ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๒๐
สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม
วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง เราก็เพลิดเพลินไปกับสิ่งอะไรต่างๆ ที่บางครั้งเราก็หมกมุ่นอยู่ในความรู้สึกอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่รู้ตัว จะเพลินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าเราน่าจะหยุดได้ แต่หาวิธีหยุดไม่ค่อยได้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ความเพลิดเพลินเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ดับไปหรือเปล่า
ผู้ฟัง ดับไปแล้วก็เกิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ แล้วก็ลืมหรือเปล่า เพราะทุกอย่างเป็นอย่างนี้แน่นอน เปลี่ยนไม่ได้ รู้ความจริงมากขึ้น ก็จะทำให้เราลืมที่จะไปคิดถึงเรื่องทุกข์เรื่องสุข เพราะเหตุว่าแม้ทุกข์เกิดนั่นแหละจริงชั่วคราว สุขเกิดก็นั่นแหละจริงชั่วคราว และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วยเพราะไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมที่เกิดดับ มีบุคคลหนึ่งหวังดีกับสัตว์โลก รู้ว่าทุกคนเพราะไม่รู้จึงเกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วตาย เกิดแล้วก็เหมือนมีทุกอย่าง แต่ตายแล้วไม่มีสักอย่างเดียวที่เคยมี เพราะฉะนั้นก็ชั่วคราว ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เป็นบุคคลที่หวังดีต่อทุกคนที่จะให้รู้ความจริง บำเพ็ญความเพียรมากมาย นับไม่ถ้วน ๔ อสงไขยแสนกัป หลังจากที่ได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกร พยากรณ์สุเมธดาบสว่าท่านผู้นี้ในกาลข้างหน้าอีก ๔ อสงไขยแสนกัป จะรู้ความจริงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการรู้ความจริงมีปัญญาต่างขั้น เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือบุคคลใดทั้งสิ้น เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็เป็นอนุพุทธะผู้ที่เป็นสาวกผู้รู้ตาม แต่ความจริงก็เปลี่ยนไม่ได้ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ความจริงก็เป็นความจริง
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงแล้วก็สามารถที่จะดับกิเลสหมดสิ้นได้ แต่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามลำดับขั้น เริ่มจากการไม่เคยฟังธรรมเลย เริ่มจากการคิดว่าเราจะปฏิบัติธรรม มีความเป็นเราเพราะไม่รู้จักธรรม ก็คิดว่าจะทำ แต่ความจริงเมื่อฟังแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครที่จะไปทำอะไรได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีบารมีหนึ่ง คือความอดทน ที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งรู้ได้ แต่ต้องด้วยความอดทน และด้วยสัจจบารมี คือความมั่นคงจริงใจที่จะไม่ละทิ้งสิ่งซึ่งเป็นแสงสว่าง ที่จะทำให้รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งตั้งแต่เกิดไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้เลย แล้วผ่านไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือเลยก็ไม่รู้ แล้วก็ต้องความเพียรก็มีแล้ว แม้ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ก็เป็นความเพียรเป็นวิริยบารมี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีบารมีที่จะเพิ่มขึ้น โดยการฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะไม่รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็จะไม่มีพระองค์เป็นที่พึ่ง แต่ถ้ารู้ว่าที่พึ่งมี คือธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ก็ฟังต่อไป ธรรมเป็นที่พึ่ง
ผู้ฟัง การฟังธรรมหรือการเข้าใจธรรม มีประโยชน์อย่างไรกับชีวิตของเรา
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ต้องค่อยๆ เริ่มเห็นเมื่อเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเลย ก็จะไม่รู้เลยว่าเป็นประโยชน์ เหมือนไม่มีประโยชน์ แต่พอเข้าใจแล้วก็รู้ว่า จากไม่รู้แล้วรู้ เท่านี้มีประโยชน์ถูกต้องไหม เพราะเหตุว่ารู้ต้องดีกว่าไม่รู้แน่ แล้วมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ แล้วไม่รู้เที่ยวไปรู้อื่นเยอะแยะมากมาย แต่ว่าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นคนที่รู้จริงจะรู้อะไร ไม่ใช่รู้สิ่งที่ยังไม่มี เพราะสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่มีให้รู้ แต่คนที่รู้จริงก็คือคนที่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งถ้าถามใครที่ยังไม่เคยฟังพระธรรมเลย เขาก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงคืออะไร ตอบไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แต่ว่าสิ่งที่มีจริงต้องรู้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้สิ่งนั้นหมดแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้ความไม่รู้ ไม่รู้ในสิ่งที่มี และหมดไป จะเรียกร้องกลับมารู้อีกก็ไม่ได้ แต่ว่าถึงแม้ว่าจะดับไปแล้ว ก็จริง แต่มีสิ่งที่เกิดใหม่สืบต่อ จากเมื่อสักครู่นี้มาถึงเดี๋ยวนี้ และก็ต่อไปถึงเย็นนี้ ค่ำนี้ พรุ่งนี้ไม่มีการหยุดยั้งเลย มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นประโยชน์อยู่ที่ผู้รู้ว่าควรรู้ไหม เพราะว่าเกิดมาก็ไม่รู้จนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่านับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไม่พอ ต้องเป็นคนที่ไตร่ตรองว่า เพราะอะไรจึงนับถือ อยู่ดีๆ มีคนบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบไหว้เสีย แล้วก็ท่านสมควรแก่การที่จะกราบไหว้อย่างไร ก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้ว่าสามารถที่จะรู้ได้ว่า ทำไมท่านผู้นี้จึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคนอื่นเป็นไม่ได้เลย ต้องมีความพิเศษสุดเหนือบุคคลใดทั้งหมด ไม่ว่าโลกไหนทั้งสิ้น พรหมโลก สวรรค์ต่างๆ เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้ที่ได้แสดงความจริง แล้วมีโอกาสที่ได้ฟัง จะฟังไหม แค่นี้ก่อน เพียงแค่เริ่มจะฟัง จะฟังไหม เพราะว่าถ้าไม่ฟังก็ไม่มีทางที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อนับถือใคร ไม่ใช่ว่าเพียงนับถือ แต่ต้องรู้ว่าคนนั้นควรค่าแก่การนับถือ มีคุณความดีมากน้อยแค่ไหน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่เคารพสักการะของแม้เทวดา พรหม ทุกคนหมด เพราะฉะนั้นควรไหมที่จะฟังผู้ที่เป็นผู้รู้จริงๆ เพราะว่าถ้าถามว่าใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ตอบไม่ได้สักคน แต่มีผู้ที่ตอบได้เพราะว่าได้ตรัสรู้แล้ว น่าฟัง น่าเข้าใจ เพราะว่ากราบไหว้มานาน อาจจะตั้งแต่เล็กแต่น้อย แต่ก็เพิ่งจะได้เข้าใจว่า พระองค์ทรงมีพระปัญญาคุณมากน้อยแค่ไหน เหนือบุคคลใดจริงๆ
ผู้ฟัง โดยส่วนใหญ่แล้ว คนเราจะเรียนรู้จากการเห็นตัวอย่าง ทีนี้ตัวอย่างอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงเป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา มีอะไรบ้าง ที่เราจะต้องศึกษาหรือจะต้องเข้าใจสิ่งที่ท่านแสดงหรือท่านมอบให้กับพวกเรา
ท่านอาจารย์ คุณความดีต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อใด เป็นที่นิยมเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายของพระองค์เป็นอย่างไร วาจาของพระองค์เป็นอย่างไร เพราะใจของพระองค์เป็นเหตุให้กายเป็นอย่างนั้น วาจาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ถ้าพูดถึงพระรูปกาย สง่างามไม่มีใครเปรียบได้เลย เมื่อเสด็จไปที่พระนครราชคฤห์ ผู้คนก็ตื่นเต้น ลองคิดดูว่าคนธรรมดาที่ยังมีกิเลส ก็ยังมีความสวยงามมากบ้างน้อยบ้าง แต่ผู้ที่ประกอบด้วยพระปัญญา พระมหากรุณา แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้เลยทั้งสิ้น พระรูปกายทั้งหมด ไม่มีใครเปรียบได้ด้วย กล่าวได้ว่าผู้ที่มีความงามรองจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือพระนางยโสธราพิมพา ทั้งหมดก็เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่พระเนตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่างกับคนอื่น ทุกคนก็มีตาเหมือนกันหมด แต่ที่จะประกอบด้วยพระคุณมากมาย แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้เหนือกว่าบุคคลอื่น เพียงแค่นี้ไม่ประทุษร้ายใคร เวลาเดินก็ไม่ใช่เหลียวหน้าเหลียวหลัง อยากเห็นโน่นเห็นนี่ สนใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ก็เป็นผู้ที่สงบด้วยพระปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าใครเห็นพระองค์จริงๆ ก็จะรู้ได้เลยว่าพระพุทธรูปไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนของประเทศไหน ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงประกอบด้วยพระรูปกายเท่านั้น แต่ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี และก็มีพระปัญญาทั้งหมด แต่ละคำเป็นคำจริง แม้แต่ขณะที่กำลังกล่าวธรรม ทอดพระเนตรลงต่ำ เพราะว่ามีผู้ที่นั่งไม่เสมอกับพระองค์แน่นอน และก็กล่าวธรรมทุกคำด้วยพระมหากรุณา ก็ไม่ทราบว่าใครเคยเฝ้า เคยเห็น เคยฟัง ๒,๕๐๐ กว่าปี พระผู้มีพระภาคก่อนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากมาย ก็เหมือนทุกคน คนที่ยังมีกิเลสก็เป็นอย่างหนึ่ง คนที่มีคุณความดีได้พิจารณาไตร่ตรอง เริ่มตั้งแต่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่เกิดมาแล้วก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่าง ผมสักเส้นหนึ่ง ฟันสักซี่หนึ่ง ก็เอาไปไม่ได้เลย แล้วอะไรจะเป็นของเรา อยู่ข้างนอกเป็นของเราไม่ได้แน่ แต่ที่ตัวแท้ๆ ก็ยังไม่ใช่ของเราจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่ทรงแสดงความจริงให้เห็นความจริง เพื่อที่ว่าจะได้ละความไม่รู้ และความติดข้อง เพราะไม่รู้ทุกคนจึงทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้ามีปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้ และก็รู้ว่าความดีก็ต่างกับความไม่รู้ ความดีไม่เคยนำสิ่งที่เป็นโทษมาให้เลยสักอย่างเดียว และก็ความดีเท่านั้นยังไม่พอ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ด้วย เพราะเหตุว่าความไม่รู้เป็นต้นเหตุของความไม่ดีทั้งหมด ถ้าเราได้เข้าใจความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา หลงยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน หลงจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปเรื่อยๆ ปรากฏให้เห็นแต่ไม่เห็น อาหารที่รับประทานเมื่อสักครู่นี้อยู่ไหน จากสิ่งที่อยู่ในจานสวยงามเรียบร้อย ก็มาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในปาก และก็ย่อยสลายไป อยู่ไหน ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ลวงเหมือนยังมีอยู่ เพราะอะไร เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น และดับไป ก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นสืบต่อเร็ว สนิทจนกระทั่งไม่รู้เลยว่าไม่ใช่อันเก่า เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ทุกคนก็เคยดูหนังใช่ไหม มีรูปภาพกี่รูป มองไม่เห็นเลย เห็นแต่เป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อตลอดเวลา แล้วจะต่างอะไรกับขณะนี้ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่สามารถจะเริ่มเข้าใจ จากการคิดถึงชีวิตจริงๆ ของเราเอง ของญาติพี่น้อง ของเพื่อนฝูง ของประเทศชาติโน้นชาตินี้หลากหลายมาก ทำไมไม่เหมือนกัน ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นหลากหลาย เพราะฉะนั้นทุกคนก็เริ่มพิจารณาว่า ความทุกข์ทั้งหลายมาจากไหน และก็รู้สาเหตุว่าอะไรจริงๆ ที่เป็นทุกข์ และทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้นคืออะไร ถ้าจะถามบางคนอาจจะบอกว่าความตายเป็นทุกข์ ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทุกข์ยิ่งกว่านั้นมีไหม เห็นไหม ทุกข์ที่เดี๋ยวนี้เองตายทุกขณะ ตาย หมายความว่าดับไปแล้วไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้นคิดเมื่อสักครู่นี้ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่ใช่แต่เฉพาะความคิด เห็นเดี๋ยวนี้ดับไปไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นเท่าใด เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วสภาพที่จำ เห็นก็จำ ได้ยินก็จำ ความจำมีจริง เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นรวมกันแล้ว ก็ปรากฏเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อย่างดอกไม้ดอกหนึ่ง ประกอบด้วยกี่กลีบ ใช่ไหม แล้วก็กลีบนั้นย่อยออกไปได้ไหม ให้ละเอียดที่สุด ก็ยังเป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ที่มารวมกันฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปร่างกายของเราก็ฉันนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด ไม่เว้นเลยธรรมทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากำลังเกิดดับ จนกว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นในแต่ละหนึ่งว่า หนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งนั้น เมื่อหนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งนั้น หนึ่งนี้ดับก็ปรากฏว่า หนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งที่เกิดต่อทันที ความจริงสามารถที่จะรู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง แต่เพราะเหตุว่ามีผู้ที่สะสมที่จะเห็นประโยชน์ของการที่ได้เข้าใจความจริง แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง มีใครไม่ชอบความจริงบ้าง อาจจะชอบสิ่งที่หลอกสิ่งที่ลวง แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนั้นลวง และหลอก
เพราะฉะนั้นความจริงเป็นสิ่งที่ควรจะรู้ ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าเพลิดเพลินยินดี ไม่น่าพอใจ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ก็รู้ดีกว่าไม่รู้ใช่ไหม เราเปลี่ยนความจริงไม่ได้เลย ก็ควรจะรู้ความจริงนั้นดีกว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นอะไรเป็นทุกข์ เหนือทุกข์ใดๆ ยิ่งกว่าทุกข์ใดๆ ทั้งหมด ก็คือสิ่งที่มีนี่แหละ ไม่เที่ยง เที่ยงแปลว่ายั่งยืน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงขณะนี้ไม่ยั่งยืนเลยสักอย่างเดียว ฟังแต่ละคำแต่ละเสียง คิดตามคำที่ได้ยิน พอหมดคำนั้นมีคำอื่นก็คิดตามคำอื่นต่อไป เพราะฉะนั้นจึงมี ๖ โลก โลกทางตา ไม่มีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยเลยทั้งสิ้น คิดก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง เสียงกลิ่นใดๆ ก็ไม่มี เพราะขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่ง แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ก็ลวงให้เห็นว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเกิด และก็ไม่มีอะไรดับเลย เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ยากแต่รู้ได้ เพราะฉะนั้นสัจจะเป็นความจริง ถึงยากเพียงใดก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ดีกว่าอยู่ไปโดยถูกลวงตลอดเวลา เกิดมามีความสุขมีความสบาย มีอาหารอร่อย ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอยู่ไหน ชั่วคราวจริงๆ แสนสั้น เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็จะทำให้ต้องเกิดต่อไป เกิดมาแล้วนานแสนนาน รู้ไม่ได้เลย แม้เมื่อวานนี้ดับไปแล้วก็ลืม วันนี้อย่างไร ที่ว่าเกิดมานานแสนนาน แม้เพียงแค่วันเดียวยังนานแค่หนึ่งวัน และก่อนวันเมื่อวานนี้ ก็มีอีก มีอีก ถอยไปก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้นเมื่อวันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้อีก ชาติหน้าต่อๆ ไปก็เป็นอย่างนี้อีกไม่จบสิ้น จนกว่าจะรู้ว่าแล้วมีประโยชน์อะไร แต่ละคำฟังสำหรับคิด สำหรับไตร่ตรอง สำหรับรู้ว่าจริงไหม เมื่อรู้ว่าจริง สิ่งนั้นควรเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงไหมว่า ขณะนี้ไม่ว่าอะไรก็ตามปรากฏแล้วดับ ถึงอาการเกิดขึ้น และดับไม่ปรากฏ แต่เริ่มพิจารณาว่าจริงไหมแค่นี้ก่อน ถ้าจริงไหม และฟังบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ก็จะมีความเข้าใจว่า เมื่อใดจะถึงวันที่พระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ อย่างที่ได้ตรัสไว้แล้วให้ทุกคนได้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งทุกคนก็จะเริ่มจากการฟังก่อน แล้วค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ มั่นคง โดยที่ว่าไม่สามารถจะไปขวนขวายทำอะไรได้ ที่จะเปลี่ยนสภาพธรรมไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะรู้ความจริงได้เมื่อใด เมื่อกำลังปรากฏ ถ้ายังไม่เกิด ไม่ปรากฏรู้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่มีอัธยาศัย ชอบสิ่งที่สวยงาม ก็เป็นเครื่องเตือนว่าเราเห็นสิ่งที่ปรากฏ และก็เห็นความงามความน่าพอใจของสีสันที่ปรากฏมานานเท่าใด จนกระทั่งเห็นอีก ความพอใจนั้นก็เกิดขึ้นอีก แต่ในสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะว่าสิ่งที่เราพอใจ ดับแล้ว เห็นใหม่ พอใจในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และก็จำไว้ด้วย แสวงหา แล้วลืมไหม สิ่งที่เราชอบมากๆ เราไปซื้อมาเดี๋ยวนี้อยู่ไหน ใครนึกออก ถ้าเป็นแหวนเพชร หรือว่าแหวนทับทิม เพชรสีชมพู เพชรอะไรก็ตามแต่ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน พอใจในขณะที่กำลังเห็นแน่นอนที่สุด มาก แล้วก็พอไม่เห็นจำได้ ความพอใจจะเท่ากับที่กำลังเห็นไหม ไม่เท่า เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่ง เป็นความจริงแต่ว่าลวงให้เห็นว่า แม้สิ่งนั้นดับไปแล้วก็ยังจำว่ามี ถ้าประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้ ก็สามารถที่จะละเหตุของความทุกข์ คือความติดข้องว่ามีเรา เพราะเหตุว่าสิ่งที่ทุกคนรักที่สุด คิด ใคร
ผู้ฟัง ตัวเราเอง
ท่านอาจารย์ ตัวเอง บางคนอาจจะบอกว่ารักลูก ถ้าไม่มีเรา ลูกนั้นของเราหรือเปล่า เด็กคนนั้นของเราหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ใช่ไหม แต่ทำไมรักลูก ลูกนี้ไม่ใช่ลูกอื่นๆ เด็กเยอะแยะใช่ไหม แต่ลูกนี้เพราะเหตุว่ามีเรา และนั่นคือของเรา เพราะฉะนั้นสาเหตุทั้งหมดก็มาจากความเป็นเรา และมีเรา ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าเราไม่มี กว่าจะรู้อย่างนี้ยากแค่ไหน เพราะว่าเพียงแค่คำเดียว ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้จริงไหม จริง หลับตา ไปไหนหมด ไม่เหลือเลย เห็นไหม รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่มีที่ปรากฏ เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นคน เป็นเก้าอี้ เพียงแค่หลับตา อยู่ไหน สีดำๆ ขาวๆ รูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ หายไปไหนหมด จริงไหม จริง นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะเห็นเป็นหนึ่งขณะ ถ้าไม่เห็นเมื่อใด สิ่งที่ปรากฏไม่มีเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นเพียงแค่หลับตาก็ไม่มีแล้ว และความจริงยิ่งกว่านั้นก็คือว่า จะหลับหรือไม่หลับ สิ่งนั้นก็เกิด และดับ เพราะฉะนั้นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระคุณที่ว่าธรรมดาแท้ๆ เลยทุกสิ่งทุกอย่างที่ใครไม่สามารถจะรู้ได้ ลวงให้หลงอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่รู้ พอเป็นความรู้ ความรู้นั้นจะค่อยๆ ละเอียดขึ้นชัดเจนขึ้นว่า เห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา คิดเป็นคิดไม่ใช่เห็น แต่เวลามีเห็นมีคิดรวมๆ กันทุกวัน ก็เป็นเราไปหมดทั้งวันด้วยความไม่รู้ แต่ความจริงก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นทุกคำสำหรับไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจขึ้น แล้วก็ระลึกถึงที่จะรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งเช่นพระโพธิสัตว์ ก็จะได้รู้ความจริงอย่างผู้ที่ได้เป็นพระอริยบุคคลโดยฐานะต่างกัน แต่โดยฐานะของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องยากกว่าใครทั้งหมดเลย เพราะว่าไม่มีบุคคลใดเปรียบได้ รองลงมาก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ในกาลสมัยซึ่งไม่มีใครสนใจฟังธรรม ไม่มีใครศึกษาธรรม ไม่มีใครพิจารณาความละเอียดของธรรม คิดง่ายๆ สำนักปฏิบัติบ้าง หรืออะไรบ้างทั้งหมดแล้วรู้อะไร คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นหรือ ไม่มีใครสักคนเลยที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระองค์ตรัสว่าไปสำนักปฏิบัติ แล้วปฏิบัติไม่มีในพระไตรปิฎก เพราะว่าปฏิปัตติ ต้องเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา คือลืมแต่ละคำที่ได้ฟังไม่ได้เลย ตั้งต้นแต่ธรรมเป็นธรรม ต้องมั่นคงไม่ว่าอะไรทั้งนั้น โกรธก็เป็นธรรม ดีใจก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม ไม่ว่าอะไรจริงทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีไม่มีคำว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำที่ชาวเมืองเขาใช้กันคือ ธรรม เพราะฉะนั้นเขาเข้าใจได้ พอกล่าวถึงธรรมก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมคือความจริงของสิ่งที่มีจริง
ด้วยเหตุนี้ทุกคำที่ได้ยินน่าสนใจที่สุดเพราะอะไร พูดถึงสิ่งที่มีจริงไม่ได้ลวงใครเลย ไม่ได้ไปทำให้ใครทำอะไร แต่สิ่งที่มีแล้วนี่ต่างหากไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ พระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่ปรากฏถึงที่สุดว่า เพียงสิ่งที่ปรากฏกระทบเป็นสีสันวรรณะต่างๆ นั่นหรือคนนั้นคนนี้คนโน้น แสดงว่าความไม่รู้ และความลวงมากมายมหาศาลระดับไหน เพราะฉะนั้นพระปัญญาคุณของพระองค์กว่าจะทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ก็ต้องมาก และคนฟังเองก็ต้องรู้ความจริงว่า เปลี่ยนความจริงไม่ได้ เพราะเพียงหลับตาไม่มี เพราะฉะนั้นทุกคำต้องเป็นประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ารัตนะใดๆ ฟัง และก็ไตร่ตรอง และเข้าใจได้ แต่ความจริงนี้พิสูจน์ได้ทุกคำ เกิดขึ้นจริงๆ ดับไปจริงๆ มิฉะนั้นยังคงเป็นเรา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020