห็นเมื่อเช้านี้อยู่ที่ไหน ได้ยินเมื่อเช้านี้อยู่ที่ไหน คิดเมื่อเช้านี้หรือเมื่อสักครู่นี้ ก็ไม่ใช่คิดเดี๋ยวนี้ นี่ก็เริ่มเห็นเงาของธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นโลกมืดเพราะไม่รู้ความจริงว่า แต่ละสิ่งที่มี มีเมื่อเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครสักอย่างเดียว ถ้าศึกษาโดยตลอดแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง มีเหตุปัจจัยอาศัยกันที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้แม้แสนสั้น แต่ก็ต้องอาศัยหลายๆ อย่าง จึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ คนตาดี นอนหลับเห็นไหม ไม่เห็น ไม่มีอะไรกระทบตา แต่พอตื่นขึ้นลืมตา มีสิ่งที่กระทบตา เห็นจึงเกิดได้ ถ้าตื่นขึ้นเสียงกระทบหู ขณะนั้นก็ตื่นขึ้นได้ยิน ถ้าขณะนั้นตื่นขึ้นคิด คือคิดเกิดขึ้นขณะนั้นไม่ใช่หลับ เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างที่มีอยู่ เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ด้วยเหตุนี้จะค่อยๆ ได้ยินคำของธรรมเพิ่มขึ้นทีละคำ เช่น ธรรมทั้งหลาย หมายความว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่เว้นเลย เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงนั้นๆ ถึงที่สุด ที่จะตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตา หมายความว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา มีการเกิดขึ้นปรากฏจริง แต่ปรากฏแล้วก็หมดไป มีอะไรที่เกิดปรากฏแล้วไม่หมดไปบ้าง มีตา เจ็บตา เจ็บมาจากไหน ถ้าเจ็บไม่เกิดขึ้น ก็ไม่เจ็บใช่ไหม ตาไม่เจ็บ แต่เจ็บเป็นเจ็บ ตาเป็นตา ไม่ใช่เจ็บตา เจ็บแขนได้ไหม ก็ได้ แต่เจ็บก็ไม่ใช่แขน เจ็บก็เป็นเจ็บ แขนก็ไม่ใช่เจ็บ

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งใครบังคับบัญชาได้ ถ้ารู้ความจริงก็จะเป็นผู้ที่เข้าใจว่า แท้ที่จริงที่เกิดมาสุขทุกข์ต่างๆ ทั้งหมด แล้วหลงเข้าใจผิดว่าเป็นเรา ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว กี่ชาติมาแล้ว รวมทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไปด้วย ชา-ติ หมายความถึงการเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ภาษาไทยเราใช้ ก็มีความหมายตรงกับความเป็นจริง ชา-ติ การเกิดขึ้น ก่อนเกิดมาเป็นคนนี้รู้ไหมว่าจะเกิดเป็นคนนี้ ไม่เป็นคนอื่น ไม่รู้ แล้วทำไมแต่ละคนไม่เหมือนกัน จำหน้าได้เลย เพราะไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่มีคิ้ว มีตา มีจมูก มีปาก มีหู มีแขน มีขา ก็เท่านั้นเอง แต่พอเห็นก็รู้ว่าไม่เหมือนกัน วิจิตรถึงปานนี้เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแต่ละหนึ่ง ก็ไม่รู้เลยสักอย่างเดียว ไม่รู้แม้แต่ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน ก่อนจากไป จะแขนขาด ขาขาด ตาบอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ที่จะทำให้บุคคลอื่นได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ความรู้กับความไม่รู้ แค่นี้ ไม่ต้องอาศัยปัญญาอะไรมากมายเลย อะไรดี ความรู้ดีหรือความไม่รู้ดี มีสองอย่าง รู้ต้องดีกว่าใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดว่ารู้ดีกว่าจะรู้ได้อย่างไร อยู่ดีๆ รู้เองก็ไม่ได้แน่ๆ แต่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงให้รู้ได้ แต่ยากไหมกว่าจะได้รู้ความจริง จากการที่ต้องอบรมบารมีมาฉันใด ผู้ที่ฟังคำของพระองค์ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทน เพราะรู้ว่าความจริงนี้ไม่ง่าย แต่สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำที่เราได้ยินบ่อยๆ คือ คำว่า บารมี มาจากภาษาบาลี ภาษามคธีเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึง ใช้คำว่า ปาละ หรือ ปาลี แต่คนไทยก็พูดว่าบาลี แต่ความจริงภาษาของชาวมคธ ซึ่งพระสัมมาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในภาษานั้นกับชาวเมืองนั้น เหมือนกับคำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้เป็นภาษามคธีทุกคำ เรากำลังได้ยินได้ฟังในภาษาไทย เพราะฉะนั้นก็เป็นภาษาอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่คุ้นเคย แต่คนไทยใช้คำนี้มาก ภาษาบาลี แต่ใช้ด้วยความหมายที่ไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ต้องเข้าใจคำว่า บารมีในภาษาไทย ซึ่งเป็นปารมี ในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาบาลี ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น โดยความหมายของ ปารมีหรือบารมี หมายถึงคุณความดีทั้งหลายทั้งปวง ที่จะเป็นเหตุทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส เพราะฉะนั้นจะไม่พ้นไปจากคุณความดีประการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเป็นผู้ที่จริงใจมั่นคง ที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจความจริง เป็นผู้ที่มีความตั้งใจมั่นไม่หวั่นไหว มีความอดทน มีความเพียร เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม และปัญญาที่จะเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นปารมีหรือบารมี จึงไม่พ้นไปจากคุณความดีทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้จากที่ยังอยู่ในฝั่งที่ยังเต็มไปด้วยกิเลส ถึงฝั่งอีกฝั่งหนึ่ง คือฝั่งของการดับกิเลส

    ท่านอาจารย์ มีเงินมีทอง มีทรัพย์สิน มีรูปสมบัติทรัพย์สมบัติทุกอย่างครบถ้วนมากมาย มีความทุกข์ไหม เห็นไหม แสดงว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ หรือเปล่า แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของใครจริงๆ เลย เป็นสิ่งที่มีไม่ใช่ไม่มี ชั่วคราว ทรัพย์สมบัติประจำโลก จากโลกนี้ไปแล้ว ใครเอาไปได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    11 ก.พ. 2568