ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
ตอนที่ ๙๘๒
สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ผู้ฟัง ถามว่าความว่างเปล่า เป็นที่ต้องการของนักบวชหรือนักแสวงหาบุญ จึงอยากรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของความว่างเปล่า แท้จริงแล้วคืออะไร
ท่านอาจารย์ พูดถึงเรื่องความว่างเปล่าใช่ไหม ก็ต้องถามว่าเดี๋ยวนี้มีความว่างเปล่าหรือเปล่า ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็ตามเรื่องไป พาเลี้ยวซ้ายก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาก็เลี้ยวขวา แต่ต้องรู้ว่าคืออะไรก่อน ถึงจะสามารถเข้าใจได้ละเอียดชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงความว่างเปล่า ก่อนที่จะพูดต่อๆ ไป ความว่างเปล่าคืออะไร หรือว่า เดี๋ยวนี้มีความว่างเปล่าไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ถ้าตอบว่ามี หมายความว่ารู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรว่างเปล่า
ผู้ฟัง เอกภพ ว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าจักรวาล ว่างเปล่าหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ มีดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างๆ
ท่านอาจารย์ หมายความว่า ว่างเปล่าจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่จริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องสนทนาธรรมจนกว่าจะเข้าใจแต่ละคำ ถ้าใครจะเข้าใจความว่างเปล่า ต้องรู้ว่าต้องมีอะไร หรือไม่มีอะไรเลย เห็นไหม แค่นี้ มีอะไรหรือไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีอะไรเลย เลยจริงๆ ต้องเป็นปัญญา เพราะว่ามองไปทางไหนก็มีทั้งนั้น มีจักรวาล มีดาวพระเคราะห์ มีคน มีทุกอย่าง แล้วตรงไหนว่างเปล่า ธรรมเป็นสิ่งที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ต้องจากการไตร่ตรอง ไม่ใช่ตาม อย่าได้เชื่อใครที่ไม่ให้เข้าใจอะไรเลย เพียงแต่มาบอกบอกให้เชื่อให้ทำตาม แต่ต้องคิด และถามเขาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเอง ว่างเปล่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ว่างเปล่าไหม ไม่มีสักอย่าง ไม่มีเลย ไม่มีการเกิดขึ้นเลย ว่างเปล่าไหม ว่างเปล่าจนกว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถ้าไม่ใช่สภาพรู้ จะรู้ไหมว่าเป็นอะไร ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นธรรมที่มีจริง มีจริงๆ แต่เป็นเรื่องที่ละเอียด และลึกซึ้งมาก แม้แต่ความว่างเปล่า เวลานี้มีคุณออมยืนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ว่างเปล่าหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ว่างเปล่า
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ว่าไม่มีคุณออม ก็ว่างเปล่า เพราะว่ามีเห็น เห็นไม่ใช่คุณออม เห็นไม่ใช่นก เห็นไม่ใช่ผีเสื้อ เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องตรง จากไม่มีได้ยิน ยังไม่มีได้ยินเลย แล้วเกิดได้ยินมีเสียง ขณะที่กำลังได้ยิน เสียงว่างเปล่าไหม ว่างเปล่าหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ เพราะได้ยิน
ท่านอาจารย์ เพราะเสียงยังอยู่ เพราะได้ยินยังอยู่ แต่เมื่อไหร่ได้ยินไม่ปรากฏเลย เสียงก็หมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ เมื่อนั้นเราบอกว่าว่างเปล่า จากการที่ไม่มี แล้วก็เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นชีวิตว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน ถ้าแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งไม่มารวมกัน ไม่มีคน ถ้าตาอยู่ทาง หูอยู่ทาง จมูกอยู่ทาง ทุกอย่างจะเป็นคนได้อย่างไร ตาก็เป็นตา หูก็เป็นหู แต่เมื่อมารวมกัน เราจะไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ว่ารวมละเอียดแค่ไหน อย่างโต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะ จะเอาโต๊ะเล็กโต๊ะใหญ่ก็ได้ เป็นโต๊ะแล้วใช่ไหม ย่อยให้ละเอียดยิบได้ไหม ที่บ้านก็มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีอะไรทุกอย่าง ไฟไหม้ทีเดียวหมด เพราะฉะนั้นความจริงต้องเป็นความจริง แต่เราไม่รู้ และความจริงลึกซึ้งกว่านั้นอีก เพราะฉะนั้นโต๊ะ ๑ ตัว เอาดอกไม้ก็ได้ แค่ดอกเดียว ยังไม่ถึงโต๊ะหนึ่งตัว ดอกไม้หนึ่งดอก ย่อยให้ละเอียดยิบได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ นี่เห็นไหม เราเป็นคนที่มีเหตุผล เริ่มรู้ว่าพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ต้องตรงกับความเป็นจริง แล้วก็เพราะอะไรถึงแยกได้ ดอกไม้อย่างนี้ โต๊ะอย่างนี้ ไมโครโฟนอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ภูเขา อะไรๆ ก็ตาม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จักรวาลทั้งหมด แยกได้เพราะอะไร แยกออกได้ให้ละเอียดยิบ ละเอียดที่สุดเลย เป็นผงที่มองไม่เห็น มีไหม อย่างเวลานี้ถ้าจะมีเศษผงที่ปลิวในอากาศ ไม่มารวมเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้เลย แต่ยังมีสิ่งที่มองเห็นด้วยตา แต่ถ้าเล็กกว่านั้นอีก มีไหม มีแน่นอน แต่ไม่รู้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นโต๊ะหนึ่งตัว หรือดอกกุหลาบ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เราคิดว่าเที่ยงยั่งยืน มีอยู่ตลอดเวลา แตกย่อยออกได้ละเอียดยิบเพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่น ความว่างเปล่าที่อยู่ระหว่างสิ่งที่รวมกัน มี ที่ตัวทั้งหมด ตา ควักตาออกได้ เพราะมีอากาศ ใช่ไหม จะตัดส่วนหนึ่งส่วนใดออกได้หมดเลย เพราะมีอากาศแทรกคั่นอยู่ เพราะฉะนั้นเพียงแต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ซึ่งเรายังไม่พูดถึง เพียงแต่พูดถึงให้เข้าใจสิ่งที่มีให้ถูกต้องก่อน จะรู้อะไรต้องรู้ละเอียดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่พื้นฐานทีเดียวว่า ที่กล่าวว่าไม่มีคุณออม ต่อเมื่อไหร่ ต่อเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดนั้นดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมทั้งหลายไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร นี่เริ่มฟังพระพุทธพจน์ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ไม่เว้นเลยสักอย่าง ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน หรือเป็นของใคร หรืออยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ แค่ฟังแค่นี้ ต้องคิดแล้ว ตั้งแต่เกิดมาเลย เลือกเกิดได้ไหม เกิดมาแล้วเลือกเห็นได้ไหม เลือกจะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือ ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นถ้าฟังต่อไป ทุกคำเป็นวาจาสัจจะเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะว่าความจริงเป็นอย่างไร ก็ตรงตามความเป็นจริง ได้ตรัสรู้ความจริงนั้นถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง จนดับความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุของความไม่ดีทั้งหมดเลย ถ้ารู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ทุกอย่างจะเป็นไปตามความรู้ สิ่งใดถูกก็รู้ว่าถูก สิ่งใดผิดก็รู้ว่าผิด เมื่อมีปัญญา ปัญญารู้ถูกต้อง ก็จะไม่เลือกไปในทางที่ผิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นคนอัธยาศัยต่างๆ กัน ดีชั่วต่างๆ กัน ก็เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ความจริง
อ.อรรณพ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน เป็นความลึกซึ้งที่สุด เราจะจำเป็นตัวเรามายืนถาม มานั่งตอบหรืออะไรอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วย่อยแต่ละขณะ ย่อยสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นตัวเรา เป็นแต่ละอย่างแต่ละอย่าง พอจะเห็นแววๆ ของความว่างเปล่า ตอนนี้ไม่โกรธใช่ไหม เพราะความโกรธที่เคยโกรธก็ดับไปแล้ว นั่นยังไกลไป ขณะนี้เห็นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว มีความคิดนึกสืบต่อจากการเห็น แล้วคิดนึกก็ดับไปดับไปแต่ละขณะ เห็นอีกก็ไม่ใช่เห็นเดิม เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของพระธรรมที่พระองค์ท่านทรงแสดง คืออธิบายสภาพความจริง หรือสภาพธรรมแต่ละขณะแต่ละขณะละเอียดยิบ เรานั่งอยู่นี่ นึกว่าเป็นตัวเราที่นั่งอยู่เป็นชั่วโมงๆ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นสภาพรู้ คือจิตที่เกิดแล้วทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เห็นเกิดเห็นเพียงสี แล้วก็คิดถึงคน เดี๋ยวก็ได้ยิน โดยละเอียดจิตเกิดขึ้นแต่ละขณะ ทำหน้าที่อย่างหนึ่งแล้วดับไป จิตอีกขณะหนึ่งเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น เร็วยิ่งกว่าอะไร สมกับปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
อ.คำปั่น เรื่องความว่างเปล่า ซึ่งท่านอาจารย์ และอาจารย์อรรณพ ก็ได้สนทนาในความละเอียดของพระธรรมให้เข้าใจว่า ว่างเปล่าจริงๆ คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส หรือว่าสิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล นี่เป็นความเข้าใจเบื้องต้นที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจต่อไปอีก เพราะเหตุว่าธรรมที่กล่าวถึงความว่างเปล่าก็ยังแสดงความละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก อย่างเช่น ถ้าเป็นจิตที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ จิตประเภทนั้นก็ว่างจากกิเลสประเภทนั้นๆ เพราะเหตุว่าดับกิเลสได้แล้ว นี่คือความประเสริฐของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงที่เป็นไปเพื่อขัดเกลา ละคลายความไม่รู้ แล้วก็ละคลายการที่ยึดถือสิ่งที่มีจริงว่าเป็นตัวเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่าทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งจริงๆ ว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง ชื่อมะเหมี่ยว คือหนูจะถามว่า ชีวิตของเราเป็นอนิจจังใช่ไหม คือความไม่เที่ยง แต่ว่าเราจะมีวิธีที่จะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดจากความไม่เที่ยงนี้อย่างไร อย่างเช่นเราเป็นเด็ก โตมาแล้ว เราก็ต้องแก่ใช่ไหม แล้วก็เราจะไม่สามารถรับสังขารที่แก่อย่างนั้นได้ เราจะมีวิธีจะรับความทุกข์อย่างไร ให้เราไม่ยึดติดกับกายหยาบพวกนั้น
ท่านอาจารย์ เป็นทุกข์เพราะไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะไม่ทุกข์เมื่อไหร่
ผู้ฟัง รู้
ท่านอาจารย์ จบได้ไหม เพราะจริงๆ แล้วก็คือว่าคำตอบสั้น แต่เรื่องที่เข้าใจยาวมากละเอียดขึ้นว่า ต้องถามต่อไป รู้อะไร ไม่รู้อะไร ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ใช่ไหม ไม่รู้อะไร เวลานี้ได้ยินแต่เพียงว่า เกิดแล้วต้อง แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่แค่ได้ยิน ยังเห็นจริงอย่างนั้นด้วยใช่ไหม คนเกิดก็มี คนแก่ก็มี คนเจ็บก็มี คนตายก็มี คนเป็นทุกข์ก็มี คนเป็นสุขก็มี คำถามว่า แล้วจะรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร หมายความว่าจะไม่เป็นทุกข์ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้ว่า เกิดมาด้วยความไม่รู้ แน่นอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเพราะไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า เพราะไม่รู้จึงเกิด ถ้ารู้จริงๆ ดับเหตุของความเกิดเมื่อไหร่ ก็เกิดไม่ได้ตราบนั้น จะไม่เกิดอีกเลย แต่เมื่อยังมีเหตุที่จะให้เกิดอยู่ตราบใด ก็จะไปรับมืออะไรได้ เพราะเหตุว่า เมื่อมีเหตุแล้วผลก็ต้องเกิด อยากเห็นสิ่งที่ดีๆ ไหม แล้วทำไมบางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่ดี บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ต้องมีเหตุ แม้เห็นก็บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แล้วได้ยินเสียงก็เหมือนกันใช่ไหม เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้ว มีตาไว้เห็น ดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ ดี เห็นสิ่งที่ไม่ดี ดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนที่ตรงจริงๆ ว่าบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดมาแล้วก็ต้องมีตาไว้เห็น มีหูสำหรับได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วมีใจที่คิดนึกเรื่องต่างๆ หยุดคิดไม่ได้เลย แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครหยุดคิด เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วต้องเป็นคนที่เข้าใจว่า คำใดที่ได้ยินคำนั้นเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นความถูกต้อง เมื่อได้พิจารณาเข้าใจแล้ว ธรรมทั้งหลาย หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงทั้งหมดเลย ทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่เราแท้จริงเลย เพียงแค่เกิดมาเห็นนิดเดียวแล้วก็ดับ เราอยู่ไหน หมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว เกิดมาเดี๋ยวนี้ได้ยิน ตรงได้ยินที่กำลังได้ยิน ศึกษาธรรมคือมีธรรมที่กำลังเป็นอย่างนั้นให้เข้าใจได้ แต่เริ่มฟังเริ่มคิด เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ก่อนได้ยินไม่มีเสียงปรากฏ ไม่มีได้ยิน แต่พอได้ยิน ต้องมีเสียงปรากฏ และเสียง และได้ยิน ก็ดับหายไป ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือความหมายว่า ได้ยินก็ไม่ใช่เรา ถ้าจะพิจารณาไปทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่เราเข้าใจว่ารูปของเรา ก็ไม่ใช่เรา อะไรอะไรทั้งหมด ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งสุข ทั้งทุกข์ก็เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งเกิดเมื่อมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น บังคับบัญชาไม่ได้เพราะไม่รู้
เพราะฉะนั้นไม่อยากจะเป็นทุกข์ ก็ต้องรู้ ถ้ายังคงไม่รู้ตราบใด ก็ต้องเป็นทุกข์ตราบนั้น และต้องเป็นคนที่จริงใจด้วย สมควรไหมที่จะไม่รู้ต่อไป เพราะว่าไม่รู้มานานมาก แล้วก็จะไม่รู้ต่อไป แล้วก็ไม่รู้ต่อไป แล้วก็ไม่รู้ต่อไป กับเมื่อไหร่ที่สามารถจะเริ่มรู้เพราะเห็นประโยชน์ แล้วก็คนที่จะทำให้รู้ ไม่มีใครเลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเดี๋ยวนี้คำสอนของพระองค์ยังอยู่ แม้ว่าพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว คือดับโดยรอบ ไม่มีการเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นไม่มีแม้แต่รูป เสียง จิตอะไรทั้งหมดของพระองค์ไม่มี แต่พระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ยังมีอยู่สำหรับใคร สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์
เพราะฉะนั้นเรารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน เห็นประโยชน์ของพระองค์แค่ไหน ยามทุกข์จะไปนั่งกราบนั่งไหว้ แต่ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้ว่า ท่านสอนว่าอะไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดแต่ละคำ ขณะนี้เป็นธรรมหรือเป็นเรา เห็นไหม ทุกคำที่ฟังแล้วทิ้งไม่ได้ ยังต้องตอบต่อๆ ไปอีก เดี๋ยวนี้ที่กำลังยืนอยู่เป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นเรา
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเราหรือ ได้ยินหมดแล้ว เป็นเรา แล้วเราอยู่ไหน เพราะขณะที่ได้ยิน ไม่มีอะไรเลย นอกจากได้ยินกับเสียง เท่านั้นจริงๆ คิดก็ไม่ใช่ เห็นก็ไม่ใช่ ขณะที่ได้ยิน มีแต่เฉพาะได้ยิน เสียง สองอย่างนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นเกิดแล้วได้ยิน แล้วดับไปแล้ว เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถ้าตอบอย่างนี้ การบ้านก็คือว่า เริ่มเข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่ปรากฏเกิดจึงปรากฏ แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มีใช่ไหม เพราะสิ่งนั้นหมดแล้ว กว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ต้องฟังอีกนาน ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์จะไม่ทุกข์ นี่เป็นหนทางที่จะไม่ทุกข์ จะฟังต่อไปไหม ถ้าอยากจะไม่มีทุกข์ ก็ต้องฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ใครบังคับให้ฟัง ไม่ใช่ใครบอกให้ฟัง แต่พิจารณาแล้วเป็นประโยชน์ไหม เพราะว่าการฟังธรรมไม่มีอะไรเสียหายเลยสักอย่าง ไม่ใช่ว่าให้หยุดเราฟังเพลง ให้หยุดเราดูละครโทรทัศน์ ไม่ใช่เลย ทุกอย่างเป็นปกติ เพราะปกติทั้งหมดเป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็มีความเป็นเราอยากจะไปทำสิ่งซึ่งไม่ใช่วิสัย ไปสำนัก ไปนั่งแต่งตัวสีขาว แล้วทำอะไร เห็นไหม ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคำสอนใดที่จะรู้ว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ก็คือว่าคำนั้นต้องพูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แล้วก็ให้ผู้ที่ได้ฟังไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นใจว่า ถูกต้องไหม เป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ไม่ไปเชื่อตามคำของใครทั้งสิ้น แต่เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่มีใครตอบแทนใครได้ มีประโยชน์ไหม ในการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยากที่จะได้ฟัง แต่ทุกคำเป็นจริง และจริงยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นยิ่งกว่านี้อีกมาก ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน เพราะธรรมฝ่ายดีเห็นประโยชน์ ก็ฟังต่อไป ธรรมทั้งหลายฝ่ายไม่ดี ไม่เห็นประโยชน์เลย ก็ไม่ฟัง ทั้งหมดก็ต้องมีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา
อ.อรรณพ เผอิญมีคำถามของทางรายการ การปฏิบัติธรรมมีหลายรูปแบบ หลายวัด หลายสำนัก หลายครูบาอาจารย์ แบบใดจึงจะเลือกมาใช้ได้ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เข้าใจหรือเปล่า ถ้ามีใครเกิดได้ยินคำว่า การปฏิบัติธรรม เข้าใจหรือเปล่า ต้องเป็นคนตรง ธรรมเป็นเรื่องที่ตรง ถ้าไม่ตรงไม่ถึงความจริง ไม่ได้สาระเสียเวลา เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำ ประโยชน์อย่างยิ่งก็คือว่าต้องตรง ได้ยินคำว่าปฏิบัติธรรมเข้าใจหรือเปล่า เห็นไหม เข้าใจไหม ไม่เข้าใจอย่างหนึ่งแล้ว แล้วคนที่ไม่เข้าใจก็ไปปฏิบัติธรรมด้วยความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นผลก็คือว่า ไม่เข้าใจยิ่งขึ้น มีประโยชน์ไหมอยู่ตรงไหน ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าตั้งแต่ตรัสรู้ ทรงแสดงพระธรรม ทรงแสดงธรรม ไม่ได้บอกให้ใครไปที่ไหน ไม่ได้บอกให้ใครใส่สีขาว นุ่งขาวห่มขาว ไม่ได้บอกให้ไปที่สำนักนั้นสำนักนี้ ไม่ได้บอกให้แยก สำนักนี้ปฏิบัติอย่างนั้น สำนักนั้นปฏิบัติอย่างนี้ แต่ไม่มีความเข้าใจเลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของพระศาสนา แล้วก็ไม่ทำให้เกิดปัญญาด้วย แต่ไปเพราะไม่รู้ แล้วก็จะไม่รู้ระหว่างที่ทำนั้นด้วย ตอบคำถามได้ไหมว่าทำไมต้องใส่สีขาว ทำไมต้องนุ่งขาวห่มขาว แค่นี้ ไม่มีคำตอบ แต่คนที่ไปสำนักปฏิบัติ นุ่งขาวห่มขาวทำไม ด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนที่จะทำให้เห็นถูกเข้าใจถูก แต่ทำให้หลงงมงาย เพราะไม่มีคำตอบว่า ทำไมใส่สีขาว แล้วปฏิบัติคืออะไร ธรรมคืออะไร ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมคืออะไร ปฏิปัตติคืออะไร ไม่ใช่เราใช่ไหม แต่นี่เป็นเราจะนุ่งขาวห่มขาวไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคำไม่จริงทำลายคำจริง คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปไหม จะไปสำนักปฏิบัติไหม ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครชักชวน แต่เริ่มเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ จะไปไหม จะต้องรู้ว่าไปทำไม แล้วไปนุ่งขาวใส่ขาวทำไม ทุกอย่างไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน คำไม่จริงทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งสำนักปฏิบัติ ไม่ได้มีสำนักปฏิบัติ ไม่ได้บอกให้ใครนุ่งขาวห่มขาวไปสำนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นก็เป็นคำสอนอื่น เป็นคำสอนของเดียรถีย์ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชิญคุณคำปั่นให้ความหมายของคำว่าสำนัก
อ.คำปั่น ก็กล่าวตามคำนี้ก่อน ในความเป็นจริงสำนักก็เป็นที่อยู่ อย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นก็เป็นสำนักของพระองค์ ก็คือเป็นที่ประทับอยู่ของพระองค์ แต่ผู้ไม่รู้ก็กำหนดที่หนึ่งที่ใดขึ้นมา เพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นไปกับความไม่รู้ เป็นไปกับความเห็นผิด เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจเลยว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร ตรัสรู้อะไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ก็ไปปฏิบัติ ซึ่งก็ผิดตั้งแต่ต้น เพราะว่าปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง ก็คือการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเรื่องของสติ เป็นเรื่องของปัญญา ไม่มีการไปทำอะไรที่ผิดปกติ ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือความเข้าใจธรรมที่เกิดจากการที่มีโอกาสได้ค่อยๆ สะสมความเข้าใจจากแต่ละคำแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
ท่านอาจารย์ หมายความว่าใครก็ตามที่สอนให้ไปสู่สำนักปฏิบัติ ให้นุ่งขาวห่มขาว ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ตามความเป็นจริง ไม่ได้พูดคำจริงตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ไม่จริงทำลายคำจริง แทนที่จะได้ฟังธรรมให้เข้าใจ ก็ไปนุ่งขาวห่มขาว แล้วก็ไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร เพราะเหตุว่าแม้แต่เพียงการจะฟัง ทำให้เห็นความต่างกันมากของคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองเปรียบเทียบ ใครที่จะบอกว่าเดี๋ยวนี้เห็นเกิดดับ พูดถูกไหม ถูกใช่ไหม ใครพูดถูก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังฟังพระพุทธพจน์ คำที่รู้จากที่ได้ตรัสแล้ว เพราะฉะนั้นยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งเลยว่า เห็นขณะนี้ที่กำลังเห็นจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020