ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
ตอนที่ ๙๙๕
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมบียอน รีสอร์ท จ.กระบี่
วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ นี่คือจากการไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย ไปทำสมาธิแต่เริ่มรู้ตามลำดับ ต้องตามลำดับ ถ้าไม่รู้ตามลำดับ ใครเขาว่าสมาธิคืออย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่ที่จะทำให้เข้าใจได้จริงๆ ว่านั่นเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ถ้ารู้ว่าธรรมมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย เกิดขึ้นเป็นแข็ง เป็นเย็น เป็นกลิ่นต่างๆ แต่อีกสภาพธรรมหนึ่งเป็นธาตุรู้ที่ต้องรู้สิ่งใดสิ่งนั้นปรากฏ ไม่ใช่สิ่งอื่นปรากฏ เฉพาะรู้สิ่งใดสิ่งนั้นเท่านั้นที่ปรากฏ ถ้ากลิ่นปรากฏหมายความว่า ธาตุรู้เกิดขึ้นได้กลิ่น ถ้าหวาน เค็มปรากฏก็หมายความว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้นลิ้มรสเค็ม เฉพาะเค็มปรากฎ ลิ้มรสหวานเฉพาะรสหวานปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจละเอียดมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมไม่มีใครสามารถจะไปเปลี่ยนแปลงได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้สมาธิมีจริงไหม มี เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ สมาธิเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ สมาธิเป็นนามธรรม แค่นี้ยังไม่พอ นามธรรมหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นมีนามธรรมที่ต่างกันอีกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ อีก นี่คือพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ว่าเดี๋ยวนี้เอง ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม เป็นธาตุทั้งหมด เพราะฉะนั้นนามธรรมก็มีสองอย่าง
ผู้ฟัง จิตกับเจตสิก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสเป็นธาตุซึ่งทำหน้าที่อย่างเดียว คือแค่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างเวลานี้ถ้ายังไม่เข้ามาในห้องนี้ จะรู้ไหมว่าห้องนี้เป็นอย่างไร ไม่รู้ แต่พอเข้ามาแล้วเห็นแจ้งว่าห้องนี้เป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าจิตเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นมีธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ใช้คำว่าจิตตะ หรือ จิตตัง ก็แล้วแต่หลายคำ มโน วิญญาณ มนะ หทย หลายคำ แต่ก็มีความหมายเฉพาะแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธาตุรู้แน่ๆ จึงมีสิ่งที่ปรากฏว่าห้องนี้เป็นอย่างนี้ ธาตุรู้มีแน่ๆ มีเสียงปรากฏ แสดงว่าธาตุรู้กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นสมาธิเป็นนามธรรมใช่ไหม แต่นามธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานเป็นจิต แต่ว่าใครจะไปทำให้จิตเกิดไม่ได้ ต้องมีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้จิตนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ที่เป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เช่นเข้ามาในห้อง ก็รู้เลยว่าห้องนี้เป็นอย่างนี้ ออกไปนอกห้องก็รู้แจ้งอีกว่าไม่ใช่อย่างที่มีในห้องนี้
เพราะฉะนั้นธาตุรู้เป็นสภาพที่รู้แจ้ง แต่เกิดไม่ได้ต้องอาศัยนามธรรมอีกประเภทหนึ่ง ใช้คำว่าเจตสิก เจตสิกะหมายความถึงนามธรรมที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต รู้อารมณ์ อารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เพราะว่าเมื่อมีธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สภาพรู้คือจิตสภาพที่ถูกรู้ทั้งหมดไม่ว่าจิตรู้อะไร สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ ภาษาบาลีออกเสียงว่า อารัมมณะ หรือจะใช้คำว่าอาลัมพนะก็ได้ แต่คนไทยจะชินหูกับคำว่าอารมณ์ ตัดสั้นเหลือแค่อารมณ์ แต่ความจริงเป็นอารัมมณะ เดี๋ยวนี้มีอารัมมณะ มีอารมณ์ไหม มี ไม่ใช่หมายความว่าวันนี้อารมณ์ดี พรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดี ไม่ใช่อย่างนั้น แต่อารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ เห็นอะไร สิ่งที่ถูกเห็นคืออารมณ์ของจิต ได้ยินเสียงอะไร เสียงที่ได้ยินเฉพาะที่ได้ยินเป็นอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นมีจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน เกิดพร้อมกับเจตสิก ๕๒ ประเภททั้งหมด แต่เกิดไม่พร้อมกันทั้ง ๕๒ จิตบางประเภทมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยต่างกันตามประเภทของจิตนั้นๆ เพราะฉะนั้นนี่ยังไม่รู้เลย ยังไม่มีคำว่าสมาธิเลย แต่มีคำว่าธรรม มีคำว่านามธรรม รูปธรรม มีคำว่ามีจิต มีเจตสิก ก่อนจะไปถึงคำว่าสมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิที่ได้ยินได้ฟังกัน มีปัญญาเข้าใจหรือเปล่าว่าเป็นอะไร ถ้าไม่ฟังพระธรรมไม่มีทางเข้าใจ แต่พอฟังแล้วก็ต้องคิด ได้ยินคำไหนก็ตาม เริ่มไตร่ตรองว่าเป็นอะไร เป็นรูปหรือเป็นนาม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าสมาธิ เป็นธรรมแน่นอนใช่ไหม เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
ผู้ฟัง นามธรรม
ท่านอาจารย์ นามธรรมมี ๒ อย่าง จิตกับเจตสิก เพราะฉะนั้นสมาธิเป็นอะไร ไม่บอกไม่รู้ คิดเองก็ผิด ต่างคนก็ต่างคิดใช่ไหม แต่ไม่ต้องเสียเวลาคิด ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดใน ๔๕ พรรษา สมาธิได้แก่เจตสิก ๑ ใน ๕๒ ประเภท แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกัน โลภะเป็นโลภะติดข้อง โทสะเป็นโทสะติดข้อง โลภะ โทสะก็ไม่ใช่สมาธิ เพราะสมาธิ สภาพของสมาธิคือลักษณะที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ทุกคนรู้สึกจะรู้จักสมาธิคร่าวๆ อย่างนี้ใช่ไหม อ่านหนังสือ ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่รู้เรื่อง แม้แต่ฟังเรื่องราวต่างๆ ในขณะนี้ ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่รู้อีก เดี๋ยวคิดโน่นคิดนี่ แต่ว่าธรรมละเอียดยิ่งกว่านั้น หมายความว่ามีเจตสิกหนึ่งซึ่งเป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ ถ้าเจตสิกนี้ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์เดียวบ่อยๆ นานๆ ลักษณะของความตั้งมั่นปรากฏจึงเรียกว่าสมาธิ เพราะฉะนั้นคือสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เกิดกับจิตทุกขณะ แต่ถ้าขณะใดตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์เดียวนานๆ ลักษณะของความตั้งมั่นในอารมณ์นั้นก็ปรากฏว่าเป็นสมาธิ ทีนี้เริ่มรู้จักสมาธิ จากการที่ทำสมาธิแล้วไม่รู้จักสมาธิ นี่คือความต่างกันของปัญญากับสมาธิ
ผู้ฟัง เขาก็ตอบว่าทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ เพื่อจะได้เรียนหนังสือ แล้วมีความจำดีขึ้น ผมก็ถามว่านั่งสมาธิแล้ว จะรู้ไหมว่าขันธ์ ๕ คืออะไร เขาก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เขาตอบชื่อได้ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นั่นชื่อ แต่ไม่เข้าใจ
ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้จำชื่อ แต่ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง คิดดู ต้องอาศัยเวลายาวนานไหม กว่าจะเข้าใจ แม้แต่เดี๋ยวนี้มีสมาธิหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้จักว่าเป็นธรรมอะไร เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก และเป็นเจตสิกประเภทไหน เป็นเจตสิกประเภทที่เกิดกับจิตทุกประเภท หรือว่าเป็นเจตสิกที่เกิดเฉพาะกับอกุศล หรือว่าเป็นเจตสิกที่เกิดเฉพาะกับกุศล ซึ่งเป็นโสภณ ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา แล้วก็ทั้งหมดที่ศึกษา ขอให้รู้ว่าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ไปจำชื่อ
ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ อธิบายเรื่องสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ
ท่านอาจารย์ สมาธิคือความตั้งมั่น ถ้าเป็นสัมมาก็ต้องถูกต้องในทางที่ดีใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นจิต และเจตสิกเป็นกุศล เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งถ้าตั้งมั่นในอารมณ์ใดนานๆ ก็เป็นสมาธิ แต่ว่าขณะนั้นที่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ตั้งมั่น ขณะนั้นเป็นลักษณะของเอกัคคตาเจตสิก จิตเป็นเพียงธาตุรู้ในสิ่งที่เอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นในอารมณ์นั้น จิตก็รู้แจ้งอารมณ์นั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดแม้แต่ชื่อเอกัคคตาเจตสิก เรายังไม่ได้เอ่ยสักชื่อหนึ่ง มีแต่ชื่อสมาธิใช่ไหม แต่ว่าความจริงแล้ว เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท ใน ๕๒ ประเภทนั้นต่างกันตามลำดับ อ่อน แล้วก็แรงกล้า โลภะนิดเดียวเดี๋ยวนี้กำลังมีรู้ไหม แต่ถ้ามีมากๆ รู้ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ซึ่งความรู้ถูกความเห็นถูกเป็นปัญญาซึ่งค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการฟัง ไม่รีบร้อนไปรู้เยอะๆ มากๆ แต่ให้รู้ว่าฟังทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งยากมาก เพราะว่าไม่เคยคิดถึงธรรมเดี๋ยวนี้เลย คิดถึงแต่ธรรม พอชื่อก็นำไปแล้ว โลกุตรจิต อะไรๆ ก็พูดไป แต่ว่าธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งกำลังเกิดดับ เมื่อใดที่สามารถจะกำลังถึงเฉพาะลักษณะที่ไม่ใช่เรา เพื่อพิสูจน์ว่าเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับจริงๆ
อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้เข้าใจพระธรรมว่า เป็นธรรมอะไร เป็นจิตเจตสิกหรือเป็นรูป ก็ไม่สามารถไปให้เขาเข้าใจถูกได้เลย
ท่านอาจารย์ เพียงได้ฟังแค่นี้ ก็ยังรู้ความต่างกันของบุคคล ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งเริ่มรู้ว่าปัญญาความเข้าใจถูกมีประโยชน์กว่าอย่างอื่น อีกประเภทหนึ่งก็ไม่สนใจเลย เพราะยังคงพอใจที่จะทำสมาธิ ด้วยเหตุนี้สัตว์โลกมีอัธยาศัยอุปนิสัยต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงแล้วๆ เล่าๆ เพื่อให้ไตร่ตรอง เพื่อให้พิจารณาว่าลองคิดดู ไปทำสมาธิ แต่ไม่รู้อะไรเลย มีแต่ความว่าเป็นเรา อยากสงบแน่ๆ จึงได้ทำสมาธิ กับเวลานี้ไม่ได้สนใจเลยว่าสมาธิเป็นอะไร แต่เริ่มรู้ว่าไม่ใช่เราแล้วก็สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะสมาธิเท่านั้น อย่างอื่นก็มี แล้ว ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา ถ้าคนที่มีปัญญาสะสมมา ก็ย่อมเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์กว่า แต่ถ้าไม่ได้สะสมมา ก็คิดว่าไม่ต้องรู้ก็ได้ เพราะว่าอยากสงบ แต่ความจริงขณะนั้นไม่สงบ ใครไปบอกก็ไม่เชื่อ จนกว่าจะพิจารณาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แค่คำว่าอยาก นิดเดียว อยากสงบไม่ได้ ไม่ใช่สภาพที่สงบเพราะอยาก
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับความกระจ่างของคำว่าสงบ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักธรรม เราคิดเองว่าสงบ แต่ความจริงไม่สงบ เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่าสงบคืออะไร เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเขียนตำราเรื่องต่างๆ มากมาย ทฤษฎีต่างๆ แต่ว่าไม่ได้อธิบายจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็ยังคงเป็นเขา และเขาก็คิดไปต่างๆ นานา เริ่มต้นจากเข้าใจผิดว่ามีเรา แล้วจะเข้าใจถูกได้หรือ เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มต้นจากการเข้าใจถูกต้องจริงๆ ว่า ไม่มีเรา แล้วคืออะไร ปัญญาก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นในความจริง ซึ่งวันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วไตร่ตรองถูกต้องเป็นความจริงตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง เพราะขณะนี้รวมแล้วเป็นเรา รวมแล้วเป็นดอกไม้ รวมแล้วเป็นโต๊ะ แต่ถ้าแยกออกไปเป็นอย่างละหนึ่งทีละหนึ่ง เราอยู่ไหน เห็นเป็นเราหรือ เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้ยินเป็นเราหรือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป คิดเป็นเราหรือ ก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเป็นความเข้าใจอย่างมั่นคงตามลำดับขั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ขอให้พูดเรื่องสงบใช่ไหม แล้วจะเข้าใจได้ ตราบใดที่เป็นเราไม่มีทางจะสงบ และไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าสงบคืออะไร เพราะสงบก็คือว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นนามธรรมสามารถรู้ แต่สภาพรู้มีหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นลักษณะของสงบไม่ใช่ลักษณะของจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง แต่จิตก็เกิดขึ้นไม่ได้ ค่อยๆ ขยายไปค่อยๆ เข้าใจไป จนกระทั่งละความเป็นเรา ขณะที่เข้าใจอย่างนี้สงบไหม เห็นไหม ไม่ต้องไปทำความสงบ หรือไม่ต้องไปคิดว่า สงบต้องไปนั่งคนเดียวหรือทำอะไร แต่เข้าใจเมื่อใดสงบเมื่อนั้นจากอกุศล แต่ถ้าไม่เข้าใจแล้วไปนั่งทำ ไม่เข้าใจสงบไหม ไม่มีทางที่จะสงบได้
อ.กุลวิไล ก่อนศึกษาพระธรรม ดิฉันก็ไปในสถานที่คนเขาชวนไปให้ไปทำสมาธิ เวลาที่ไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ก็ไม่มีเสียงที่มารบกวน แล้วก็ดูรู้สึกว่าก็ชอบสถานที่นั้นด้วย แล้วยังไม่รู้ว่าเป็นไปกับอกุศลธรรม ขณะนั้นก็ไม่สงบ
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหนก็ตาม มีเห็นไหม
อ.กุลวิไล มี
ท่านอาจารย์ และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
อ.กุลวิไล มี
ท่านอาจารย์ แล้วคิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม เวลานี้ทุกคนคิดถึงสิ่งที่เห็น ถูกต้องไหม สงบไหม ต่อให้จะเป็นในป่า ภูเขา ทะเลทราย หรือว่าทะเล ชายหาด หรืออะไรก็ตามแต่ จนกว่ารู้แน่นอนจริงๆ ว่า เกิดคนเดียว ไม่ได้มีใครเกิดด้วย เกิดมาแล้ว ทุกคนก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เห็นก็เห็นคนเดียว ไม่มีใครเลยทั้งสิ้นที่จะมาเห็นในขณะที่เห็นกำลังเกิดขึ้นต้องทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายของคนเดียว ถ้ารู้จริงๆ ว่าอยู่คนเดียว มีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า แม้แต่เข้าใจว่าเป็นคนก็คือธาตุหรือธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจอย่างมั่นคง สงบไหม
อ.กุลวิไล สงบแน่นอน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราไปที่หนึ่งที่ใด แล้วเข้าใจว่าเขาชวนเราไปที่ๆ ไม่มีคน มีแต่ต้นไม้มีแต่ป่าหรืออะไร แล้วเข้าใจว่าสงบ ขณะนั้นเขาไม่รู้จักสงบ เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ใครจะสงบ ถ้าไม่รู้จักสงบ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า สงบต้องไม่ใช่เรา
อ.กุลวิไล แล้วถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ก็ไม่รู้ว่าขณะที่สงบก็สงบจากความติดข้อง แล้วก็ความขุ่นเคืองใจ และไม่รู้ในธรรมที่มีในขณะนั้น
ท่านอาจารย์ กุศลจิตทุกประเภทสงบ เริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย เพราะว่าต้องรู้ชัดเจนว่าขณะใดเป็นกุศล ขณะใดไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นขณะนั้นจึงสงบเพราะรู้ เมื่อคืนนี้ใครฝันบ้าง จริงๆ แล้วฝันคนเดียว แต่ในฝันมีคนเยอะมาก คนโน้นคนนี้คนนั้นใช่ไหม ซึ่งไม่มีเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมีเมื่อคิด เพราะฉะนั้นทุกอย่างละเอียดมาก แต่ละคำต้องไตร่ตรอง และรู้ว่าสามารถที่จะรู้ความจริงถึงที่สุด ขณะที่สภาพธรรมปรากฏหนึ่ง เราพูดถึงธรรมทีละหนึ่ง เพื่อให้รู้ว่าถ้าเมื่อใดเป็นหนึ่ง เมื่อนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่รวมกันเมื่อใดก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าสภาพธรรมขณะนั้นปรากฏเพียงหนึ่ง และ หนึ่งนั้นยังไม่ใช่เราด้วย สงบจากการไม่รู้ และการยึดถือมาในแสนโกฏกัปว่าเป็นเรา และมีเรา เพราะฉะนั้นเรื่องของความสงบ ก็ต้องทราบ แม้แต่กุศลทุกชนิดสงบแน่ๆ แต่ขณะนั้นยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นแต่ละขณะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นดีเมื่อใด สงบจากความไม่ดีเมื่อนั้น แต่ก็ยังมีความไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ก็ต้องมีความสงบจนถึงที่สุด คือธรรมที่ไม่เกิด นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งเพราะสงบ ไม่มีการเกิด ไม่ใช่ว่าเป็นความรู้สึกสงบ หรือว่าไม่ใช่เป็นความรู้สึกเป็นสุข แต่ว่าเป็นความสงบ ซึ่งเพราะไม่เกิด
ผู้ฟัง รู้สึกว่ายากเหลือเกิน เพราะว่าจากสมาธิซึ่งเป็นกันมาก แล้วก็กว่าจะสามารถที่จะเข้าใจถึงหนทางที่ถูกต้อง แล้วจะเข้าใจถึงความเป็นการทำด้วยความติดข้องความเป็นตัวตน จะอาศัยอะไร เพราะในความรู้สึกว่าอดทนมากในการฟัง
ท่านอาจารย์ แค่คิดถึง ๕๐, ๖๐ปี ๙๐ปี กับคิดถึงอีกหนึ่งอสงไขยแสนกัป เทียบกันได้ไหม เวลาก็ไปเรื่อยๆ จากวัน เดือน ไปจนถึงร้อยปี พันปี จนถึงกัปหนึ่ง สองกัป ความเข้าใจวันนี้ก็จะติดตามไป หมายความว่า ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ก็จะมีโอกาสที่จะรู้ว่าสิ่งใดเป็นเหตุเป็นผลเป็นความถูกต้อง เพราะเหตุว่าแม้แต่การฟังธรรม รู้หรือเปล่า เพียงแค่จะฟังก็เป็นเรื่องละแล้ว ทำไมเราไม่ไปทำอย่างอื่น เห็นไหม แต่อย่างน้อยที่สุด ก็คือว่าได้ฟังสิ่งซึ่งต้องมีประโยชน์แน่นอน แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้มากน้อยเท่าใด นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยที่สุดเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าละ ละความติดข้อง โดยเฉพาะถ้าถูกต้องก็คือว่า ละความติดข้องในความไม่รู้ เพราะว่าทั้งหมดไม่รู้ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะชอบ หรือว่าจะโกรธ หรือว่าอะไรจะเกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละภพ แต่ละชาติทั้งหมดนั่นเพราะความไม่รู้
เพราะฉะนั้นการฟังเริ่มต้นจากละความไม่รู้ และก็ฟังด้วยความละต่อๆ ไป จึงสามารถที่จะเจริญขึ้นในการที่จะรู้ว่า ความจริงแล้วก็คือว่าทุกอย่างว่างเปล่า แค่คำนี้คำเดียว ลองคิดหลายๆ ชั้นแล้วจะจริงไหม เห็นเกิดขึ้นเห็นดับไป นี่ทุกคนเข้าใจแล้ว พอฟังธรรมก็ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งยั่งยืน แม้แต่เห็นขณะนี้ก็กำลังเกิดดับ แต่ปัญญายังไม่ถึงการที่จะประจักษ์แจ้ง อีกนานเท่าใด ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครจะไปพากเพียรพยายาม แต่จากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยนี่เอง ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ในแสนโกฏกัป หรือว่ากี่หมื่นกี่พันกัปก็ตามแต่ ยิ่งใหญ่มากมายกว่าจักรวาล แล้วจะหมดไปได้ทันทีเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มด้วยการละความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ ละไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เช่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่ประโยคหนึ่งแล้ว
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้เห็นดับ เพราะเกิดเห็นแล้วก็ดับ เดี๋ยวนี้ได้ยินก็เกิดดับ ทุกอย่างก็เกิดดับ แต่ลองคิดถึง ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น สิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก ถูกต้องไหม เพิ่มความเห็นความไม่มีสาระของสิ่งที่เกิดไหมว่า จากไม่มี ไม่มีเสียง แล้วก็มีเสียง แค่นั้นนิดเดียว แล้วก็หมดไปแล้ว แล้วทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่เสียง คิดแค่นิดเดียวเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นก็เล็กน้อยสั้นมาก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่คิดถึงการต่ออยู่เรื่อยๆ เป็นภพเป็นชาติ ก็หมายความว่า ได้เริ่มมีความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่ว่างเปล่า คำพูดนี้เป็นเพียงคำพูดที่ได้ฟัง จนกว่าปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ขณะนั้นจึงจะรู้ว่าว่างเปล่า
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เคยมีมาแล้วทั้งหมดด้วยความไม่รู้ และด้วยความติดข้อง ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ว่าเพราะไม่รู้ จึงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะก่อนนั้นไม่มี ไม่เคยมีมาก่อน เกิดมาเป็นชาตินี้คนนี้ ไม่เคยมาเป็นชาตินี้คนนี้มาก่อน แต่ว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินทั้งหมดเดี๋ยวนี้ ก็เมื่อสักครู่นี้ก็ไม่มี แล้วก็เกิดมีขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้าปัญญาถึงระดับที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งจริงๆ เมื่อนั้นก็รู้จริงๆ ว่าทุกอย่างว่างเปล่า ไม่สมควรเลยที่จะหลงเข้าใจผิด และยึดถือ แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นในบรรดาธรรมทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด แต่ว่าจะมีปัญญาอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าความไม่รู้มหาศาลมาก เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงการชำระจิตที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นชำระจิตนี้ ซึ่งแต่ละคนกำลังมี ไม่ใช่จิตอื่น จิตนี้คือจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อสะสมทุกสิ่งทุกอย่างมานานแสนนาน และปัญญาค่อยๆ ชำระความไม่รู้ และความติดข้องจากจิตนี่เอง ไม่ใช่ไปเพ่งไปจ้องสิ่งอื่น ให้สิ่งอื่นปรากฏการเกิดดับ เทียบได้เลยขณะนี้แข็งปรากฏแน่ แล้วก็ฟังแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แข็งเป็นแข็ง เปลี่ยนแข็งเป็นอื่นไม่ได้เลย แต่ปัญญายังไม่ถึงการเกิดขึ้น และดับไปของแข็งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่เพื่อจะให้ไปรู้อย่างนั้นโดยเป็นตัวตนที่พยายามจะไปจ้อง พยายามที่จะไปประจักษ์การเกิดดับ แต่ต้องเป็นการรู้ว่าไม่รู้อย่างนี้หรือ จะสามารถไปประจักษ์อย่างนั้นได้ แต่สามารถจะประจักษ์อย่างนั้นได้ต่อเมื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในชีวิตที่เกิดเป็นปกติเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นธรรมเป็นปกติ บางคนก็บอกว่าทำไมธรรมของพวกเรามีความสุข มาที่นี่ก็มีความสุข ทุกคนก็เบิกบาน อาหารก็อร่อย เดินชายหาดสนทนากัน ร้องเพลงอะไรก็ได้ ก็เป็นปกติ จะให้ผิดปกติหรือ ถ้าผิดปกตินั่นคือตัวตนต้องการให้เป็นอย่างนั้น คือผิดปกติใช่ไหม แล้วเมื่อใดจะละความเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นธรรมก็คือปกติ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020
