ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
ตอนที่ ๙๙๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมบียอน รีสอร์ท จ.กระบี่
วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะถ้าถามคนที่ทำสมาธิว่ามีปัญญาหรือเปล่า เข้าใจอะไรหรือเปล่า เขาจะตอบว่าอย่างไร
ผู้ฟัง ผมก็ตอบไม่ได้เลยว่าสมาธิคืออะไร
ท่านอาจารย์ แต่ปัญญารู้ใช่ไหมว่า สมาธิคืออะไร
ผู้ฟัง ปัญญารู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นสภาพธรรมที่ต่างกัน ไม่รู้กับรู้ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเราฟัง เพื่อปัญญาเกิด เป็นความเห็นถูกเป็นความเข้าใจถูก แล้วถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่ประมาทเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เคยได้ยินคำนี้ก่อนไหม ก่อนจะไปทำสมาธิ เคยได้ยินไหม
ผู้ฟัง ไม่เคยเลย
ท่านอาจารย์ ไม่เคย พอไม่ทำสมาธิ แล้วฟังเทปของมูลนิธิ เคยได้ยินใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ว่าต้องเข้าใจทุกคำ เราไม่ใช่เผินๆ ว่าให้ใครมาพูดตาม มาฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่มาเพื่อเข้าใจจริงๆ สำคัญที่สุด คิดว่าสิ่งที่เข้าใจน้อยพอแล้ว แต่ความจริงเข้าใจเท่าใดก็ไม่พอ เพราะว่าสิ่งที่ว่าเข้าใจแล้วมีหลายระดับขั้น มีความจริงที่จริงตั้งแต่ขั้นฟัง และก็สามารถที่จะรู้ความจริงจากการฟังจริงๆ ได้จนถึงประจักษ์แจ้งว่า ทุกคำที่ฟังมาแล้ว ถึงระดับไหนที่เข้าใจถูกต้อง เช่น ธรรมทั้งหลาย แค่นี้เริ่มจากคำว่าธรรมก่อน ธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง ธรรมก็คือสิ่งที่มีอยู่จริง ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
ท่านอาจารย์ ใครเป็นผู้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด
ผู้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เลยใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เมื่อฟังแล้วเริ่มเข้าใจว่า ภาษาบาลีที่ใช้คำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริง แต่ละภาษาก็พูดกันไป จะพูดในภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น พูดแล้วก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งถ้าไม่ฟังพระธรรมจะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เช่น เห็น เห็นขณะนี้มีจริงๆ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจว่าอย่างไร
ผู้ฟัง เข้าใจว่ามีเห็น ลืมตาก็คือเห็น
ท่านอาจารย์ และก็มีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ และสิ่งที่ถูกเห็นก็ไม่ใช่เห็น
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็น มีความจริง ๒ อย่าง
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ที่สามารถจะเข้าใจได้ตามลำดับ ค่อยๆ ไตร่ตรอง เพื่อละความไม่รู้
ผู้ฟัง ระหว่างไตร่ตรอง กับการนึกคิด
ท่านอาจารย์ ฟัง ไตร่ตรองที่นี่ไม่ใช่เรา กำลังฟังเข้าใจเมื่อใด ไตร่ตรองแล้ว ไม่มีเราสักคนที่จะไปทำหน้าที่อะไรได้ แต่เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าจะให้รู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ก็ตั้งต้นตั้งแต่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เอง มิฉะนั้นเราจะฟังธรรมไม่เข้าใจ จะเป็นคำ จะเป็นเรื่องมากมาย ๓ ปิฎก แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่า กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เอง ศึกษาธรรมคือให้เข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น และสภาพที่เห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น ขณะที่เห็นมีธรรมที่มีจริง ๒ อย่างที่ต่างกัน คืออย่างหนึ่งเห็น อีกอย่างหนึ่งถูกเห็น เพราะฉะนั้นควรเข้าใจให้ถูกต้อง ในเห็น และในสิ่งที่ถูกเห็น ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่มีอย่างอื่นขณะนั้น ทุกขณะชีวิตดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่งขณะหนึ่ง เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด ลิ้มรสเป็นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็ต่างๆ กันไปหลากหลาย ถ้าจะเข้าใจจริงๆ คือเข้าใจทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็นมี ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น ขณะนั้นมี ๒ อย่าง แต่ไม่มีใครสนใจเห็นเลย เมื่อสักครู่นี้เห็นเยอะเลยใช่ไหม ตื่นขึ้นมาก็เห็นนับไม่ถ้วน แต่ก็ผ่านไปวันๆ หนึ่งจนตาย โดยไม่รู้เลยว่า รู้ความจริงของเห็นบ้างไหม ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้ก็ต้องมีเห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นค่อยๆ คิด ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ นี่คือเรื่องปัญญาแล้ว เริ่มรู้ว่าไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย ถ้าเห็นไม่เกิด เห็นไม่มีแน่นอน
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่เกิด สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จะรู้ไหมว่ามีสิ่งนี้
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ มีหมูแฮม มีไส้กรอก มีผลไม้ มีทุกอย่าง เพราะเห็นใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเห็น ไม่มีสิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งต่างๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่เห็น แต่ก็ยังไม่รู้เลย คิดว่าเป็นเราเห็น และคิดว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเคยชินกับรูปร่างนั้นๆ ก็จำได้ว่าเป็นอะไร จากโลกนี้ไปก็ไม่มีการที่จะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เห็นมีจริงเป็นธรรมเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เห็นเกิด สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ต้องเกิดด้วย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ก็ไม่มีใครบอกเราว่า แท้ที่จริงขณะที่เห็นเกิดขึ้นมีเห็น ต้องมีทั้งการเกิดขึ้นของเห็น แล้วก็สิ่งที่ปรากฏก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด อยู่ดีๆ เกิดเองไม่ได้แน่ เริ่มเข้าใจเหตุ และผลของธรรมว่า แม้แต่คำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่นี้ ฟังเท่าใดเท่าใด ก็ถึงความเข้าใจอันนี้อย่างมั่นคง จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เริ่มตั้งแต่ได้ฟังเรื่องเห็น ต้องเกิดสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ต้องเกิด และขณะนั้นก็มีเฉพาะเห็น กับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เวลาที่ได้ยินมีใครทำให้เสียงเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่เสียงเกิดแล้ว และถ้าไม่มีสภาพที่ได้ยิน เสียงจะปรากฏว่ามีได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เห็นไหม นี่คือธรรม คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ไม่ใช่ไปให้เราเป็นพระโสดาบัน ให้เราสงบ ให้เราสบายใจ แต่ให้รู้ความจริงว่าไม่ใช่เราเลย ธรรมเป็นธรรม และธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งทุกคำ ไม่ใช่พูดเล่น สามารถเห็นการเกิดขึ้น และดับไปเมื่อใด เมื่อนั้นก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเราด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นปัญญาก็ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นธรรมทั้งหลาย ทั้งหลายนี้ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา เริ่มคลายการที่ว่าเราเกิด เราตาย เราเห็น เราได้ยิน เราชอบ เราไม่ชอบ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด
ผู้ฟัง แล้วก็ด้วยอาการที่เมื่อสักครู่นี้ตั้งใจฟังท่านอาจารย์ ก็เข้าใจว่านี่ก็น่าจะเป็นสมาธิที่ตั้งใจฟัง คงน่าจะมีประกอบด้วยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าเราไม่ศึกษาธรรม เราจะไม่รู้จักว่า แล้วสมาธิคืออะไร แต่ตั้งต้นได้ จากคำว่าคืออะไร สมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องรู้ ศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญาจึงเป็น ๔ อสงไขยแสนกัป กว่าจะมีแต่ละคำที่พูดให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วเราเป็นใคร บารมีเรามีเท่าใด ชาตินี้มีอะไร บารมีขณะไหนบ้าง และมีบารมีกี่ชาติมาแล้วบ้าง แล้วจะพยายามที่จะคิดเอง แต่ขณะใดก็ตาม ผู้ฟังแม้ได้ยินคำว่า ผู้ฟังคือฟัง ผู้ฟังจะเป็นคนที่สะกิดคนข้างๆ ชวนคุยเรื่องอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมาะ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ผู้ฟังก็คือฟัง เพราะฉะนั้นมีความสำคัญทุกคำว่า ผู้ฟังก็คือฟังฟังอะไร เข้าใจอะไร ก็ฟังสิ่งที่กำลังฟัง ไม่ใช่ฟังแล้วคิดเรื่องอื่น แล้วตอบเรื่องอื่น แล้วเล่าเรื่องอื่นใช่ไหม แต่ฟังคำที่ได้ฟัง คิดคำที่ได้ฟังก็ไม่ใช่เรา เข้าใจคำที่ได้ฟังก็ไม่ใช่เรา คือทั้งหมดต้องไม่ลืมคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ลืมคำนี้เมื่อใดหลงเมื่อนั้น ผิดเมื่อนั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น ลืมคำของพระองค์ และคิดว่าจะไปเป็นพระอรหันต์บ้าง ไปเป็นสมาธิขั้นโน้นขั้นนี้บ้าง มีปัญญาขั้นนั้นขั้นนี้บ้าง แต่แม้แต่คำของพระองค์ยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นคำของพระองค์แต่ละคำต้องไม่ลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังทุกคำด้วยความเคารพยิ่ง และเป็นผู้ที่ตรง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตายที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เริ่มเข้าใจอย่างนี้ แล้วถ้าไม่เกิดธรรมนั้นๆ ก็ไม่มี แต่ว่าเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป นี่เป็นคำใหม่ซึ่งคิดว่ามีแต่เกิดแก่เจ็บตาย แต่ว่าคำใหม่ ก็คือว่าสิ่งใดก็ตามที่มีปัจจัยเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วดับไป ทันทีเร็วสุดที่จะประมาณได้ การดับไป สิ่งนั้นจะไม่กลับมาอีกเลย จึงใช้คำว่าดับ แต่ก็มีปัจจัยทำให้สิ่งอื่นเกิดสืบต่อ แสนเร็ว ติดกันแน่นไม่มีระหว่างคั่น เสมือนว่าไม่มีอะไรดับไปสักอย่าง แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ เสียงทุกเสียงดับ แสดงว่าได้ยินเสียงนั้นก็ต้องดับด้วย เพราะขณะที่ได้ยินเสียงอื่น ไม่ใช่ได้ยินที่ได้ยินเสียงนี้ แล้วจะสนใจสมาธิอะไร ถูกหลอก ให้ทำสมาธิเพื่ออะไร เพื่อไม่รู้ คิดว่าจะสงบ ไม่สงบเพราะต้องการ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง คิดเดากันไปต่างๆ ด้วยคำของบุคคลต่างๆ แล้วก็คนที่ได้ฟังก็ไม่ไตร่ตรองเลย เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาที่ได้ฟังแล้วก็รู้เลยว่า คำใดเป็นคำจริง ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นคำจริงเท่านั้น จึงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดเรื่องอะไร พูดถึงสิ่งที่กำลังมี ให้เข้าใจจนถึงที่สุดว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นสมาธิมีจริงไหม
ผู้ฟัง สมาธิมีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ แล้วไปทำสมาธิ
ผู้ฟัง ก็แปลว่าความเห็นไม่ถูกแล้ว
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีทางเข้าใจเลยคิดว่าทำได้ แต่ความจริงทุกอย่าง ไม่มีทางที่ใครจะทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ขอเชิญคุณอรรณพ ให้ความหมายของคำว่าอนัตตา
อ.อรรณพ ถ้าจะเข้าใจอนัตตาได้ ก็ต้องเข้าใจธรรมก่อน อนัตตา ถ้าเราแปลเราก็จะพูดกันไปว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ก็พูดตามได้ แต่ถ้าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร หรือไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าสูญ ก็คือไม่มีอะไรสักอย่าง แต่เพราะมีความจริงแต่ละอย่าง ซึ่งเป็นตัวความจริง จริงๆ เป็นสภาพธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นสภาพรูปธรรมก็ดี นามธรรมก็ดี ก็เป็นสภาพธรรมซึ่งมีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อละเอียดลงไปลึกซึ้งที่สุดแล้ว เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย นั่นคืออนัตตา
ท่านอาจารย์ แค่สองคำ ต้องเข้าใจจริงๆ คำหนึ่งคืออัตตา อีกคำหนึ่งคืออนัตตา อัตตาหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด เวลานี้ไม่ว่ามีอะไรที่ปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ปรากฏการเกิดดับ แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งดูเหมือนเที่ยงทั้งนั้นเลย ใครกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนเที่ยง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เกิดดับ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูกต้อง อัตตาคือความเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็คือสิ่งนั้นไม่ได้เกิดดับ แต่เที่ยง เหมือนว่าเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับการที่ทรงตรัสรู้ก็คือว่า ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ใช้คำว่า น คือไม่ กับอัตตา รวมกันแล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นสองคำนี้ตรงกันข้ามกัน คำหนึ่งคืออัตตาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อีกคำหนึ่งคืออนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลย เที่ยงที่นี่หมายความว่า ไม่มีการเกิดดับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่มีการฟังพระธรรม ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เป็นอัตตาทั้งนั้นเลยใช่ไหม คนนี้คนนั้น สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่เห็นการเกิดดับเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย ทุกคำที่ตรัสมาจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ธรรมทั้งหลายสิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่เว้น เป็นอนัตตาหมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน
เพราะฉะนั้นลองคิด เวลานี้เข้าใจคำว่าอัตตาแค่ไหน และเข้าใจคำว่าอนัตตาแค่ไหน โต๊ะเป็นอัตตาหรืออนัตตา เห็นไหมว่าเราอาจจะไม่คิดเลยว่า พูดเรื่องอัตตากับอนัตตา เข้าใจว่าหมายความถึงเราเท่านั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา แต่ก่อนนี้อัตตาก็เราหมดเลย แต่ความจริงความหมายของอัตตา คือไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งนั้น ธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏการเกิดดับ จึงปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นเป็นดอกกุหลาบ นี่เป็นโต๊ะ นั่นเป็นคน นั่นเป็นถ้วยแก้ว นี่เป็นขนมปัง ล้วนแต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตา เห็นไม่ใช่ขนมปัง สิ่งที่ถูกเห็นก็ไม่ใช่แก้ว แต่เห็นเป็นเห็น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง ไปทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดมาได้เลย ใครก็ตามที่เข้าใจว่า สามารถจะทำได้ ก็เพราะไม่รู้ความเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเห็นถ้าไม่มีตา เห็นก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่มากระทบตา ก็ไม่เห็น ถึงแม้ว่ามีตา นี่ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ลองคิดดูสมควรฟังไหม หรือจะทำสมาธิ แค่นี้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นการสะสมของแต่ละคนว่าสะสมมาที่จะรู้ความจริง มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไตร่ตรองจนกระทั่งรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้นมัสการ เคารพบูชาในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ทรงมีพระมหากรุณาคุณ เราจะไม่ได้ยินสักคำ ที่เราได้ยินว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เมื่อฟังก็รู้เลย ฟังแล้วเข้าใจใช่ไหม หรือยังไม่เข้าใจ ฟังแล้วยังจะทำสมาธิ หรือรู้เลยว่าสมาธินั่นเองอัตตาด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเรา มิฉะนั้นแล้วจะทำสมาธิหรือ ทั้งหมดนี้ต้องสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า สัจจะมี ๒ อย่าง ความจริงโดยสมมติ กับความจริงโดยสภาพของสิ่งนั้น ซึ่งเป็นอย่างนั้นที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าไม่มีการสมมติชื่อ เรียกไม่ถูก อยู่ในห้องนี้แท้ๆ จะพูดจะสื่อสารอะไรก็ไม่ได้หมดเลย แต่เพราะเหตุว่ามีสมมติสัจจะ โต๊ะสำหรับคนไทยก็เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร ชื่อต่างๆ ของแต่ละภาษา ก็รู้ว่าหมายความถึงอะไร นั่นคือปัญญัตติรู้ได้โดยอาการนั้นๆ อย่างดอกกุหลาบกับดอกมะลิ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา แต่การเกิดดับของทุกอย่างเร็วมาก สุดปัญญาที่ใครจะไปคิดได้ นี่เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่เห็นค่าเลย ระหว่างทำสมาธิกับการฟัง และเข้าใจธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วแต่การสะสมว่าสะสมมาที่จะคิดว่าไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แล้วเข้าใจแล้วก็ได้ หรือว่าชอบทำสมาธิก็ทำไป โดยที่ว่าสมาธิก็ไม่ยั่งยืน ขณะที่เห็นก็ไม่ใช่ขณะที่เป็นสมาธิ
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แม้แต่คำว่าอัตตา และอนัตตา อัตตาคือความเห็นที่ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มั่นคง ไม่เกิดดับ อนัตตาคือแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะของตนแต่ละหนึ่ง เย็นไม่ใช่หวาน แข็งไม่ใช่เสียง ได้ยินไม่ใช่คิด แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นไม่มีใครบังคับบัญชาได้ คุณทรงเกียรติเบื่อไม่อยากตื่นขึ้นเลย หยุด ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ให้เห็นได้ไหม ต่อให้จะเบื่อแสนเบื่อสักเท่าใด ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งธรรม เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะเกิดตลอดไป แล้วก็เพิ่มปัจจัยขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะสิ้นสุดได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่ได้ฟังธรรม จนกระทั่งปัญญาถึงระดับขั้นที่จะรู้ความจริงทุกคำ ตรงตามที่ได้ฟัง ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่โดยสมมุติ เป็นดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบ เป็นโต๊ะ เพราะไม่รู้ความจริงว่าที่เข้าใจว่า เป็นดอกไม้สักหนึ่งดอก กว่าจะรู้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ที่จะเห็นความต่างกัน ระหว่างดอกกุหลาบกับดอกมะลิ เพียงแค่ดอกมะลิ ๑ ดอก จิตก็เกิดดับนับไม่ถ้วน แล้วยังไปถึงดอกกุหลาบอีก แล้วจะมาเปรียบเทียบกันอีก เพราะฉะนั้นขณะนี้ให้ทราบว่า ไม่มีใครเลยแต่เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนัตตา
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงตอนแรกว่า ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มั่นคง และไม่มีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลงทาง เพราะว่าไม่ตรงตั้งแต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ แล้วหลงทางตั้งแต่เริ่มฟังก็ได้ ฟังเพื่ออะไร ฟังเพื่อจะได้เป็นพระโสดาบัน เพื่อที่จะละกิเลส ละได้อย่างไร เพราะว่าใครก็ละกิเลสไม่ได้ ไม่มีใครสักคนที่จะละได้ แต่ปัญญาเท่านั้นที่ทำหน้าที่รู้ ละเพราะรู้ เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้ เพราะอวิชชาไม่ใช่ปัญญา จึงมีความติดข้อง และทำให้เกิดกิเลสมากมาย เพราะฉะนั้นในบรรดาสิ่งที่ประเสริฐสุดที่เกิดขึ้นก็คือปัญญา เพราะสามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกไม่ว่าสิ่งใดทั้งสิ้นตามลำดับขั้น
ผู้ฟัง ขออนุญาตย้อนมาเรื่องสมาธิกับปัญญาอีกสักนิดหนึ่ง เพราะว่าถ้ามีคนถามเรื่องสมาธิเป็นประจำ ทำสมาธิเพื่อให้ใจสงบ
ท่านอาจารย์ คุณหมอคั่นนิดหนึ่งได้ไหม ถ้ามีคนที่เขาบอกว่า เขาจะไปทำสมาธิใช่ไหม ก็ถามคนนั้นได้ไหม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าตนเองรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะไปทำสมาธิ คำถามแรกก็คือว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าเขาบอกว่ารู้จัก เราก็ถามเขาว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสมาธิว่าอย่างไร เพราะว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมทั้งหมดไม่เว้นเลย ถ้าคนนั้นตอบไม่ได้ ก็คือว่าสมาธิของเขา ไม่ใช่สมาธิที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะเมื่อทรงแสดง คนนั้นรู้เลยว่าสมาธิคืออะไร แต่เมื่อไปทำสมาธิ แต่ไม่สามารถจะรู้ว่าสมาธิคืออะไร และสมาธิคืออะไร ไม่ใช่รู้ง่ายเลย เพราะเหตุว่าเราพูดถึงธรรม ธรรมหลากหลายมากไหม เห็นไหมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นสมาธิคืออะไร ถ้าไม่รู้ว่าแม้ว่าสภาพธรรมจะหลากหลายมากสักเท่าใด แต่ตามประเภทใหญ่ๆ ก็มีเพียง ๒ อย่างที่ต่างกัน คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ สัณฐานใดๆ แต่เกิดขึ้นรู้ แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นพอจะรู้ไหม เพียงแค่ ๒ คำ ศึกษาธรรมทีละคำทีละคำ เพราะฉะนั้นตอนนี้พอจะรู้ได้ไหมว่า สมาธิคือธรรมประเภทไหน เห็นไหมว่าสภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ใช้คำว่ารูปธรรม รูปะกับธรรม ส่วนสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น รูปใดๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย ถึงมีก็ไม่ปรากฏว่ามี แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้นเมื่อใด สิ่งนั้นจึงปรากฏว่ามี เช่น ขณะนี้ปรากฏว่าเสียงมีก็ต่อเมื่อมีธาตุได้ยินเสียง เฉพาะเสียงที่ได้ยินก็รู้ว่าเสียงนั้นมี เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย พระผู้มีพระภาคตรัสใช้คำว่านามธรรม นามะกับธรรมเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักธรรม แล้วก็รู้ต่อไปอีก ไม่ว่าจะได้ยินอะไร ต้องเข้าใจให้ถูกต้องเป็นธรรมอะไร เพราะฉะนั้นที่ใช้คำว่าสมาธิมีจริง เป็นธรรมประเภทไหน เห็นไหม นี่คือจากการไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย ไปทำสมาธิ แต่เริ่มรู้ตามลำดับต้องตามลำดับ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020