ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๙๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ แล้วจิตที่ได้ยิน เราเรียกว่าจิตได้ยิน เกิดขึ้นทำกิจได้ยินเสียง ไม่ทำกิจอื่นเลย ไม่หลับ ไม่คิด ไม่อะไรหมด แค่เกิดได้ยินแล้วดับ เราอยู่ที่ไหน แล้วก็ดับไปหมดแล้วด้วย แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นก็ยึดถือสิ่งที่ไม่มีหมดแล้วอย่างมั่นคงว่ายังมี นี่คือความไม่รู้ว่ามากมายสักแค่ไหน กว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น แล้วจะไปสำนักปฏิบัติไหมอย่างนี้ เห็นไหม สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ต้องเป็นผู้ที่ตรง คำสอนทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการพูดถึงให้เข้าใจอย่างถูกต้อง แต่ให้ทำ ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนนั้นจะไม่เกิดปัญญาของตัวเองเลย เพราะฉะนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่จะไม่หลงผิด มีความเข้าใจที่มั่นคงถูกต้อง เพราะแม้แต่คำว่าหลับก็เข้าใจได้ว่าไม่ใช่เราเลย บังคับได้ไหม ไม่ได้ แล้วไม่ให้ตื่นได้ไหม ให้ตื่นเวลานั้นเวลานี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แต่ถ้าตื่นเวลานั้นบ่อยๆ เริ่มจะตื่นเวลานั้น เห็นไหม ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นหลับจิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ไหม ต่อไปนี้เราจะใช้อีกคำหนึ่งคือคำว่าอารัมมณะ หรือภาษาไทยใช้คำว่าอารมณ์ หมายความถึงสิ่งที่ถูกจิตรู้ เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดว่าสิ่งที่ถูกจิตรู้ ยาวหลายคำ แล้วก็ไม่ใช่ภาษาบาลี เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มเรียนภาษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนชาวมคธด้วยภาษามคธี แล้วก็ค่อยๆ เรียนภาษาบาลีให้ถูกต้องทีละคำสองคำ ถ้าเรียนบาลีจริงๆ ที่จะให้สามารถแปลได้ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี ถ้าจะให้เป็นผู้ที่รอบรู้จริงๆ แต่แค่รู้คำ

    เพราะฉะนั้นคนที่รู้ภาษาบาลี ไม่เข้าใจธรรม แต่ต้องศึกษาธรรมด้วย เมื่อศึกษาธรรมแล้ว ผู้ที่รู้ภาษาบาลีจะรู้ความลึกซึ้งของคำด้วย ในขณะผู้ที่ไม่รู้ภาษาบาลีเข้าใจธรรม แต่ไม่สามารถที่จะรู้ความลึกซึ้งของคำ เช่น ปัญญัตติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ใช่ไหม แล้วก็บอกใช่ พอเห็นแล้วก็บัญญัติ แล้วก็ตามคำไปเลย หมายความว่ารู้ได้โดยอาการ เห็นแล้วก็บัญญัติดอกไม้ เห็นแล้วก็โต๊ะ เพราะฉะนั้นเห็นแล้วก็มีบัญญัติ รู้บัญญัติ แต่ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็คือว่ารู้ได้โดยอาการนั้นๆ ไม่ว่าจะเห็น หรือได้ยิน ได้ยินก็รู้ได้โดยอาการของเสียงนั้นๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงสามารถรู้ว่าเสียงนั้น หมายถึงคำอะไร ความหมายอะไร นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นความละเอียด ซึ่งจะเห็นได้ว่า ต้องศึกษาเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปติดอยู่ที่คำหนึ่งคำใด หรืออยากจะรู้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้มีภาษาบาลี ๑ คำ คืออารัมมณะ หรือบางครั้งใช้คำว่าอาลัมพนะ ความหมายอย่างเดียวกัน หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ จะมีความหมายคำแปลอีกหลายนัย ลึกซึ้ง แต่ว่าแค่นัยเดียวก็ให้เข้าใจให้ถูกต้อง เพราะเหตุว่าเราไม่ใช่เป็นนักภาษาที่เพียงรู้ภาษา แต่อาศัยภาษาเข้าใจธรรม นี่ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะที่หลับ ไม่ใช่เห็น ไม่ได้ทำทัสสนกิจ ไม่ได้ได้ยิน ภาษาบาลีใช้คำว่าสวนะ ฟัง สวนกิจ

    เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังหลับ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่จิตเกิดขึ้นต้องทำหน้าที่ เกิดเปล่าๆ ไม่ได้เลย หน้าที่หนึ่งหน้าที่ใด ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ก็ทำภวังคกิจ ภวกับอังคะ อังคะคือองค์ ภวคือภพ เพราะฉะนั้นองค์ที่ทำให้ภพชาติยังมีอยู่ ยังไม่หมดสิ้นไป ก็คือจิตนี้เองซึ่งเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติเป็นภวังค์ จนกว่าจะตื่นแต่ไม่ตาย ถ้าตายต้องเป็นอีกจิตหนึ่งที่ไม่ได้ดำรงภพชาติ นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งเกิดมาก็ไม่เคยรู้ จนกว่าจะได้ฟังเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น แล้วก็จะเห็นคุณค่าว่าจะเข้าใจได้มากกว่านี้อีก จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว นี่ก็คือประโยชน์ของการที่มีโอกาสได้ฟังธรรม แล้วก็ไม่ประมาทที่จะเข้าใจแต่ละคำ อย่างคำว่าจิต ธาตุรู้ มีหลากหลาย จิตเกิดขึ้นทำกิจหนึ่งกิจใดใน ๑๔ กิจ เพราะฉะนั้นกิจแรกคือปฏิสนธิจิต หมายความว่าอะไร ปฏิสนธิ ปฏิแปลว่าเฉพาะ สันธิแปลว่าสืบต่อ จิตนี้เกิดสืบต่อจากจุติจิต คือจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ไม่ไปเกิดต่อจากจิตไหนเลยทั้งสิ้น เกิดได้เฉพาะต่อจากจุติจิตของชาติก่อน คือทันทีที่จุติจิตของชาติก่อน ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย กรรมหนึ่งในสังสารวัฏ อย่าลืม มากมายมหาศาลเลือกไม่ได้เลย แต่ถึงเวลาพร้อมที่จะทำปฏิสนธิกิจ เป็นปัจจัยให้จิตก่อนตาย เศร้าหมองเป็นอกุศล หรือผ่องใสในอารมณ์ที่ปรากฏ ซึ่งไม่มีใครไปเลือกหรือไปทำให้เกิดขึ้น เห็นไหม กรรมที่ได้ทำแล้วเจตนาเกิดแล้วดับแล้ว แต่แรงของเจตนาสามารถที่จะทำให้จิตประเภทที่เป็นผลของกรรมเกิดรู้ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตเหล่านี้ทั้งหมดเป็นผลของกรรม ภาษาบาลีใช้คำว่า วิปากะ หมายความว่าพร้อมที่จะให้เกิดเห็น แต่ยังมีกรรมอื่นอีกมากมายยังไม่พร้อมที่จะให้เกิดเห็น ก็ยังไม่ทำให้เห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น เลือกไม่ได้ว่าจะเห็นอะไร เห็นที่ไหน เพราะว่าต้องแล้วแต่กรรม จะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็แล้วแต่กรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็แล้วแต่กรรม ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ก็แล้วแต่กรรม ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ ก็แล้วแต่กรรม

    ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ จะเดือดร้อนไหม ก็ไม่เดือดร้อน แค่หนึ่งขณะจิตสั้นแสนสั้นเท่านั้นเอง จะสุขสักเท่าใด ก็หนึ่งขณะจิต ทุกข์สักเท่าใดก็หนึ่งขณะจิต ยั่งยืนไม่ได้ เที่ยงไม่ได้ เป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ไม่เดือดร้อนเลย เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นความเห็นที่ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้สงบจากความไม่รู้ ซึ่งเป็นมูลเหตุของอกุศลทุกประเภท ถ้ารู้แล้วจะเป็นอกุศลไม่ได้สักประเภทเดียว นี่ก็แสดงให้เห็นว่าศึกษาต้องเข้าใจความจริง นี่เป็นอภิธรรมแล้วเป็นธรรมด้วยหรือเปล่า ก็ธรรมนั่นเอง แต่ละเอียดขึ้น จึงเป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้นอารัมมณะ หรืออารมณ์ในภาษาไทย หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เดี๋ยวนี้มีไหม มี เพราะเดี๋ยวนี้มีจิตไหม มี จิตเกิดขึ้นไม่รู้อารมณ์ได้ไหม ไม่ได้ นี่คือเริ่มเข้าใจธรรม เริ่มมั่นคงว่าไม่ใช่ไปทำ จะไปทำอะไรโดยความไม่รู้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย พระองค์ไม่ได้สอนให้ใครทำ แต่ให้ปัญญาซึ่งไม่เคยเกิด ได้เกิด และเริ่มเจริญขึ้น จนสามารถจะรู้ความจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ จึงจะเป็นสาวกคือผู้ฟัง จึงจะเป็นชาวพุทธ เพราะรู้จักพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องเป็นกุศลเป็นปัจจัยให้ได้มาเกิด ได้อัตภาพที่เป็นมนุษย์ที่ไม่พิการ

    ท่านอาจารย์ ผลของเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของจิตที่ดี กุศลดีงามไม่นำความทุกข์มาให้เลย เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต และเจตสิกซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเป็นอะไร ภาษาไทยธรรมดา ก็ผลของกรรมดี เพราะฉะนั้นตัวผลของกรรมดี ผลนั้นเป็นจิต และเจตสิกที่เกิดเพราะเหตุที่ดี แต่เพราะการเกิดไม่ใช่ตัวเหตุ แต่เป็นตัวผล จึงเป็นกุศลวิบาก ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วก็ดับไป และก็เป็นภวังค์สืบต่อ จะมีปฏิสนธิจิตสองสามขณะในชาติหนึ่งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นชาติหนึ่ง มีปฏิสนธิจิตหนึ่งขณะ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดสืบต่อ เป็นจิตประเภทเดียวกันเลย เหมือนกันเลยกับปฏิสนธิจิต เพราะเป็นผลของกรรมเดียวกัน

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่เพราะไม่ได้ทำกิจสืบต่อจากชาติก่อน จึงไม่ใช่ปฏิสนธิจิต

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตขณะแรกของชาตินี้ที่เกิดมา ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องมีจิตขณะแรกที่เกิด จิตนั้นเป็นชาติวิบาก จิตมี ๔ ชาติ ชา-ติ คือเกิดเป็นกุศลหนึ่ง หรือว่าเกิดเป็นอกุศลหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต จิตที่เป็นผลต้องมาจากประเภทเดียวกัน คือจิตเป็นธาตุรู้ ผลก็ต้องเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นผลของเหตุ ก็ต้องเป็นจิตที่รู้เป็นวิบาก ถ้าเหตุดีเป็นกุศล จิตที่เกิดรู้อารมณ์ จิตทั้งหมดต้องรู้อารมณ์ ไม่ว่าเหตุหรือผลหรืออะไรก็ตาม ถ้าเป็นจิตแล้วต้องรู้อารมณ์ก็ต้องรู้สิ่งที่ดี เพราะเป็นผลของเหตุที่ดี เพราะฉะนั้นหนึ่งขณะแรกที่เกิดขึ้นหนึ่งขณะสั้นแค่ไหน บังคับบัญชาได้ไหม บอกให้จิตนี้เกิด จิตนั้นเกิดทำปฏิสนธิได้ไหม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวทุกคนเลือกกันใหญ่เลย จะให้จิตไหนทำกิจปฏิสนธิใช่ไหม เอาจิตดีๆ ใช่ไหม แต่เป็นไปไม่ได้เลย ถึงแม้จะทำกรรมดีไว้เป็นถึงพระโพธิสัตว์ พระมหาสัตว์ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมก็ยังให้ผล บางพระชาติเป็นนก บางพระชาติเป็นช้าง บางพระชาติเป็นลิง เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดตามใจชอบ แต่กรรมใดก็ตามพร้อมที่จะให้ผล จึงสามารถให้ผลได้ เพราะเหตุว่ากรรมมีมากมายนับไม่ถ้วนเลย เมื่อเช้านี้ก็มีตั้งหลายขณะจิตใช่ไหม กุศลกรรมอกุศลกรรมก็แล้วแต่ และก็สะสมสืบต่อ รวมทั้งชาติก่อนๆ นั้นด้วย ไม่รู้ว่ากรรมไหนจะให้ผลเมื่อใด และทางไหน เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดงไว้ว่า กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด เมื่อทำแล้วก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อใด เวลาที่ผลเกิดก็ไม่รู้นี่มาจากกรรมอะไร จริงไหม แต่ก็เหตุกับผลต้องตรงกัน เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล เพราะฉะนั้นตราบใดที่มีกรรม ก็ต้องมีผลของกรรม เพราะฉะนั้นกรรมที่จะทำให้เกิดขึ้น ก็ต้องเป็นกรรมหนึ่งซึ่งพร้อมที่จะให้เป็นคนนี้อย่างนี้เอง ยังไม่พอ เกิดแล้วกรรมอื่นยังพร้อมที่จะให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้างอีก แล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลอย่างไร แต่กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิเกิดขึ้นเป็นชนกกรรม ชนกที่เราเรียกว่าพ่อ ชนกคือเป็นกรรมที่ทำให้วิบากจิตทำปฏิสนธิกิจ เป็นแต่ละหนึ่ง หนึ่งขณะเดียว หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมก็ทำให้ภวังคจิตเกิดสืบต่อทีละหนึ่งขณะ จิตประเภทเดียวกันเลย เดี๋ยวนี้มีภวังค์ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ใครรู้ เห็นไหม ไม่รู้ ตอนหลับสนิท ภวังค์เกิดดับนานเท่าใดมากเท่าใดก็ไม่มีใครรู้ แต่ว่ามีแน่นอนใช่ไหม และไม่ใช่วิถีจิต เพราะไม่ใช่จิตที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ทราบว่าขณะใดที่เห็นเป็นผลของกรรม ขณะใดที่ได้ยินเป็นผลของกรรม ขณะที่ได้กลิ่นเป็นผลของกรรม ขณะที่ลิ้มรส รสอะไรก็แล้วแต่ เป็นผลของกรรม ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบกาย ขณะนั้นเป็นผลของกรรม ถ้ากล่าวโดยไม่ละเอียดมาก เท่าที่สามารถจะรู้ได้ ก็คือขณะใดที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้จะดีหรือไม่ดี น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ก็แล้วแต่ว่าได้กระทำเหตุมาอย่างไร ก็เป็นปัจจัยเมื่อถึงเวลา ที่จะให้กรรมนั้นให้ผล ก็เป็นไปตามสภาพธรรมที่เป็นผลคือ เหตุได้กระทำไว้ไม่ดี ผลก็ต้องไม่ดี เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เป็นผลของกรรม นอกจากนี้แล้วไม่ใช่วิบาก แค่นี้สั้นๆ พอจะรู้ได้ไหม เห็นไหม คิดเป็นวิบากหรือเปล่า คิดไม่เป็นวิบาก เพราะฉะนั้นการเรียนธรรมไม่ใช่ไปเรียนวิถีจิตเรียนชื่อ แต่เรียนเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เห็นมี ได้ยินมี ได้กลิ่นมี ลิ้มรสมี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายมี ไม่เคยรู้เลยว่านี่เองผลของกรรม แต่ ณ บัดนี้รู้ว่าเห็นเป็นผลของกรรม ได้ยินก็เป็นผลของกรรม ได้กลิ่นเป็นผลของกรรม ลิ้มรสเป็นผลของกรรม รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นถึงได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่าฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย กรรมให้ผลเมื่อใด

    ผู้ฟัง เมื่อกรรมนั้นสุกงอมจะให้ผล

    ท่านอาจารย์ ขณะไหน

    ผู้ฟัง ขณะเห็นก็ได้ ขณะได้ยินก็ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกรรมให้ผลครั้งแรกที่สุดเมื่อใด

    ผู้ฟัง ตอนเกิด

    ท่านอาจารย์ นั่นเอง ปฏิสนธินั่นเองเป็นผลของกรรม ต่อจากนั้นเปิดทางแล้ว ปฏิสนธิจิตประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้น

    ผู้ฟัง มาพร้อมแล้ว

    ท่านอาจารย์ อยู่ในจิต

    ผู้ฟัง อยู่ในจิตนั้นแล้วหรือ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เป็นกุศล และอกุศลที่เกิดแล้ว ไม่ได้สูญหายเลย แม้ดับไปแล้วก็ได้สะสมในฐานะที่เกิดแล้ว เป็นพืชเชื้อที่จะให้เกิดอีกเกิดอีกเกิดอีก เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าหนึ่งขณะจิตไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า สะสมอะไรไว้มากแค่ไหน แต่สำหรับปฏิสนธิในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง ประมวลมาเฉพาะกรรมที่ทำกิจปฏิสนธิ ที่สามารถจะให้ผลได้ในชาตินั้น เพราะฉะนั้นเกิดเป็นงู กับเกิดเป็นคน ปฏิสนธิต่างกันแล้ว ความที่กรรมอื่นๆ จะสามารถให้ผลได้ก็ต้องต่างกัน งูจะมีช้อนทองไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ใช่ไหม เพราะกรรมนั้นจำกัดแล้ว สามารถที่จะให้ผลแค่ไหนในชาตินั้น ประมวลมาซึ่งกรรมใดๆ ที่สามารถจะให้ผลเฉพาะในชาตินั้น ม้ากัณฐกะเป็นม้า แต่ว่าพอจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นเทพบุตร ต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ การให้ผลของกรรมพลิกเลย จากม้าเป็นเทพบุตร เหนือมนุษย์อีก ปัญญาที่สะสมมาแล้ว สามารถที่จะฟังธรรมแล้วเป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นกัณฐกะเทพบุตร แต่ตอนที่เป็นม้ากัณฐกะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ปฏิสนธิจิตเป็นกรรมที่ประมวลมาแล้ว

    ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิต ประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้น

    ผู้ฟัง ประมวลมาซึ่งกรรมที่จะให้ผล

    ท่านอาจารย์ แต่กรรมอื่นก็มีไม่ใช่หายไปหมด แต่เฉพาะวิบากจิตซึ่งทำกิจปฏิสนธิ แต่ละคนเป็นผลของกุศลทั้งนั้นเลยที่นั่งอยู่ที่นี่ ต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ถึงเป็นผลของกุศลก็ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุต่างกัน และการสะสมมาก็ต่างกัน คิ้ว ตา จมูก ปาก ก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่จำคำ เขาว่าตามเขา แต่ต้องคิดไตร่ตรอง กว้างขวาง ละเอียดขึ้น มั่นคงขึ้น จินตามยปัญญา เพียงแค่การฟังสามารถจะมีหูกระทบเสียง ได้ยินเสียง จำเสียง รู้ความหมายของเสียง และมีการสะสมมาที่จะเข้าใจคำนั้นแค่ไหน ทั้งๆ ที่ทุกคนก็ได้ยินเหมือนกัน เสียงเดียวกัน คำเดียวกันด้วย แต่ความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำนั้นแค่ไหน ท่านพระสารีบุตรต้องต่างกับคนอื่นแล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นว่ามีสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะคิดเอง อาศัยการฟังแล้วจริงหรือเปล่า ถูกต้องไหม ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น ก็เป็นหนทางที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หนทางเดียว ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ เป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะละคลายกิเลสซึ่งมีมาก ประมาณไม่ได้เลยว่าแค่ไหน จากการไปทำอะไรขึ้นมา แล้วไม่รู้อะไรอย่างนี้ แล้วก็จะไปเป็นพระโสดาบัน เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม แม้แต่จะฟังธรรมก็ยังต้องฟังด้วยความใส่ใจ มนสิการ ด้วยความแยบคายในเหตุในผลของคำแต่ละคำที่ได้ฟัง อย่างปฏิสนธิจิตหนึ่งขณะ จิตอื่นที่เกิด เกิดแล้วก็ดับทั้งนั้นเลย

    เพราะฉะนั้นชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิต แต่หนึ่งขณะหลากหลายแค่ไหน คิดดู ของแต่ละหนึ่งคน เห็นไหม ก็แค่หนึ่งขณะเท่าๆ กัน หนึ่งขณะเท่ากัน แต่ความหลากหลายของจิตหนึ่งขณะนั้นต่างกันมหาศาล เพราะฉะนั้นกรรมที่ได้กระทำไว้ของจิตนี้ กรรมที่ได้กระทำไว้ของจิตนั้น แล้วแต่ว่ากรรมใดพร้อมที่จะให้ผล ทำให้ปฏิสนธิเกิดทำกิจเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน แม้ว่าทุกอย่างสะสมอยู่ในจิตไม่หายออกไปนอกจากจิตได้สักอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมชั่ว กรรมดี กรรมเล็ก กรรมน้อย กรรมใหญ่ กรรมอะไรทั้งหมด สะสมอยู่ในจิต แต่ว่าปฏิสนธิจิตก็ประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า กรรมอื่นหายไปหมด ไม่มีโอกาส เพราะเหตุว่าปฏิสนธิจิตแล้วแต่ว่าประมวลมาของแต่ละหนึ่งคน วิจิตรมากว่าประมวลมาตั้งแต่เกิดแล้วจะเห็นอะไร จะได้ยินอะไร ย้อนถอยไปตั้งแต่เป็นเด็ก เราผ่านอะไรมาบ้าง สนุกสนานรื่นเริงที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน ที่อื่นๆ หมดไม่มีเหลือเลยใช่ไหม แต่อกุศล และกุศลที่เกิดแล้วสะสมอยู่ในจิต เป็นสภาพธรรมที่ใช้คำว่าสังขารขันธ์ หมายความว่าเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งแต่ละหนึ่งขณะ เกิดแล้วดับจริง แต่สะสมปรุงแต่งจิตขณะต่อไป ทำให้ต่อไปเราคิดอย่างไร เข้าใจอย่างไร ถูกหรือผิดอย่างไร ทั้งหมดก็เป็นธรรมที่ประมาทไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมทีละคำที่จะทำให้เข้าใจมั่นคงจริงๆ รู้เลยว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรม ทุกอย่างก็คือว่าศึกษาเพื่อให้เข้าใจ ไม่ได้ให้ไปจำ ให้ไปจบปริเฉทนั้น คัมภีร์เล่มนั้นเล่มนี้ พระอภิธรรมอะไรต่างๆ แต่อ่านแล้วรู้เลย พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมทรงพระมหากรุณาแสดงให้เห็นความจริงว่า ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลย แล้วก็จะรู้ถึงปัญญาอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ต่อเมื่อมีการฟังด้วยความแยบคาย ไม่ใช่ไปเรียนยังจะสอบ แต่เมื่อฟังก็รู้เลยว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีทุกปัจจัย แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้แค่ไหน อย่างเวลานี้ จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่จิตรู้ คิดดู จิตแม้ว่าเป็นใหญ่เป็นประธานเป็นธาตุรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเสียง จิตได้ยินจะเกิดไหม ก็เกิดไม่ได้ ทั้งๆ ที่จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่ยังจะต้องอาศัยปัจจัย เพราะฉะนั้นอารัมณปัจจัย แค่นี้ง่ายมาก ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย สิ่งใดก็ตามที่จิตกำลังรู้ขณะนั้นเป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิด

    ผู้ฟัง เราก็ได้เรียนรู้หนึ่งปัจจัยแล้วใช่ไหม อารัมมณปัจจัย จิตที่จะเกิดทุกครั้ง ต้องรู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ ขาดอารัมมณปัจจัยไม่ได้เลย แต่พอไปเรียนปัจจัย เราก็คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น พอถึงเวลานี้ ไหน กำลังมีอารัมมณปัจจัยก็ไม่รู้ เพราะอะไร จิตยังไม่รู้เลย ยังไม่รู้ตัวจิตจริงๆ กำลังมี กำลังเกิดดับ ยังไม่ถึงปัญญาระดับที่ปฏิปัตติ ที่จะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    28 ม.ค. 2568