ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๘๓

    สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งเลยว่า เห็นขณะนี้ที่กำลังเห็นจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป หรือแม้แต่ขณะที่ได้ยิน ได้ยินต้องได้ยินในความมืดสนิทใช่ไหม เพราะไม่มีเห็น ลองไม่มีเห็น จะมืดสนิทไหม ก็ต้องมืดสนิท เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ขณะกำลังเสียงปรากฏเพราะได้ยิน ขณะนั้นอยู่ในความมืดสนิท ไม่มีเห็น จริงใช่ไหม ประจักษ์แจ้งได้เมื่อเป็นความจริง เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมให้ปัญญาค่อยๆ เข้าใจ จนละความเป็นตัวตน สิ่งที่ปิดบังขณะนี้ก็ค่อยๆ น้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะถึงเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง "ปฏิปัตติ" ถึงเฉพาะเห็น ขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่น ถึงเฉพาะได้ยินขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่น ขณะนี้มีแข็งปรากฏไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี ไม่เคยสนใจใช่ไหม จึงไม่รู้ว่าแข็งเกิดดับ ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ทั้งหมดผู้ที่สะสมความเห็นถูกรู้ว่าประโยชน์มหาศาล และมีโอกาสที่จะได้เข้าใจมากกว่านี้ นี่เพียงขั้นต้นซึ่งใช้คำว่าปริยัติ หมายความว่าฟังพระพุทธพจน์ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนนี้จะรู้แล้ว คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนั้นพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจทันที ขณะที่กำลังได้ยินต้องไม่มีเห็น ต้องอยู่ในความมืด และขณะนั้นฟังว่าเห็นเกิดดับ ได้ยินเกิดดับ แต่เดี๋ยวนี้ทั้งเห็นทั้งได้ยิน ไม่ได้แสดงอาการเกิดดับเลย หมายความว่าปัญญาขั้นฟังยังไม่ถึงเฉพาะที่จะรู้ความจริงขั้นนี้ เพียงแค่ฟัง แล้วไตร่ตรอง รอบรู้มั่นคงเมื่อใดเป็นปริยัติเมื่อนั้น ใครจะบอกว่าขณะนี้ไม่ใช่ธรรม เขาไม่รู้ ใครจะบอกว่าขณะนี้ไม่ใช่อภิธรรม เขาก็ไม่รู้อีก แต่ถ้ามีใครรู้ว่า เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงๆ ใช้คำพูดในภาษาอื่นก็คือว่าธรรม แต่ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นจะใช้ภาษาไหนก็ได้ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส พูดกันให้เข้าใจในภาษาของตนของตน แต่สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็น ว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ถึงไม่พูดไม่ใช้คำอะไรเลย สิ่งนั้นก็จริง แต่จำเป็นต้องใช้คำ เพื่อส่องถึงความหมายลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่มี ให้เข้าใจถูกว่าเป็นสิ่งนั้น เมื่อเป็นสิ่งนั้นแล้ว เป็นเราไม่ได้ ต้องเป็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นโกรธเป็นเราไม่ได้ โกรธมีปัจจัยเกิดดับแล้ว เป็นเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าฟังอย่างนี้มั่นคงขึ้น สามารถที่จะค่อยๆ รู้ถึงเฉพาะสิ่งเดียวทีละหนึ่ง อย่างเมื่อสักครู่ถามว่าแข็งไหม ขณะนั้นมีทั้งเห็น มีทั้งได้ยิน มีทั้งคิด ไม่ได้คิดถึงแข็งว่า แท้ที่จริงมีแข็ง ใช่ไหม แต่ว่าไม่สนใจในแข็ง จึงไม่รู้ว่าแข็งเกิดแล้วดับ และขณะนี้ที่กำลังฟังมีเห็น แต่ไม่ได้สนใจเฉพาะที่เห็นที่เกิดแล้วดับ จึงไม่รู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ฟังเท่านี้ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาคุณ ทำให้พระองค์บริสุทธิ์จากความไม่รู้ หมดสิ้นกิเลสแล้วไม่มีพระมหากรุณาที่จะแสดงพระธรรม เราจะไม่ได้ยินแม้แต่คำว่าธรรม

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ไม่ใช่ว่าใครพูดก็ตามไป ชาวโลกขณะนี้คิดว่าพุทธศาสนาคือสมาธิ และสำนักปฏิบัติ นี่คือการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นพระศาสนาก็จะอันตรธาน หมายความว่าหมดสิ้นไป แต่ว่าจะหมดสิ้นเมื่อใด เมื่อไม่มีใครเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคน แต่ขณะนี้คนที่เข้าใจคำสอน และฟัง และเห็นประโยชน์ของการเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่กล่าวว่าอุปมาเหมือนกับปลายเข็มที่จรดลงที่พื้นโลก จริงไหม ใครจะฟังธรรม หรือว่าใครจะไปสำนักปฏิบัติ ไปสำนักปฏิบัติกันทั่วโลก มีสำนักปฏิบัติกันทั่วโลก นุ่งขาวห่มขาวกันทั่วโลก แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เป็นอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรม เท่านี้ยังไม่พอ ทรงแสดงโดยความเป็นธาตุ ธา-ตุ ธ ธงสระอา ต เต่าสระอุ หมายความว่า เมื่อเป็นธาตุแล้ว ใครจะไปทำอะไรได้ ร้อนเป็นธาตุชนิดหนึ่ง แข็งเป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครจะไปทำอะไรได้เลย

    เพราะฉะนั้นธรรมก็คือ ธาตุทั้งหมดแต่ละหนึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อจะได้ถึงการค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ เกิดมากี่ชาติ แต่ละคนอัธยาศัยต่างกันตามการสะสม ถ้าชาตินี้มีความเมตตา มีความกรุณา มีการช่วยเหลือคนอื่นบ่อยๆ ต่อไปเกิดชาติไหน ก็จะสะสมการที่เคยเมตตากรุณาช่วยเหลือคนอื่นเป็นอุปนิสัย เพราะเหตุว่าคุ้นเคยที่ได้สะสมมา การฟังธรรมแล้วเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยก็จะเป็นอุปนิสัย ทำให้เห็นประโยชน์ รู้ว่ามีธรรมที่ไหน ก็รู้ว่าเป็นประโยชน์ จะฟัง สละเวลา เพราะเหตุว่าการฟังธรรมไม่ได้ทำให้เกิดโทษใดๆ เลยทั้งสิ้น จะฟังเพลงเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นไหม ฟังเพลงเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เก่งมากที่ตอบว่า เป็น ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่ใช่ปริยัติ แม้การฟังก็ไม่มั่นคง ไม่รอบรู้ ไม่แทงตลอด เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงปฏิปัตติ คือสามารถรู้เฉพาะลักษณะของธรรมเพียงหนึ่ง เดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ ขณะนั้นไม่ใช่มีใครไปทำ แต่ความเข้าใจถูก ค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ ที่ใช้คำว่าปรุงแต่ง ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนการสะสมความดีก็ดีขึ้น สะสมความชั่วก็เลวลง สะสมปัญญาก็เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงปฏิปัตติ เพราะเข้าใจธรรม เป็นสัจจญาณที่มั่นคง

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่จะมีสำนักปฏิบัติ แล้วก็ไปปฏิบัติ แล้วก็จะไปรู้ความจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่สอนอย่างนั้นไม่รู้จักพระพุทธศาสนา จะกล่าวว่าเป็นผู้ฟังเป็นสาวกไม่ได้ เพราะไม่ได้พูดคำจริงตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือใคร่ที่จะสนทนาเพื่อที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นคนที่ตรงเพิ่มขึ้น ถูกคือถูก ผิดคือผิด เราถูกหรือเปล่า ไม่ใช่ เก่งมาก เป็นธรรม ถูกก็เป็นธรรม ผิดก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นฝ่ายดีก็มี ที่เป็นฝ่ายไม่ดีก็มี ใช้คำว่า "ทิฏฐิ" คือความเห็น สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังเป็นจริง ถ้าไม่เป็นอย่างนี้คือมิจฉาทิฎฐิ เข้าใจผิดไม่ใช่เราก็เข้าใจว่าเป็นเรา ผิดไหม เป็นธรรมแต่เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นความเห็นผิดมี เป็นอกุศลธรรม

    อ.อรรถณพ ในปัจจุบันนี้ มีภัยของโลกมาก ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือว่าภัยอันเกิดจากการเบียดเบียนกัน ประทุษร้ายกันในสังคมมากมาย ก็เลยมาโยงว่า จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ต้านภัยโลก

    ท่านอาจารย์ คนที่พูดอย่างนี้ไม่รู้จักภัยที่ร้ายแรงยิ่งกว่าน้ำท่วม ยิ่งกว่าไฟไหม้ เป็นภัยของความไม่รู้ในสังสารวัฏจึงเห็นผิด เพราะฉะนั้นถ้ามีความเห็นผิดแล้ว ก็ต้องมีการกระทำสิ่งที่ผิด เช่น ตั้งสำนักปฏิบัติ และสอนให้ปฏิบัติ อย่างนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการที่จะพ้นภัย แต่เพิ่มภัยเพราะความไม่รู้มหาศาล เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้ว จะเห็นได้ เลือกไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ เลือกเห็นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว ที่เราใช้คำว่า "กรรม" คือการกระทำที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดี เกิดดี เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี บนสวรรค์ไม่มีสิ่งที่เป็นอย่างมนุษย์เลย ไม่ต้องมีการหุงหาอาหาร อะไรๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ต้องสร้างบ้านด้วย แล้วอยู่อย่างไร ถ้าเหตุดีผลก็ดี เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจมั่นคงในเรื่องเหตุผล ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ภัยที่ร้ายแรงยิ่งกว่าภัยอื่น คือความเห็นผิดเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นพยายามหาทางที่จะพ้นภัย โดยการที่ไปผิดเพิ่มขึ้น ไม่มีทางพ้นได้

    อ.คำปั่น ทบทวน ขณะนี้กำลังต้านภัยอะไรอยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้กำลังต้านภัยความไม่รู้อยู่

    อ.คำปั่น เก่งมาก เก่งมาก

    อ.อรรณพ น้องเคน ที่ไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร

    ผู้ฟัง ไม่รู้ว่าอย่างสิ่งต่างๆ คืออะไร อย่างไรพวกนี้

    อ.อรรณพ น้องเคน เคยฟังธรรมมาบ้างแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ค่อยมากเท่าไหร่

    อ.อรรณพ ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงสนใจฟังธรรม

    ผู้ฟัง เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผม

    ท่านอาจารย์ ที่ฟังมาแล้วบ้าง ฟังอะไรบ้าง ลองเล่าให้ฟังหน่อย

    ผู้ฟัง กำลังฟัง ตอนแรกคือ เราฟังความความว่างเปล่า อะไรพวกนี้ แล้วตอนที่สองเราก็ฟังว่าวิธีแก้ความทุกข์

    ท่านอาจารย์ แต่ก่อนนั้น เคยฟังมาก่อนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่เคยฟังเลย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังแล้วรู้ด้วยว่า ตอนแรกพูดเรื่องอะไร และต่อไปพูดเรื่องอะไร แล้วเวลาถามตอบได้ด้วย หมายความว่าไม่ได้ง่วง แล้วไม่ได้หลับ และก็ตั้งใจฟังจริงๆ แล้วก็เข้าใจด้วย ตอนนี้อยากรู้เรื่องอะไรไหม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ยังตั้งคำถามไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ฟังก่อนใช่ไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ฟังก่อนใช่ไหม มีเรื่องเยอะที่ต้องฟัง มีเห็นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เห็น เป็นได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่เหลือ แล้วก็ไม่เป็นของใครเลย แต่จำไว้ตั้งแต่นานแสนนานมาแล้ว ในสิ่งที่รวมกันไม่ได้แยกออกไปเป็นแต่ละหนึ่ง จึงลวงให้เห็นเหมือนนายมายากล นักเล่นกลเขาเล่นเก่ง ทำเหมือนกับว่ามีสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เพราะความเร็ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เพียงกระทบตาปรากฏแล้วดับ เร็วมาก ต่อๆ กันก็ปรากฏเป็นคน คิ้ว ตา จมูก ปาก ลองคิดดู ในห้องนี้มีหลายคนไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ พอเห็นรู้ได้ทันทีใช่ไหมว่าใครเป็นใคร หรือต้องคิดนาน เห็นไหม ธรรมต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่ตอบ แต่ต้องคิด เห็นแล้วเวลานี้รู้ทันที พอเห็นก็รู้เลยว่าใครเป็นใคร หรือว่าเห็นแล้ว ต้องคิดนานกว่าจะรู้ว่าใครเป็นใคร

    ผู้ฟัง ต้องคิดนาน ถึงจะรู้ว่าใครเป็นใคร

    ท่านอาจารย์ มี ๒ อย่าง ถ้าเป็นคนคุ้นเคย เห็นแล้วไม่ต้องคิด เหมือนจำเลยแต่ความจริงขณะนั้นคิดแล้วโดยไม่รู้ เพราะถ้าไม่คิด จะมีแต่เห็น นี่เป็นสิ่งที่ค่อยๆ ฟังสิ่งที่เหมือนเหลือวิสัยที่จะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ละหนึ่งขณะที่แสนที่จะละเอียดลึกซึ้งมาก แยกย่อยอย่างไรก็ต้องไปถึงขณะซึ่งเร็วมาก เกินกว่าที่เราจะประมาณได้ เพราะฉะนั้นค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว ลองคิดให้ดีว่าได้ยิน ก่อนได้ยินมีได้ยินหรือเปล่า ก่อนได้ยินจะเกิดขึ้น ไม่มีได้ยิน เงียบใช่ไหม แล้วมีเสียงปรากฏเพราะได้ยิน แล้วหายไปแล้ว ทั้งได้ยินทั้งเสียง เหมือนคนเล่นกลไหม

    ผู้ฟัง เหมือน

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง เพราะสืบต่ออย่างเร็วมาก จึงเหมือนกับว่ายังอยู่ ยังเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ความจริงให้เข้าใจก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ นี่เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพื่อละการเข้าใจผิดว่ายังมีสิ่งที่เที่ยง และก็เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ฟังต่อไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ผู้ฟัง อยากถามว่าผีมีจริงไหม

    อ.คำปั่น จริงๆ สัตว์โลกที่เกิดมา ไม่ได้มีเฉพาะภูมิมนุษย์ใช่ไหม เคยเห็นสัตว์เดรัจฉาน เคยเห็นสัตว์ประเภทต่างๆ ที่นอกเหนือจากมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นการเกิดในภพภูมิอื่น แล้วภพภูมิอื่นที่มีที่เราไม่รู้ก็มีอีก ผู้ที่ไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรตอย่างนี้ ที่นี้ที่กล่าวถึงผี ที่กล่าวถึงจริงๆ คืออะไร ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเลย ถ้าไม่มีจิต ถ้าไม่มีรูปเกิดขึ้น จะมีสิ่งเหล่านี้ไหม บางทีผู้นั้นตายแล้วเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ใช่ไหม แต่เป็นภพภูมิอื่น เราก็กล่าวเรียกว่าเป็นผี หรือว่าเป็นอมนุษย์อย่างนี้ ก็คือผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ว่าเป็นภพภูมิอื่นที่นอกเหนือจากมนุษย์ แต่เข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ก็คือไม่พ้นจากความเป็นธรรม ไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป แต่ว่าเป็นการเกิดในภพภูมิอื่น

    ท่านอาจารย์ ขอให้เข้าใจให้ถูกต้อง คิดว่าตายแล้วเกิดอีกไหม แต่ไม่ใช่เป็นคนนี้ แต่หมายความว่าไม่สิ้นสุดเลย หรือว่าตายแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีอะไรอีกเลย แต่เมื่อเหตุมี คือการกระทำในชาตินี้ที่ดีก็มี ที่ชั่วก็มี เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุมี ผลก็คือว่าต้องเกิดแน่นอน หลังจากที่ตายแล้วเหมือนเดี๋ยวนี้ เมื่อวานนี้ก็เหมือนตาย และวันนี้ก็เหมือนชาติหน้าของเมื่อวานนี้ก็ได้ หรือว่าชาติหน้าจริงๆ ก็เป็นชาติหน้าของชาตินี้ ซึ่งชาตินี้ก็เป็นชาติก่อนของชาติหน้าใช่ไหม เพราะฉะนั้นนี่คือการวนเวียนไป ซึ่งขณะนี้กำลังวนเวียนอยู่ตลอด เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวไม่ชอบ ไม่มีจบเลย เพราะฉะนั้นให้ทราบที่มั่นคงว่าเหตุกับผล เป็นคนที่มั่นคงในเหตุผลว่า ตราบใดที่เหตุยังมี ผลต้องมี

    เพราะฉะนั้นตราบใดยังมีเหตุคือความไม่รู้ และยังมีกิเลส ก็จะต้องมีการเกิดแน่นอน ก่อนจะเกิดเป็นคนนี้ ก็เป็นผีมาแล้วได้ไหม เห็นไหม จะเรียกอะไรก็ได้ จะเรียกว่าเคยเป็นผีมาแล้วก็ได้ หรือตายแล้วเป็นผีจะเรียกอะไรก็ได้ แต่ให้ทราบว่ามีการเกิดขึ้นของธรรมไม่สิ้นสุด คือจะต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเรื่อยไป อย่าลืม ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูกไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น กลัวผีเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นไหม ลืมสนิท เราศึกษาสิ่งที่มีจริง เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริงว่า สิ่งนั้นไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นเราจะกลัวสิ่งซึ่งเราไม่คุ้นเคย และก็เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด และเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ทำไมไม่บอกว่าเห็นเทพ เห็นเทวดา แต่ว่าเห็นผี นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิด เพราะเหตุว่าตั้งแต่เกิดจนตาย นอกจากขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นคิดทั้งหมด แล้วแต่ว่าจะคิดอย่างไร

    เพราะฉะนั้นความคิดของคนที่มีปัญญา มีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเห็นอะไร กับความคิดของคนที่มีกิเลส ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ลักษณะที่กลัวเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าพอใจด้วย น่าตกใจมากกว่าเพราะว่าเห็นสิ่งซึ่งไม่คุ้นเคย และเป็นไปในทางที่ไม่ดี แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่มีเรา แล้วมีผีไหม มีเห็น กับมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นเอง อย่างเดียวที่สามารถที่จะทำให้พ้นจากภัยทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ ถ้ายังคงเป็นเรา อย่างไรอย่างไรก็กลัวผี จนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของธรรม ดับกิเลสคือความติดข้อง รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ถึงการที่ไม่กลัวอีกต่อไป เกือบจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่ใช่ เพียงแต่เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา มีความเข้าใจถูกต้องตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจถูกมีหลายระดับ แค่ฟังนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งนี้ชัดเจน มั่นคงว่ามีจริงเพียงเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ฟัง วันนี้จะลืม แต่ว่าถ้าฟังอีกบ่อยๆ ก็จะเก็บความมั่นคงที่จะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเห็นแล้วก็คิดว่าเป็นผี ขณะนั้นไม่ใช่ไม่มี มีจริงแต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่อะไร เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีคำเรียกสิ่งต่างๆ เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความต่างกันได้ จึงมีคำหลากหลายมากมายมากที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แต่ทั้งหมดต้องไม่ลืมว่าเป็นธรรม มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ผีอยู่ไหน ไม่ได้ปรากฏก็ไม่มีใช่ไหม แต่คิดถึงผี เพราะเคยเห็นแล้วก็เคยจำ คืนนี้อาจจะฝันก็ได้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นความฝัน ก็คือว่าสิ่งที่ได้เห็นมาแล้วทั้งหมด เราไม่รู้ว่าสภาพจำ จำละเอียดทุกอย่าง บางคนอาจจะเข้าใจว่าลืมไปแล้ว แต่ฝันเห็นได้อย่างไร ในเมื่อลืมไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย ๒๐ ปีก่อน ๑๐ ปีก่อน เมื่อวานนี้หรืออะไรต่างๆ แต่สภาพที่จำ จำ แล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดการคิด เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าทุกคนคิดเพราะจำ แล้วแต่ว่าจะจำอะไร จำเรื่องผี เพราะฉะนั้นก็จะจำต่อไป แต่ว่าเวลาใดที่ไม่คิดไม่จำ ไม่คิดถึงก็ไม่มี เพราะฉะนั้นชีวิตก็คือว่าชั่วหนึ่งขณะของการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏขณะนี้ เกิดดับสืบต่อเร็วมาก แล้วก็เป็นเช่นนี้มาแล้วแสนโกฏกัป จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ต้องเห็น ต้องได้ยิน เพราะไม่รู้ สุข ทุกข์ใดๆ ก็เพราะคิด เดี๋ยวตกใจ เดี๋ยวดีใจ จนกว่ารู้ความจริง แล้วค่อยๆ ละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง และยั่งยืน เพราะไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ก็คือธรรมทั้งหมดนั่นเอง แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.อรรณพ คือการสวดมนต์ สวดมนต์เพื่อที่จะให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ก็มี เพื่อสิริมงคลก็มี

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักสักคำ แต่ก็พูด เช่น สวดคืออะไร มนต์คืออะไร สิริมงคลคืออะไร รู้หรือเปล่า ถ้ารู้จะไม่พูดคำนี้เลยว่า สวดมนต์เพื่อสิริมงคล เพราะจริงๆ แล้ว ใครเคยสวดมนต์บ้าง สวดกันทุกคนใช่ไหม เข้าใจไหม คำที่พูดนั้นหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นพูดคำที่ไม่รู้จักแล้วจะพ้นภัยหรือ เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผล ก่อนจะทำอะไร ต้องรู้ว่าคำพูดนั้นถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือเปล่า คนไทยคุ้นหูกับคำนี้มาก คือพูดคำที่ใครก็ไม่รู้จัก แล้วพูดหลายๆ คำด้วย แล้วก็เป็นทำนองไปด้วย พอได้ยินเสียงก็ไม่เหมือนปกติ คำก็ไม่ใช่คำที่คุ้นหู ก็บอกว่านั่นสวดมนต์ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่าสวดมนต์คือพูดคำที่ไม่รู้จัก แต่ตามความเป็นจริง สวดคืออะไร มนต์ หรือมันตะ มันตาคืออะไรเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ที่กล่าวถึงสวด มาจากคำภาษาบาลีว่า สัชฌายะ คือการสาธยาย ซึ่งในที่นี้หมายถึงการกล่าวเป็นลำดับด้วยดี ทบทวนเป็นลำดับด้วยดี แสดงว่าต้องเป็นผู้ได้ฟัง ได้เข้าใจในคำที่กล่าวถึงนั้น นี่คือความหมายของสัชฌายะหรือว่าการสาธยาย ก็คือเป็นการกล่าวด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในคำที่ได้ยินได้ฟัง เป็นการทบทวนไม่ให้ลืมในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จะด้วยการออกเสียง หรือว่าไม่ออกเสียงก็ได้ นี่คือความหมาย ส่วนคำว่ามนต์ มาจากคำว่ามันตะ หมายถึงปัญญาตรัสรู้ ซึ่งก็เป็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    11 ม.ค. 2568