ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๐๔

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.ลำพูน

    วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา แล้วจะไม่ยึดถือว่าเป็นเราก็ต่อเมื่อไม่ใช่ความหลงเข้าใจอย่างเดิม แต่ต้องเป็นการที่ฟังแล้วเข้าใจทีละคำ ขณะที่เข้าใจอนัตตาจริงหรือเปล่า อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวนี้เป็นธรรมจริงไหม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ และผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ทรงตรัสรู้ว่าเกิดแล้วดับ ทั้งหมดเลยไม่เหลือเลย พิสูจน์ได้ เพราะว่าผู้ที่ตรัสรู้ อภิสมัย รู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนในสังสารวัฏ มีมากมายเป็นพระสาวกที่ได้รู้ความจริงเพราะการบำเพ็ญเพียร ด้วยคุณความดีบารมีทั้งหลาย จนถึงการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงต่างกันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวก

    ผู้ฟัง ก็จะต้องฟังจากท่านอาจารย์เรื่อยๆ ผมฟังทุกวัน สะสมทีละนิดทีละนิด

    ท่านอาจารย์ ประโยชน์ของการฟัง คือเข้าใจ ไม่มีเรา

    ผู้ฟัง ปัญญาก็ไม่ได้ทำหน้าที่

    ท่านอาจารย์ ปัญญามีเท่าใด

    ผู้ฟัง ก็ไม่ถึงปฏิปัตติสักที

    ท่านอาจารย์ ยัง ยังไม่ต้องไปหวัง ไม่หวังดีกว่า

    ผู้ฟัง ไม่ต้องหวัง ฟังไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ พระธรรมทั้งหมดทุกคำเป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความติดข้อง ตราบใดที่หวังแปลว่า ยังไม่เข้าใจความเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามว่า ความรู้ให้เห็นความว่าง ความไม่มีตัวตน ต้องรู้รายละเอียดลงไปในเจตสิก เพราะว่าโลภโกรธหลงต่างๆ ที่ในชีวิตก็คือเจตสิก ปัญญาอะไรต่างๆ ก็คือเจตสิกทั้งหมด เราสรุปรวบรัดอะไรมากระทบ เราพิจารณาเพียงแค่นี้จะพอกับความหลุดพ้นได้ไหม

    ท่านอาจารย์ หลุดหรือยัง พ้นหรือยัง

    ผู้ฟัง ไม่พ้น

    ท่านอาจารย์ ก็แปลว่าไม่พอ

    ผู้ฟัง ไม่พอ ก็ต้องเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ หวังว่าจะหลุดพ้นไหม

    ผู้ฟัง หวัง

    ท่านอาจารย์ นั่นยิ่งห่าง ยิ่งไกล หวังเมื่อใด ไกลออกไปอีกเยอะมาก เพราะว่าเป็นตัวเราที่ต้องการ มองไม่เห็นเลยตัวนี้ เพราะฉะนั้นยากที่จะเห็นโลภะ โลภะในสิ่งที่เรายังไม่ได้ฟังธรรมมากมายมหาศาล แต่พอฟังธรรมแล้ว เริ่มเห็นว่าติดข้องมากมาย แล้วก็คิดที่จะค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายโลภะ เป็นธรรมดาของผู้ที่มีปัญญารู้ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ แต่ถ้าหวังถึงกับจะดับกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าขั้นฟัง ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับแต่ไม่ประจักษ์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจุดประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด เช่น อภิธรรม แสดงจิตหนึ่งขณะว่าจิตนั้นเกิดเป็นชาติอะไร คือเป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล ซึ่งเป็นเหตุ หรือว่าเป็นวิปากหรือวิบากซึ่งเป็นผลของกรรม คือกุศลกรรม อกุศลกรรม ฟังเพื่ออะไร ไม่ใช่ให้เราไปทำ ไม่ใช่เพื่อให้เราไปแยก แต่ให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าไม่มีเหตุสมควรที่สติจะเกิด ไปพยายามให้สติเกิดได้ไหม นี่ผิด ลืมแล้วใช่ไหม เพราะความอยากมีมาก พอได้ยินก็อยากจะไปพยายามทำให้สติเกิด ให้รู้เห็น ให้รู้ได้ยิน ให้รู้สภาพนามธรรม ให้รู้สภาพรูปธรรม ทั้งหมดไม่ถูกต้อง เพราะว่าเป็นเรื่องติดข้อง ไม่ไช่เรื่องละ แต่ถ้าเรื่องละก็คือว่าความเข้าใจเกิดขึ้นทำกิจ ละความไม่รู้ และความติดข้อง

    เพราะฉะนั้นจะได้มากน้อยเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับเข้าใจมากน้อยเท่าใด แต่ไม่ใช่ว่าเข้าใจนิดเดียว แล้วไปพยายามหวังที่จะให้สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรม และถ้าเป็นความจริงของสภาพธรรม ต้องเป็นเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นปกติ ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ โดยไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราหวัง ไม่ใช่เราพยายาม แต่ปัญญาสามารถเข้าถึงความไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง ถ้าฟังจนกระทั่งจรดกระดูก แบบที่ท่านอาจารย์พูดถึง

    ท่านอาจารย์ คือไม่หวัง และไม่พยายาม

    ผู้ฟัง ถ้าไปถึงจุดนั้น จะเห็นความเกิดดับของจิตได้ทันไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทัน

    ผู้ฟัง แล้วเราก็จะหลุดพ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนประจักษ์แจ้ง แต่ไม่ใช่ให้ไปทัน ไม่ใช่ให้พยายามไปทัน เพราะส่วนมากพอรู้ว่าจิตเกิดดับเร็วมาก ก็รู้ไม่ทัน เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่ให้ไปทันอะไรเลย แต่ให้ค่อยๆ คลายการที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะว่าเพียงพระสูตรไม่พอ พระวินัยไม่พอ พระอภิธรรม ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ที่จะเข้าใจถูกต้อง คือเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงขณะนี้ โดยการฟังว่าธรรมขณะนี้ไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่เรา สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ต้องเป็นสิ่งซึ่งตรงตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดดับเร็วมาก ขณะนี้เห็น หลับตาหายไปไหนหมด ทุกอย่างหายไปเร็วมากไม่เหลือเลย ไม่ใช่ค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน แต่แค่เพียงหลับตาก็หายไปหมดเลย พอลืมตาก็ทำไมเยอะแยะทันทีได้ นี่แสดงถึงการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของจิต ซึ่งไม่ต้องไปพยายามจะรู้ แต่เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะขณะที่กำลังพยายามที่จะรู้ เป็นเราที่พยายาม ต้องรู้ละเอียดมาก และต้องรู้ว่าโลภะไม่ใช่ปัญญา โลภะอยากรู้ แต่ปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถจะเข้าใจโลภะได้ แต่โลภะไม่เข้าใจปัญญา จึงอยากได้

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นพระอริยะแล้ว จิตจะตามจิตนั้นทันไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องทันหรืออยากทัน แต่มีความเข้าใจถูก อะไรรู้การเกิดดับไม่ใช่เรา แต่ปัญญาต่างหากที่ละความเป็นเรา และค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อเข้าใจก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเราตามระดับขั้น จากวิปัสสนาญาณที่ ๑ ยังไม่ได้ดับกิเลส แต่ว่าเห็นสภาพธรรมต่างจากปริยัติ เพราะว่าขณะนี้พูดได้ว่าเห็นเกิด และเห็นดับ เห็นไม่ใช่เราก็พูดได้ เห็นเป็นธาตุรู้ก็พูดได้ สิ่งที่ปรากฏมีจริงเป็นสิ่งเดียวในบรรดาสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเห็นได้ด้วยตา ไม่เห็นจิตด้วยตา ไม่เห็นเจตสิกด้วยตา ไม่เห็นรสด้วยตา ไม่ได้เห็นกลิ่นด้วยตา ไม่ได้เลย แต่ว่ามีธรรมอย่างเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้เดี๋ยวนี้ทางตา คือสิ่งที่กำลังปรากฏ นอกจากนั้นแล้วทั้งหมด ทั้งจิต และเจตสิก และรูปอื่นๆ ไม่ปรากฏให้เห็นได้ จึงหลับตาแล้วไม่ปรากฏ เริ่มเข้าใจ ไม่ใช่ไปเพียรพยายามจะให้เกิดดับ เริ่มเข้าใจว่าเราหลงเข้าใจว่ามีคนจริงๆ เมื่อลืมตาเห็น แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏ ทำไมแค่ลืมตามีหมดเลยทุกอย่าง ทำไมจะเป็นทุกอย่างทันทีได้ ต้องทีละหนึ่งจิต ซึ่งเกิดขึ้น และก็รู้ทีละหนึ่งรูป จนกว่าจะรวมกันแล้วเป็นสิ่งหนึ่ง แต่คนตั้งเยอะ อะไรตั้งหลายอย่าง แสดงถึงความรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ของจิตซึ่งเกิดดับ เข้าใจอย่างนี้ เพื่อละการที่จะไปพยายามรู้การเกิดดับ แต่ค่อยๆ คลายว่าขณะนี้ไม่ต้องกังวลเลย แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ การฟังธรรมยังไม่พอที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ คนไทยเรียกว่าปฏิบัติ มาจากคำภาษาบาลีว่า ปฏิปัตติ ปฏิ แปลว่า เฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง เดี๋ยวนี้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งกำลังเกิดดับ ปัญญาที่ได้อบรมแล้วเป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจอย่างนี้มากขึ้น ไม่ได้หวังอะไรเลย เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดพร้อมกับปัญญา รู้สิ่งซึ่งไม่ได้เคยคาดหวังมาเลย เพราะยังไม่เคยเกิดขึ้น ใครจะไปคาดหวังจะรู้อะไร เป็นไปไม่ได้เพราะสิ่งนั้นยังไม่เกิด จะรู้สิ่งนั้นคืออะไร เสียงหรือ อาจจะไปรู้กลิ่นก็ได้ แล้วแต่ความพร้อมของปัญญาที่ได้สะสมมา ที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นหนทางนี้เป็นหนทางของอนัตตา เพื่อละความเป็นตัวตนโดยตลอด ถ้ามีความตั้งใจมีความพยายามที่จะทำเมื่อใดก็คือผิด เพราะเหตุว่าเป็นเราทั้งหมดที่ต้องการ แต่ถ้าเป็นการละคลาย สติสัมปชัญญะจะเกิดเมื่อใด ไม่ใช่ไปนั่งจ้องลมหายใจ ไม่ใช่ไปนั่งจ้องรูปนั่งท่านั่ง ไม่ใช่ไปนั่งจ้องพองยุบหรืออะไร เพราะว่าไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจที่จะรู้ว่าสติเป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตา ถ้าสติจะเกิดเกิดโดยความเข้าใจที่มีพอที่จะเป็นปัจจัยให้สติขณะนั้นเกิดขึ้น รู้อะไร แล้วแต่สติ บังคับบัญชาไม่ได้ ความมั่นคงในความเป็นอนัตตา จึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มั่นคงขึ้นว่าไม่มีเรา

    ผู้ฟัง แสดงว่าเราทุกคนที่ฟังธรรม ก็เพื่อให้เกิดปัญญา

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคือความเข้าใจ ถ้าใช้ภาษาไทยธรรมดา เพราะทุกคนจะเข้าใจในภาษาของตน ถ้าเราพูดภาษาอื่น พูดภาษาจีน พูดภาษาญี่ปุ่น ถึงจะกล่าวเรื่องธรรม ก็ไม่เหมือนกับเราเข้าใจในภาษาไทยภาษาของเราเอง ด้วยเหตุนี้ทุกคำแปลกลับเป็นภาษามคธีได้ ถ้าที่นั่นเป็นชาวมคธในสมัยพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ใช้ภาษาอะไรก็ได้ เพื่อให้เข้าใจธรรมที่มี เพราะธรรมมีจริงๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วแต่จะใช้ภาษาอะไร ไม่ใช้เลยก็ได้ ไม่ต้องพูดว่าเห็นก็เห็น เปลี่ยนคำว่าเห็นให้เป็นคำอื่นในภาษาอื่น เห็นก็ยังคงเป็นเห็น เปลี่ยนเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นมั่นใจว่า ต้องเป็นหนทางที่ไม่ใช่เราทำ ไม่ใช่เราพยายาม ไม่ใช่เราคิด ไม่ใช่เราทั้งหมดเลย ทุกอย่างไม่ใช่เรา จึงจะค่อยๆ เห็นว่า คิดก็ไม่ใช่เรา บังคับไม่ให้คิดได้หรือ คิดแล้ว แล้วไม่ได้คิดอย่างอื่น คิดอย่างที่คิด มีปัจจัยคิดอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความเป็นปัจจัย ความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ต้องรู้ก่อนว่าเป็นธรรม และก็มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า ธรรมนั้นเกิดเพราะปัจจัย ค่อยๆ ละความเป็นเราจะทำ

    ผู้ฟัง แสดงว่าเรื่องของจิต จิตนี่เร็ว เราแค่ได้ตามรู้ เพราะทุกอย่างทุกครั้งเวลาอะไรกระทบขึ้นมา เราทุกข์ เราจะเห็นทีหลัง หลังจากที่จิตดับไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราเห็น เราคิดตาม

    ผู้ฟัง คิดตาม

    ท่านอาจารย์ แม้แต่เดี๋ยวนี้ ที่พูดว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็แค่พูด

    ผู้ฟัง ก็แค่เรา แค่ต้องไปตามรู้ ถ้ามีปัญญา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราตามรู้ เราทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีเรา แต่ธรรมทำหน้าที่ของธรรม จิตทำหน้าที่ของจิต สติทำหน้าที่ของสติ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่ปัญญาไปทำหน้าที่สติ ไม่ใช่สติไปทำหน้าที่ของจิต แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยจึงเกิด เราไม่จุดไม้ขีดยังไม่มีไฟ แต่ถ้ามีปัจจัยจุดไม้ขีด เกิดไฟ

    เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่าขณะนี้สภาพธรรมใดปรากฏ เพราะมีปัจจัยที่สภาพธรรมนั้นเกิด ไม่มีใครไปทำ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เลิกคิดที่จะทำ จะพยายาม แสดงว่าขณะนั้นเรายังยึดถือว่าเป็นเรามั่นคง ไม่ได้เข้าใจเลยว่าสติมีหลายระดับ สติขั้นทาน สติขั้นศีล สติขั้นความสงบสมถะ สติขั้นอบรมปัญญา ไม่ใช่ว่าไปทำปัญญา แต่ว่ามีปัญญาจากการฟังไตร่ตรองเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่มีการฟังเลยจะมีการเข้าใจได้ไหม ถ้ามีการฟังน้อยจะเข้าใจมากได้ไหม เพราะฉะนั้นมีใครจะไปทำอะไรได้ ถ้าทำก็คือไม่รู้ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง อย่างเวลาโกรธ ในความรู้สึกจะเห็นความโกรธ แล้วเห็นดับลงไป อย่างนี้คือ

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ที่เป็น เดี๋ยวนี้จิตเห็นเกิดขึ้นเท่าใด กว่าจะเป็นดอกไม้สักดอกหนึ่ง กว่าจะเป็นคนสักคนหนึ่ง แต่เวลานี้มีเยอะหมดเลย แสดงว่าเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นใครจะไปเป็นเราที่จะรู้ เพียงแค่คิด

    ผู้ฟัง แล้วที่เห็นว่ามันดับ ดับแล้วก็วาง

    ท่านอาจารย์ ปัญญา ปัญญาไม่ใช่เรา แล้วปัญญาต่างขั้นด้วย ปัญญาขั้นฟังอย่างนี้ไม่มีทางที่จะเห็นการเกิดดับ ปัญญาที่เกิดพร้อมสติสัมปชัญญะ กำลังรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก ทางลิ้นหรือทางกายก็ได้ เกิดเพราะความเข้าใจ ถ้าไม่เคยเข้าใจมาเลย จะมีปัจจัยให้เกิดสติที่รู้เฉพาะตรงที่เราเข้าใจจากการฟังว่าเป็นลักษณะนั้น แข็งเป็นแข็ง แข็งไม่ได้เป็นเรา เดี๋ยวนี้แข็งปรากฏไหม เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ปรากฏเองใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เราไม่ได้ไปทำ

    ผู้ฟัง ไม่ได้ทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสติไม่ได้เกิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่างกันของการรู้แข็งที่สติไม่ได้เกิด อย่าไปคิดว่ารู้แข็งตรงนั้นคือสติเกิด นั่นไม่ใช่ปัญญา เพราะว่าถามใคร ใครก็รู้ว่าแข็งทั้งนั้นเลย เด็ก ผู้ใหญ่ ใครทั้งหมดก็รู้ว่าแข็ง แต่ไม่รู้ว่าแข็งไม่ใช่เรา ไม่รู้ว่าแข็งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าพอกระทบแข็ง ก็ประจักษ์การเกิดดับ นั่นต้องเป็นปัญญาระดับไหน

    ผู้ฟัง แต่ละคนจะเข้าใจได้ในระดับที่ต่างๆ กัน อย่างบางคน เวลาถูกกระตุ้นให้มีความโกรธขึ้นมา บางคนวางเร็ว บางคนวางช้า

    ท่านอาจารย์ เขาวาง

    ผู้ฟัง คือใจ ใจมันจะวาง

    ท่านอาจารย์ ใจวางไม่ได้

    ผู้ฟัง คือปัญญาเกิด

    ท่านอาจารย์ ปัญญาขั้นไหน ปัญญามีตั้งแต่ขั้นต้น ปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิปัตติถึงเฉพาะลักษณะด้วยความเข้าใจไม่ได้ จากปฏิปัตติก็ถึงปฏิเวธ เพียงแค่ระลึกบ้าง ไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ ต้องละความไม่รู้ และความเป็นเรา ละกิเลส ละที่ไหน

    ผู้ฟัง ที่จิต

    ท่านอาจารย์ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจิตเศร้าหมองมานานเท่าใดแล้ว เต็มไปด้วยกิเลสมากมายนานเท่าใดแล้ว และเพียงแค่ฟังอย่างนี้หรือจะเห็นการเกิดดับของจิต ถ้าเป็นเราเห็นก็คือว่าไม่ใช่ ไม่ได้ละความไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น อยากรู้ไหม อยากที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะเกิดดับไหม

    ผู้ฟัง อยาก ก็มีตัว

    ท่านอาจารย์ นั่นคือฟังธรรมด้วยโลภะ เพราะฉะนั้นการตั้งต้นสำคัญที่สุด ที่ฟังธรรมเพราะรู้ว่าไม่รู้ ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร สิ่งที่มีอย่างนี้เป็นอะไร แต่ทั้งหมดอยู่ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้จึงฟัง เพื่อจะได้รู้ว่า พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ความจริงเป็นประโยชน์กับเราแค่ไหน ถ้าไม่ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ไม่มีใครจะได้ยินคำเหล่านี้เลย โลกมืดต่อไป ไม่มีใครสามารถที่จะคิดเรื่องต่างๆ เหล่านี้ และก็ออกมาเป็นคำๆ ที่ตรงตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะตรัสรู้อย่างนั้นได้ ทรงบำเพ็ญบารมีมาหรือเปล่า แล้วเราแค่ฟัง บารมีไหน นานเท่าใด

    ผู้ฟัง แต่ผมฟังของท่านอาจารย์ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง คือตรงที่เรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทุกวัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอะไรทำให้เปลี่ยน

    ผู้ฟัง การที่ว่าได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง ไม่ต้องห่วงเลย เพราะปัญญารู้ว่า ถ้าอกุศลเกิดขณะนั้นก็พอกพูนความไม่รู้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความโลภ การแข่งดี มายาหรืออะไรก็ตามแต่ เพราะฉะนั้นเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็ระลึกได้ และก็เป็นกุศล สิ่งที่ไม่เคยทำก็ทำ เพราะกุศลจิตเกิด สามารถที่จะช่วยเหลือ อนุเคราะห์ สงเคราะห์ หรือพูดหรือทำอะไรก็ได้ ในทางกุศลเพิ่มขึ้นเพราะปัญญา แต่ไม่ใช่เพราะเราต้องการที่จะขัดเกลากิเลส เราจะทำอย่างนี้เพื่อจะให้เราดีขึ้น หรือเรามีปัญญาขึ้น ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ ก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำแรกต้องตรงกับคำสุดท้าย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาเปลี่ยนไม่ได้เลย จนกว่าความเข้าใจ ซึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่รู้ และเข้าใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ โดยการคิด ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ผมเคยได้ยินคำที่ว่าสติมา ปัญญาเกิด

    ท่านอาจารย์ สติกับปัญญาเกิดพร้อมกันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิกทั้งสองก็น่าจะเกิดพร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ น่าจะไม่ได้ น่าจะคือคิดเอง ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า สติกับปัญญาเกิดพร้อมกันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง พร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ สติ โดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยได้ไหม สติเกิดโดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อปัญญาเกิด สติไม่เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องสามารถที่จะรู้ลักษณะของสติ ไม่ใช่ไปตามรู้เหมือนกับเราตาม พยายามตามที่จะรู้ แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นการระลึกเป็นไปในทางกุศล ลองคิดดู มีของเยอะแยะไม่ให้ใครเลย เก็บไว้อย่างนั้นเอง ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี พอสติเกิดจะเก็บไว้ทำไม ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ขณะนั้นไม่ใช่เรา สำคัญที่ว่าแม้การให้ก็ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา ทั้งหมดคือจิต และเจตสิก ที่ทรงแสดงโดยละเอียด ก็เพื่อให้เห็นว่าไม่มีเราสักขณะเดียว นั่นคือสติที่เป็นไปในทาน สติที่เป็นไปในศีลก็มีใช่ไหม ที่เป็นกุศลศีล สติที่เป็นไปในการฟังธรรมเข้าใจในความเป็นอนัตตา ก็เป็นสติขั้นปริยัติ หรือจินตาญาณที่สำเร็จจากสุตมย คือการฟัง ด้วยเหตุนี้ปัญญามีมากทุกระดับ ไม่ใช่ว่าเราจะไปทำ เราจะไปรู้แล้วขณะนี้สามารถเห็นจิตเกิดดับ เจตสิกเกิดดับไม่ใช่เลย เพราะนั่นเป็นเรา แต่ถ้าเป็นธรรมจะเกิดโดยความเป็นอนัตตา และปรากฏในลักษณะที่ไม่ใช่เรา ขณะเห็นธาตุรู้ปรากฏหรือยัง

    ผู้ฟัง จิตเห็นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา คือเห็น เห็นเป็นจิตหรือเจตสิก

    ผู้ฟัง เห็นเป็นจิต

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นมีปัญญาไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ใช่ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด เพราะเข้าใจจากปริยัติ ต้องมีความเข้าใจจากการฟัง รอบรู้ แทงตลอด มั่นคงเป็นสัจจญาณ จึงสามารถจะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด คิดดู ความห่างไกลของสติขั้นฟัง กับ สติสัมปชัญญะซึ่งเกิด เพราะมีเหตุพร้อมที่จะเกิด เพราะมีความเข้าใจพอที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนี้สภาพธรรมก็เกิดแต่เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต่างกับขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิดไม่ใช่เรา เพราะสติเป็นสภาพที่ระลึกรู้ในสภาพนั้นที่ไม่ใช่เรา สภาพที่ไม่ใช่เราต้องปรากฏ ถึงได้ถามว่าเดี๋ยวนี้มีแข็งไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เกิดดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ รู้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้ารู้แล้ว ผิดเลยใช่ไหม เพียงแค่ฟัง ฟังว่าเกิดดับ แต่ไม่ใช่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะกว่าจะประจักษ์การเกิดดับ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณ ต้องมีวิปัสสนาญาณแรก ญาณแรก "นามรูปปริเฉทญาณ" ไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ และอยู่ดีๆ บอกว่าเห็นขณะนี้เกิดดับได้อย่างไร

    ผู้ฟัง แล้ววิปัสสนาญาณจะเกิดในขั้นตอนไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังเข้าใจว่าเป็นธรรม วิปัสสนาญาณจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทีนี้ฟัง ทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม เพื่อละกิเลส พระวินัยแสดงความละเอียดของกิเลส ซึ่งถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้ พระวินัยส่องให้รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล พูดดังๆ เคยไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ รบกวนคนอื่นไหม

    ผู้ฟัง รบกวน

    ท่านอาจารย์ แต่ก็พูดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ทำได้ใช่ไหม เป็นอกุศลศีล เพราะศีล ศีลหมายความถึงปกติของธรรม เพราะฉะนั้นปกติของจิตเจตสิกซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นกุศลเมื่อใดก็เป็นกุศลศีล เป็นอกุศลเมื่อใดก็เป็นอกุศลศีล ไม่ใช่เรา ทำไมต้องพูดอย่างนี้ไม่ใช่เรา ทั้งหมดของทุกคำ ต้องส่องไปถึงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่จะให้เข้าใจชัดขึ้น ละเอียดขึ้น ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เดี๋ยวนี้ใครก็รู้ว่าแข็งมี แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่าเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏเมื่อกระทบ ถ้าไม่กระทบไม่มีทางที่แข็งจะปรากฏ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    10 ก.พ. 2568