ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๐๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ซึ่งยากแสนยากกว่าจะเข้าใจได้ และคำของพระองค์จะเป็นประโยชน์ต่อไปอีกมหาศาลสำหรับคนอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้ที่ตรง และสะสมบารมีมาแล้วที่จะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้พระธรรมยาก มีโอกาสได้ฟัง คิดดู ไม่ใช่หาง่ายเลยที่จะได้ฟังคำ ถ้าจะต้องไตร่ตรองด้วยความเป็นผู้ตรง ก็ไม่ง่ายอีกใช่ไหม แต่ก็เพราะอาศัยบารมีนี่เอง จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรม ไม่คิดไม่หวังเลยว่าชาติไหนจะเป็นพระโสดาบัน ดีกว่าไปสำนักปฏิบัติ หวังว่าจะไปทำความเพียรเป็นพระโสดาบัน เป็นได้อย่างไร ไปก็ไม่รู้แล้วว่าผิด ไม่รู้อะไรแล้วไป ถ้ารู้ เดี๋ยวนี้ก็รู้ อะไรทำให้ไป มองไม่เห็นธรรมหนึ่งคือโลภะเป็นเจตสิกไม่ใช่จิต ที่ใดมีจิตที่นั่นต้องมีเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ที่ใดมีเจตสิกที่นั่นต้องมีจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจนามธรรมซึ่งต่างกันเป็น ๒ อย่าง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ และเจตสิกก็เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต แต่มีลักษณะหลากหลายเป็น ๕๒ ประเภท เป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังด้วยความเคารพว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราที่ฟัง เพราะฉะนั้นจะเป็นเราที่อยากถึงไหม ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นโลภะ สิ่งที่ต้องละ ถ้าไม่ละก็ไม่ถึง เพราะว่าโลภะนำไปสู่ทางอื่น ซึ่งไม่ใช่ทางละ นำไปสู่การติดข้อง
อ.อรรณพ หลักของธรรมที่สำคัญก็คือ ธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา แต่ผู้ที่ผิวเผินเขาก็มีการแสดงความเห็นที่น่ากลัว แล้วก็เป็นอันตรายต่อพระศาสนามาก เช่น เขามีความเห็นว่า ในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องดับไป คือเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เขาก็คิดว่าทุกอย่างไม่ยั่งยืน ไม่เที่ยง ก็เลยคิดว่าพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคบัญญัติไว้แล้ว ก็จะพ้นจากหลักอนิจจังไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องปรับเปลี่ยนกันไปตามยุคตามสมัย
ท่านอาจารย์ คนนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์จะกรุณาได้อธิบายว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง หมายถึงอะไร ไม่เที่ยงอย่างไร
ท่านอาจารย์ รู้จักธรรมไหม
อ.อรรณพ เขาก็บอกเขารู้จัก รู้จักแบบของเขา
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม
อ.อรรณพ มี เขาก็ตอบว่ามี
ท่านอาจารย์ อะไรที่เป็นธรรมเดี๋ยวนี้
อ.อรรณพ ดอกไม้
ท่านอาจารย์ ดอกไม้ ถ้าไม่เห็นมีดอกไม้ไหม
อ.อรรณพ ถ้าไม่เห็นก็ไม่มีดอกไม้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่คิดมีดอกไม้ไหม
อ.อรรณพ ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ ถ้าเพียงแต่เห็น ไม่มีการคิดสืบต่อ จะมีการเห็นว่าเป็นดอกไม้ไหม
อ.อรรณพ ก็ยังไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็นดอกไม้ หรือว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
อ.อรรณพ ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ท่านอาจารย์ ใครสอน ใครบอก
อ.อรรณพ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ต้องรู้ว่าใครตรัสคำนี้ เห็น จักขุวิญญาณสิ่งที่ปรากฏทางตา รูปารัมมะณะ ในภาษาบาลี ไม่ได้เป็นดอกไม้ ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่เป็นธาตุที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ คือสีสันวรรณะต่างๆ รูปารัมมะณะ ความมืดก็เห็นได้ใช่ไหม ลองปิดไฟให้หมด ทุกคนบอกว่ามืด ทำไมบอกว่ามืด ไม่มีแสงสว่าง เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏให้เห็น สิ่งนั้นเป็นรูปารัมมะณะ เป็นสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นต้องทีละอย่าง ศึกษาธรรมต้องเข้าใจชัดเจนว่าเห็นอะไร
อ.อรรณพ เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏ แต่คนที่เขาไม่เข้าใจ เขาก็จะไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ไปถึงตัวธรรมเสียที
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปล่อยให้ไป หรือว่าทีละคำ
อ.อรรณพ ก็ต้องทีละคำ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องทีละคำ ยอมรับไหม
อ.อรรณพ แต่ต้องเป็นคนที่ยอมรับ แต่คนที่ไม่ยอมรับ เขาก็เฉไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ก็ทีละคำแล้วไม่รับ ก็คือไม่ใช่ผู้ที่ว่าง่าย ว่าง่ายที่นี่ไม่ใช่เชื่อง่าย แต่ว่าง่ายตามเหตุ ตามผล ตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ สรุปตามเหตุตามผล คือเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้
ท่านอาจารย์ ให้เห็นได้
อ.อรรณพ ยังไม่เป็นดอกไม้ ยังไม่เป็นอะไร
ท่านอาจารย์ แล้วสิ่งนั้นเกิดไหม
อ.อรรณพ สิ่งนั้นต้องเกิด
ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับไหม
อ.อรรณพ เกิดแล้วก็ต้องดับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอะไรไม่เที่ยง
อ.อรรณพ สิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่เที่ยงใช่ไหม
อ.อรรณพ ถ้าเกิดขึ้นแล้วต้องไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเปลี่ยนแปลงคำนี้ไหม
อ.อรรณพ ไม่เปลี่ยน เพราะรู้ว่าก็คือสิ่งที่มีที่เกิดขึ้น แล้วมีจริง สิ่งที่เกิดขึ้น และมีจริงก็ต้องดับไป
ท่านอาจารย์ แล้วจะเปลี่ยนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
อ.อรรณพ ตรงอนิจจัง เขาไม่เปลี่ยน แต่เขาเอาอนิจจัง จะมาหักล้างว่า เพราะฉะนั้นพระวินัยก็ต้องไม่ยั่งยืน ก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะพระวินัยก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เขารู้จักพระวินัยไหม
อ.อรรณพ คราวนี้มาถึงพระวินัยแล้ว
ท่านอาจารย์ พูดคำว่าพระวินัย แต่รู้จักคำว่าพระวินัยไหม
อ.อรรณพ พระวินัยก็คือพุทธบัญญัติ ซึ่งเป็นสิกขาบทของภิกษุแต่ละข้อแต่ละข้อ
ท่านอาจารย์ บัญญัติสำหรับใคร
อ.อรรณพ สำหรับพระภิกษุ
ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่เป็นภิกษุ ผู้ที่เป็นภิกษุต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า
อ.อรรณพ ต้อง
ท่านอาจารย์ ไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ใช่ไหม แล้วปฏิบัติวินัยของภิกษุเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจธรรมว่าขณะนี้เป็นอนัตตา สิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตาไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น พระวินัยไม่ใช่ไปบัญญัติ เพื่อจะให้เปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย แต่ต้องรู้ว่าพระวินัยบัญญัติสำหรับใคร สำหรับพระภิกษุ เพราะฉะนั้นผู้ที่บวชตามพระธรรมวินัยจึงเป็นภิกษุ ถ้าไม่บวชตามพระวินัยไม่ใช่ภิกษุนี่ข้อหนึ่ง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบวชต้องเข้าใจใช่ไหม เพราะว่าบวชเพื่ออะไร บวชเพื่อศึกษา และประพฤติปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะประจักษ์ความเป็นอนิจจังของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นใครจะไปเปลี่ยนพระธรรมวินัยได้ไหมว่าปฏิบัติเพื่อเหตุอื่น เพราะฉะนั้นชาวโลกควรรู้ด้วย ใครก็ตามที่คิดจะเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัย คนนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลไหน ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นสัจจวาจาเป็นคำจริง ใครคิดจะเปลี่ยนคือคนๆ นั้นไม่รู้ความจริง ไม่เข้าใจความจริง แล้วไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย พระธรรมวินัยสักข้อเดียวก็เปลี่ยนไม่ได้ ตามที่มีการประชุมสังคายนาครั้งที่ ๑ โดยพระอรหันต์ทั้งหมด ไม่มีรูปใดเลยที่เสนอด้วยคิดจะเปลี่ยนหรือแก้ไขว่า ต่อไปกาลภายหน้า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นให้เปลี่ยนพระธรรมข้อนี้พระวินัยข้อนั้น
อ.อรรณพ พระธรรมวินัยไม่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรต้องทราบ ทำไมเปลี่ยนไม่ได้
อ.อรรณพ เพราะเป็นความจริง
ท่านอาจารย์ เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลสต้องไม่ลืมคำนี้ ใครคิดจะเปลี่ยนไม่คิดขัดเกลากิเลสใช่ไหม แต่ใครก็ตามจะขัดเกลากิเลส จะขัดเกลากิเลสโดยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากในเพศบรรพชิต ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
อ.อรรณพ เพราะว่าเป็นตัวธรรมนั้นจริงๆ เพราะว่าผู้ที่จะไปบวชก็ต้องเป็นจิตเจตสิกที่เห็นคุณค่าของการที่จะไปบวช แล้วก็รู้ว่าเพศนี่ต่างกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องมีหิริโอตตัปปะ แล้วก็มีการขัดเกลาความติดข้อง
ท่านอาจารย์ เพื่ออะไรต้องไม่ลืม เพื่อขัดเกลากิเลสไม่ใช่ตามกิเลส เห็นไหม ถ้าตามกิเลสคิดแก้ไข แต่ถ้าเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่เคยเลยที่คิดว่า ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ทั้งหมดแล้วนั้น ไม่ใช่เพื่อการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นอย่างอื่นขัดเกลากิเลสไม่ได้เลย นอกจากพระธรรมวินัย
อ.อรรณพ ซึ่งพอไม่เข้าใจธรรม แล้วก็จะเปลี่ยนแปลงพระวินัย ก็คือเพื่อที่จะเป็นไปตามกิเลส
ท่านอาจารย์ เขาเป็นใคร ที่จะเปลี่ยนแปลงพระวินัย
อ.อรรณพ ไม่ได้เป็นวินัยที่จะนำกิเลสออก
ท่านอาจารย์ แล้วพระสัมมาพุทธเจ้าทรงเป็นใคร แล้วใครบัญญัติพระวินัย เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
อ.อรรณพ เช่นเรื่องเงินเรื่องทองก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อมีความอยากคือโลภะ
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธพระเจ้าไม่ทรงทราบหรือ
อ.อรรณพ ทรงทราบ
ท่านอาจารย์ แล้วจึงบัญญัติใช่ไหม
อ.อรรณพ บัญญัติไว้
ท่านอาจารย์ เมื่อบัญญัติแล้วจะเปลี่ยนได้ไหมว่าให้ไปเถิดเงินทอง และขัดเกลากิเลสโดยมีเงินมีทองอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย ไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงมีพระปัญญาเกินกว่าใครจะประมาณได้เลย แม้แต่ที่ทรงแสดงไว้ก็เพียงใบไม้สองสามใบ เปรียบเทียบกับพระปัญญา ซึ่งเท่ากับใบไม้ในป่า และใครที่จะเข้าใจคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ว่ากาลภายหน้าอะไรจะเกิดขึ้น รู้ทั้งอดีตนานแสนนานมาแล้ว และอนาคตข้างหน้า ไกลกว่านี้อีกไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ก็ได้ทรงบัญญัติเรื่องการขัดเกลากิเลสสำหรับเพศบรรพชิต ผู้ใดไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ ไม่บวช ต้องรู้จักตัวเอง
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรจากใครก็ตาม ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจได้ถูกต้องว่า ผู้นั้นลืมคิดถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และบรรดาพระอริยสาวกซึ่งเป็นพระอรหันต์ ที่กระทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ท่านเหล่านั้นเป็นใคร รักษาทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ท่านเป็นถึงพระอรหันต์ดับกิเลสหมด และประกอบด้วยคุณวิเศษ แต่แม้กระนั้นท่านก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนสักข้อเดียว หรือว่าจะเพิ่มเติมด้วย เพราะเหตุว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงบัญญัติเรื่องของการขัดเกลากิเลสของเพศบรรพชิตด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเราเป็นใคร ก่อนที่จะคิดทำอะไรที่เกี่ยวกับพระวินัยหรือพระธรรม ก็ควรที่จะได้ระลึกให้ถูกต้องว่าทำสิ่งที่ทำลายพระศาสนา หรือว่าดำรงรักษาพระศาสนา ถ้าดำรงพระศาสนา ก็คือว่าต้องรักษาพระธรรมคำสอน และพระวินัยให้ถูกต้อง จึงจะยั่งยืนต่อไปได้ ไม่ใช่ว่าเราเป็นใคร พระอรหันต์ทั้งหลายที่กระทำสังคายนาเป็นใคร ท่านไม่รู้ดีมากกว่าเราหรือ ท่านยังไม่เปลี่ยน แล้วเราเป็นใคร เขลาแค่ไหน ไร้ปัญญาแค่ไหน ไม่รู้ต้นเหตุเลยหรือว่าการที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย ด้วยพระมหากรุณาต่อผู้ที่จะดำรงเพศบรรพชิต เพื่อไม่ให้ไปสู่ทางเสื่อมจนถึงอบายภูมิ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ผู้ฟัง มีท่านผู้ฟังที่อยู่ทางบ้าน ส่งประเด็นมา ประเด็นแรกก็คือเรื่องหลงบุญ
ท่านอาจารย์ หลงก็ชัดเจน ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ก็หลงทำสิ่งที่ไม่รู้ และเข้าใจว่าเป็นบุญ บุญคืออะไร
อ.คำปั่น ซึ่งคำว่าบุญ บุญหมายถึงสภาพธรรมที่เป็นไปเพื่อชำระจิตของตนให้สะอาด ให้ปราศจากอกุศล ให้ปราศจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวโดยความหมายของบุญก็ต้องเป็นธรรมที่ดีงาม เกิดขึ้นเป็นไปในขณะใด ขณะนั้นความชั่วร้ายทั้งหลาย อกุศลธรรมทั้งหลาย ก็เกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่สภาพธรรมฝ่ายดีที่เป็นบุญเกิดขึ้น ก็ชำระจิตให้ค่อยๆ สะอาด ปราศจากอกุศลไปตามลำดับ เพราะว่าชีวิตประจำวันก็เป็นอกุศลมาก เป็นไปกับความไม่รู้บ้าง ความติดข้องบ้าง ความไม่พอใจบ้าง แต่เมื่อใดก็ตามที่ธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น ประกอบด้วยความไม่ติดข้องประกอบด้วยความระลึกได้เป็นไปในคุณความดีทั้งหลาย เป็นต้น ขณะนั้นก็จะทำให้จิตขณะนั้นค่อยๆ สะอาดขึ้น จากที่เคยเป็นอกุศลมากๆ ก็เริ่มที่จะเป็นสภาพธรรมที่เป็นไปเพื่อชำระจิต อย่างเช่น ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรม เพื่อความเข้าใจธรรม เข้าใจสิ่งที่มีจริง ถ้าใส่ชื่อก็คือเป็นบุญประการหนึ่ง ก็คือการฟังธรรม เพราะว่าเป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ขณะที่ความเข้าใจเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้นก็เป็นไปเพื่อชำระความไม่รู้
ท่านอาจารย์ พอได้ยินภาษาไทยพูดว่าอะไรก็เข้าใจ แต่ว่าธรรมจริงๆ ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะจะพูดว่าความอยากได้ มีไหม เป็นบุญหรือเปล่า แค่นี้แม้แต่แต่ละคำก็ต้องพิจารณาว่าความอยากเป็นบุญหรือเปล่า ดีหรือไม่ดี
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ มีกันทุกคน แต่ไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นความอยากหรือความติดข้อง เพราะเหตุว่าความไม่รู้ เหมือนสิ่งที่ดำมืดสนิท ไม่สามารถจะมองเห็นอะไรได้เลย คือไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีที่กำลังปรากฏ ทั้งที่จะเห็นสว่างไสวแต่ก็ไม่รู้ความจริงว่าเป็นอะไร สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร และสภาพที่กำลังเห็น ต้องมีแน่ๆ แต่ใครจะรู้จักเห็น รู้แค่ว่ามีเห็น แต่เห็นจริงๆ ไม่ใช่เรา แล้วคืออะไร เป็นสภาพธรรมซึ่งถ้าไม่มีเห็น ขณะนี้จะไม่มีอะไรปรากฏในห้องนี้ทั้งสิ้น เพราะไม่เห็น ด้วยเหตุนี้พูดสักเท่าใดเราเห็น จะให้เป็นธรรมที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไป เพียงแค่เห็น พูดตามได้หมดทุกอย่าง แต่กว่าจะรู้ตามได้จริงๆ ความลึกซึ้งของธรรมไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินได้ฟัง คำที่ได้ยินได้ฟังเป็นแต่เพียงคำ เหมือนเตือนให้เริ่มเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี แต่เข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนก็เตือนเท่านั้น ขณะนี้มีเห็น ทุกคนก็มีเห็น เท่านี้หรือเปล่า ก็ยังคงเป็นเท่านี้ แม้ว่าจะบอกว่าเห็น ไม่ใช่เรา เพราะว่าเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไปก็เท่านี้
เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นธรรมที่มั่นคง ที่สามารถจะทำให้ถึงความจริงทีละเล็กทีละน้อยว่าไม่ใช่เราแน่นอน เพราะเป็นลักษณะซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น เกิดขึ้นรู้ในความมืด ในความมืดมีความไม่รู้ ในความมืดมีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นไม่รู้ เป็นนามธรรมหรือเปล่า เห็นไหม แค่นี้ลึกซึ้งไหม ในขณะที่อยู่ในความมืดสนิทไม่รู้ ไม่รู้เป็นนามธรรม โต๊ะ เก้าอี้ไม่ได้มีเลย ก็ไม่มีความที่จะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นขณะนั้น แต่มีธาตุที่ไม่รู้ ธาตุนั้นเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธาตุรู้กับธาตุไม่รู้ก็ต่างกันแล้วว่า ถ้ากล่าวโดยจำแนกธรรมเป็น ๒ ประเภทใหญ่ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเป็นรูปธรรม โต๊ะหรือว่าสี หรือว่าเสียง หรือว่ากลิ่น อะไรก็ตามแต่ที่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรมทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างเลย แต่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏเท่านั้น ในขณะที่เห็นก็รู้เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จะไปรู้สิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏได้ไหม แค่คิดแต่ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่แม้กระนั้นธาตุรู้ก็หลากหลายมาก แม้จนกระทั่งมีธาตุรู้ที่เกิดขึ้น แล้วไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏก็มี
เพราะฉะนั้นจิต ปัณฑระ ใช้คำนี้ หมายความว่า เป็นธาตุที่เพียงเกิดขึ้นรู้เท่านั้น ตัวจิตเองไม่ใช่ดี และชั่ว ไม่ใช่บุญ และบาป แต่ว่าเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ แต่ว่าจิตเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องมีนามธรรมอื่นๆ อาศัยการเกิดพร้อมกัน และต้องเป็นนามธรรมด้วยกันได้ เกิดพร้อมกัน สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต เมื่อเช้านี้เราได้กล่าวถึงชื่อแล้ว คือเจตสิกะ แต่คนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าเจตสิก เดี๋ยวนี้มีจิตเมื่อใดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏ ถ้ากำลังเห็นลักษณะของธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ว่า เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ลักษณะนั้นเป็นจิตเป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เกิดขึ้นเพียงรู้ และก็พอเห็นแล้ว ในขณะเดียวกันที่เห็น จำได้ไหม ถ้าไม่มีความจำในขณะที่เห็น แล้วจะไปจำได้ไหมว่าเห็นอะไร เพราะฉะนั้นแม้ขณะที่เห็นก็จำ แต่จำไม่ใช่จิตเป็นเจตสิก และขณะใดที่มีธาตุรู้อีกชนิดหนึ่ง ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ เกิดเมื่อใดขณะนั้นมีจริงๆ ไม่เข้าใจ อย่างเดี๋ยวนี้จิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้อย่างไร รู้แต่ว่ามีจิต ลักษณะที่ไม่เข้าใจก็เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง เป็นอกุศลเป็นสภาพที่ไม่ดีงาม เพราะไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ภาษาบาลีจะใช้คำว่าโมหะ คือหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง และใช้คำว่าอวิชชา วิชชาแปลว่ารู้ เพราะฉะนั้นอวิชชาก็แปลว่า สภาพที่ไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีทั้งหมดทุกอย่างที่เกิดขึ้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ของทุกอย่างที่เกิดขึ้น และก็มีจริงๆ ในขณะที่สิ่งต่างๆ ไม่ใช่มีเฉพาะวันนี้ เมื่อวานนี้ก็มี ชาติก่อนก็มี กี่ชาติแล้วก็มี แต่ก็ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเริ่มฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจ แสดงให้รู้ว่าผู้ที่มีความเข้าใจประโยชน์ของความรู้ตามความเป็นจริงกับความไม่รู้ มี เพราะฉะนั้นจึงฟังคำที่สามารถทำให้เริ่มรู้จักทุกคำ แต่ละคำจริงๆ แม้แต่คำว่าหลงบุญ หลงก็ไม่ใช่เรา แต่เพราะไม่รู้ความจริง ไม่เข้าใจว่าบุญคืออะไร เพราะไม่รู้จึงติดข้อง และอยากได้ ไม่ว่าจะติดข้องอะไร อยากได้อะไรทั้งหมด ต้องเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเพียงแค่เกิดแล้วดับ หายไปเลย แล้วไปติดข้องทำไม ติดข้องในสิ่งที่เหมือนเงาที่ไม่มีแล้ว ตัวจริงไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เหมือนเงาของสิ่งที่กำลังเกิดดับ เกิดดับก็ไม่รู้ แต่ปรากฎสืบต่อเหมือนสิ่งนั้นมีจริงเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้เป็นต้นตอ เป็นรากเหง้าเป็นมูลของอกุศลทั้งหลายหมด รู้ไหมว่าเรากำลังพูดถึงธรรมที่ใช้คำ ปฏิจจสมุปบาท ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น แต่ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องตกใจ ธรรมดา แต่ภาษาอีกภาษาหนึ่งใช้คำที่พอคนไทยได้ยินแล้วทุกคำตื่นเต้นหมด เพราะว่าไม่ใช่ภาษาของเรา ยังกับเป็นสิ่งซึ่งแปลกประหลาดต่างหาก ตื่นเต้น แต่ความจริงก็คือคำธรรมดาๆ อย่างจักขุวิญญาณใช่ไหม วิญญาณก็เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เป็นอีกคำหนึ่งของจิต เพราะว่าจิตมีลักษณะต่างๆ กันมากหลากหลาย แล้วก็มีคำต่างๆ หลากหลายที่จะกล่าวถึงจิตต่างๆ ประเภทด้วย
ด้วยเหตุนี้เวลาที่กล่าวถึงจิต ซึ่งเป็นสภาพที่รู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ทางตา เห็น ถ้าไม่เห็นก็มีแต่ตา แต่ตานี่ไม่เห็นแน่ๆ ใช่ไหม ตากับเห็นไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ที่ตานี่เองมีเห็น เห็นไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นเลย เห็นเกิดที่ตาเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ นานแสนนานก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีการตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกให้เข้าใจได้ ขณะที่ไม่รู้ก็เป็นโมหะ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารเห็นไหม เราไม่ต้องไปลำดับอะไรเลย สิ่งที่เราได้ฟังทั้งหมด ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยของธาตุ ธา-ตุ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020