ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974


    ตอนที่ ๙๗๔

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง

    วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ฟังเผินไม่ได้เลย สิ่งที่แสนยากก็คือว่าแต่ละคนเข้าใจว่าเราสามารถที่จะดับกิเลสได้ ทำอะไรก็ได้ ข่มกิเลสก็ได้ ได้บ้างไม่ได้บ้าง คิดว่าอย่างนั้นใช่ไหม แต่ว่าตามความจริงแล้วก็คือว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย มีแต่เรา แต่ความจริงเราอยู่ไหน มีเราหรือเปล่า เห็นไหม เริ่มเข้าใจ ละกิเลสตรงนี้ต่างหาก ไม่ใช่ตรงที่โกรธน้อยลง สบายใจมากขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ต้องขณะที่รู้ความจริง เมื่อไหร่ ขณะที่เข้าใจนั้น ขณะนั้นไม่มีความไม่รู้ ชั่วขณะที่เข้าใจ อย่างธรรมคือสิ่งที่มีจริง เริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม เข้าใจว่าเป็นเขา ที่แท้ก็เป็นธรรมใช่ไหม ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึก ไม่มีโกรธ ไม่มีโลภ แล้วจะมีใครที่ไหนได้อย่างไร แต่พอรวมกันแล้วก็เข้าใจว่าเที่ยง แต่ความจริงแต่ละหนึ่งที่ว่าเป็นเขา เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิด และดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย มั่นคงหรือยังที่จะว่ากิเลสน้อยลง ยังไม่น้อยเลย เพราะว่าไม่รู้มากกว่ารู้ ถูกต้องไหม แล้วอย่างไร จะฟังให้รู้ต่อไปไหม สำคัญที่สุดตรงนี้ ยากไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร กว่าจะรู้อย่างนี้ กว่าจะมีแต่ละคำ ให้เราได้ฟังแล้วไตร่ตรอง กว่าจะมีคำนี้ได้จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ทุกคำจริงถึงที่สุด เห็นเกิดแล้วดับจริงไหม เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง บางทีดับไปแล้ว ก็เกิดขึ้นมาอีกในเรื่องเดิมๆ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่อง เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นไม่ใช่คิด ถ้าไม่คิดไม่มีเรื่อง มีแค่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นแล้วคิด ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเห็นดับหรือเปล่า ก่อนคิด ฟังแต่ต้องพิจารณา เห็นอะไร เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นใช่ไหม แต่ถ้าไม่คิดจะบอกได้ไหมว่า เป็นโต๊ะ หรือเป็นดอกกุหลาบ แล้วทำไมบอกว่าเป็นโต๊ะ ทำไมบอกว่าเป็นดอกกุหลาบ เพราะรูปร่างสัณฐานต่างกัน ถ้าไม่มีรูปร่างสัณฐานต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่า นั่นดอกกุหลาบ นี่เป็นโต๊ะ และอะไรที่ทำให้มีรูปร่างสัณฐาน เพียงแค่หนึ่งขณะที่มีสิ่งที่กระทบตา แล้วเห็นเกิดขึ้นเห็น เห็นเฉพาะสิ่งนั้น ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร แล้วก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นเห็นเกิดดับอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า แต่ก่อนนี้คิดว่าเห็นนาน ใช่ไหม แต่ความจริงไม่นานเลย เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังคำว่าสภาพธรรมทุกอย่าง เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เริ่มเชื่อไหม เริ่มเข้าใจถูกไหม นี่คือการเริ่ม และ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง มีคำอีกมากมาย ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้องขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ละกิเลส สภาพธรรมที่เศร้าหมอง ทำให้จิตไม่สะอาด อะไรเป็นกิเลสบ้าง พูดอย่างคนได้ยินได้ฟังมาบ้างทั้งนั้นเลย คนไทยต้องได้ยินแน่คำนี้ อะไรเป็นกิเลส

    ผู้ฟัง ก็เป็นกิเลส บางทีก็อยากได้ อยากเจอ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความอยากเป็นกิเลส ทำไมว่าเป็นกิเลส ก่อนอยากไม่อยากดีกว่าใช่ไหม ไม่อยากดีกว่าอยากหรือเปล่า แค่นี้ ก่อนจะอยาก ไม่ได้อยาก แล้วก็เกิดอยากขึ้นมา อะไรจะดีกว่ากัน ไม่อยาก ไม่เดือดร้อน แต่อยากเดือดร้อนทันทีที่อยาก ก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว เดี๋ยวอยากนั่น เดี๋ยวอยากนี่ใช่ไหม จนกว่าจะรู้ว่าอยากทำให้จิตเศร้าหมอง เริ่มเห็นกิเลส แล้วจะละได้อย่างไร เห็นไหม ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะละกิเลสง่ายๆ ไปนั่งที่นั่น ๑๐ วัน ไปเดิน ไปยืน ไปทำอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง แล้วจะละความไม่รู้ แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง จากความไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม เข้าใจมากหรือน้อย

    ผู้ฟัง ก็คิดว่ายังน้อยอยู่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องไหม ทีละน้อยทีละน้อยทีละน้อย นี่คือความหมายของคำว่าภาวนา สิ่งที่ยากก็คือว่า คนที่ได้ยินคำว่ากิเลส ไม่อยากมีกิเลส อยากดับกิเลส พยายามหาวิธีต่างๆ แต่ดับไม่ได้ แน่นอนเพราะไม่รู้ และกิเลสที่มีมาก ประมาณได้ไหมว่าวันนี้เท่าใด ตั้งแต่ตื่นมา

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ มากใช่ไหม หรือน้อย เพราะฉะนั้นกิเลสคืออะไร เดี๋ยวนี้พอจะบอกได้ไหมว่า อะไรบ้างที่เป็นกิเลส จะได้ตรง ไม่ใช่เราใช่ไหม กิเลส

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกิเลสมีอะไรบ้าง เมื่อสักครู่นี้ความอยากเป็นกิเลสถูกต้องไหม เริ่มละเอียด เริ่มละเอียดขึ้นทุกอย่าง แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง จนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ นี่คือภาวนา เพราะว่าจะไปเอากิเลส คือความไม่รู้มากมายมหาศาล แล้วก็ยังโลภะ ความติดข้อง โทสะ ความขุ่นเคือง มานะ ความสำคัญตน พวกนี้ออกไปได้อย่างไร มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นใช้คำว่าภาวนาหมายความว่าอบรม ต้องเข้าใจคำนี้จริงๆ ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรที่ไหน นั่นไม่ใช่อบรม แต่อบรมคือมีธรรม ๒ อย่าง ฝ่ายดีกับฝ่ายไม่ดี กุศลกับอกุศล และปกติเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ปกติเป็นอกุศลมาก

    ท่านอาจารย์ ปกติเป็นอกุศล เริ่มตรง เริ่มเข้าใจ ไม่ใช่เราใช่ไหม อกุศล อกุศลไม่ใช่เรา แต่มีเหตุที่ไม่รู้มานานแสนนาน ก็ทำให้อกุศลเกิดมากมายอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งวันหนึ่งกุศลเกิดบ้างก็มี ไม่เกิดเลยก็มีใช่ไหม บางวันก็เกิดมาก บางวันก็เกิดน้อยใช่ไหม ก็คือความเป็นผู้ตรง เพราะฉะนั้นอกุศลไม่ดีมีมากกว่า แล้วจะเอาออกไปโดยความเป็นเรา โดยความต้องการ เป็นไปได้ไหม โดยความเป็นกิเลสคือยึดถือความไม่รู้ว่าเป็นเรา และด้วยความอยากจะหมดกิเลสเป็นไปได้ไหม ให้กิเลสหมดด้วยความอยากได้ไหม เพราะอยากก็เป็นกิเลส

    ด้วยเหตุนี้คำว่าภาวนา ต้องเข้าใจอย่างมั่นคง อกุศลเกิดมาก ไม่มีทางที่อกุศลจะดับอกุศลได้ กิเลสจะดับกิเลสไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งวันหนึ่งมีกุศลเพิ่มขึ้น ขณะนั้นอกุศลก็ลดน้อยลง เพราะว่าขณะใดก็ตามที่เป็นกุศล ขณะนั้นไม่ใช่อกุศลถูกไหม ขณะใดที่อกุศลเกิดขณะนั้นก็ไม่ใช่กุศล คนละขณะ เกิดพร้อมกันไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ฝ่ายใดมีมาก อีกฝ่ายหนึ่งก็น้อยลง ถ้ารู้ว่าเรามีกิเลสมากมายในสังสารวัฏ และก็หมดทันทีไม่ได้ แต่ค่อยๆ สะสมความดีหรือกุศลเพิ่มขึ้น พร้อมกับความเห็นถูกความเข้าใจถูก ก็ค่อยๆ ลดอกุศล นี่คือภาวนา ค่อยๆ อบรมกุศลเพื่อไม่ให้อกุศลเกิดมาก เพราะเหตุว่าถ้าอกุศลยังเกิดมากอยู่ กุศลก็น้อยลงไป เพราะว่าอกุศลเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ว่าการที่กุศลเกิดขึ้นบ่อยๆ ทุกวัน อกุศลที่เคยเกิดทุกวันก็ลดน้อยลง และมีความเข้าใจธรรมด้วย รู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อมีการที่ไม่ประมาทในการที่ว่าแม้เป็นกุศล แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีการฟังพระธรรม มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพื่อที่จะได้อบรมให้ความดีเกิดมากขึ้น เพื่อขณะนั้นอกุศลน้อยลง และปัญญาเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ นี่คือภาวนา

    ผู้ฟัง คำว่าภาวนา ที่ท่านอาจารย์ให้ความหมายว่า คือการอบรม คือเราอบรมตัวเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง ที่เรา เราอบรม นั่นคือเพิ่มกิเลส

    ผู้ฟัง และคำว่าอบรมของท่านอาจารย์คืออะไร ใครอบรม

    ท่านอาจารย์ ปัญญา ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นปัญญาต่างหากที่อบรม ด้วยเหตุนี้ภาวนาทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา เพราะปัญญาต่างหากที่อบรม ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น ด้วยความไม่ใช่เรา พอจะเริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าเข้าใจถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เพียงขั้นคิด ขณะนี้ไม่ว่าอะไรก็ตามเกิดแล้วดับ นี่คือการประจักษ์แจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเร็วสักแค่ไหนก็ตาม อย่างที่กล่าวว่าจิต ทุกคนเข้าใจใช่ไหม พูดถึงเรื่องจิต อยู่ไหน เห็นไหม ตอบไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่างละเอียดยิ่ง หนึ่งขณะมีอะไรบ้าง เช่นจิตเป็นธาตุรู้ แล้วก็มีสภาพ ซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดร่วมกัน เกิดเองไม่ได้ ทุกอย่างที่เกิดต้องตามปัจจัย แล้วก็แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นอย่างไร เช่น ถ้าไม่มีตา เห็นไหม ถ้ามีตาแต่ไม่มีสิ่งที่มากระทบตา จะเห็นไหม ไม่เห็น แค่นี้ใครทำอะไรได้

    เพราะฉะนั้นถึงแม้กำลังเห็นก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา มีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเห็นเกิดเพราะอะไร โดยปัจจัยอะไร ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ไม่มีธาตุที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตาว่า ธาตุนี้มีจริง สิ่งนี้มีจริงกำลังปรากฏ จะรู้ไหมว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏเมื่อเห็นเท่านั้น เมื่อใดที่ไม่เห็น จะไม่มีสิ่งนี้ปรากฏเลย ไม่ว่ากับคนตาดีหรือคนตาบอด ถ้าไม่มีสิ่งนี้มากระทบให้จิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้จะไม่ปรากฏว่ามี แต่เดี๋ยวนี้มี มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เห็นไหมว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏให้เห็น ต้องมี เพราะกำลังมี และก็ต้องกระทบตาถึงเห็นได้ จึงปรากฏว่ามีได้

    ผู้ฟัง แล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง ถูกต้อง เพราะทุกอย่างก็ตามที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่า ทุกอย่างแต่ละอย่างก็เป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ปรากฏแต่ละทาง แต่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏแต่ละทางได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ ต้องทีละหนึ่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่มากมาย กำลังคิดถามว่าคิดอะไร ตอบสักคนหนึ่ง หาไม่เจอเพราะอะไร เพราะดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย แค่เห็นดอกกุหลาบนี่ก็คิดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เห็นอีก เห็นใหม่ คิดใหม่ตลอดทั้งวัน ทุกอย่างเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราอยู่ไหน เห็นไม่ใช่เราแน่ เพราะดับแล้วไม่กลับมาอีก แต่ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็เราเห็น นี่เองกำลังเห็นนี่เองเรา เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง แม้ในเห็นที่กำลังเห็น ยากไหม เข้าใจถูกจริงๆ เห็นอะไร ธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเห็น ธาตุคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นมีจริง เห็นก็เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็น ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย เห็นคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ เห็นคิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป อย่างอื่นเกิดแล้วคิด ไม่เห็นก็คิดได้ใช่ไหม ไม่ได้ยิน ก็คิดได้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิดไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถูกต้องไหม ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เราทั้งหมด และไม่มีเราด้วย กว่าจะดับความเป็นเรา ก่อนที่จะดับอกุศลกิเลสอื่นๆ ซึ่งมีมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นหนทางก็คือว่าเข้าใจความจริง จึงจะรู้ว่าสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ไม่มี ดับหมดเลย เมื่อสักครู่นี้ก็ดับ เมื่อสักครู่นี้ก็ดับ เมื่อสักครู่นี้ก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่เพราะมีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ ก็เลยหลงเข้าใจว่ายังมีอยู่ ถ้าไม่ใช่คำอย่างนี้ จะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ให้ไปทำอย่างนั้น ให้หมดกิเลส แต่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้จักใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนตรง ก็เริ่มไตร่ตรอง ถ้ากล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พึ่งอย่างไร อยู่ไหนไม่รู้จัก มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่เคยรู้เลยว่าอะไรเป็นธรรม แล้วจะพึ่งได้อย่างไร มีพระสงฆ์คือพระสังฆรัตนะ ได้แก่พระอริยบุคคลเป็นที่พึ่ง ก็ไม่รู้ใช่ไหม เพราะอะไรจึงเป็นพระอริยบุคคล เรียกว่าไม่รู้หมดเลย แต่พูดทุกวัน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นี่คือผู้ที่ไม่ตรง เป็นผู้ตรงเท่านั้น จึงจะได้สาระจากพระธรรม ต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ ทุกคำ ไม่ใช่ตรงตามเขาว่า แต่ตรงตามที่ไตร่ตรองว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า เมื่อพูดถึงอะไร ก็ต้องรู้ความจริงของสิ่งนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งว่าเป็นธรรม จึงชื่อว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรมเป็นสาวก ถ้าฟังคำอื่นไม่ใช่สาวก ไม่ใช่ผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ที่ไม่ศึกษาธรรม มีอะไรเป็นที่พึ่งก็แล้วแต่ แต่ไม่ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง จนกว่าจะฟังธรรมเข้าใจธรรม

    พระธรรมทุกคำเป็นความจริง ซึ่งต้องไตร่ตรอง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เราจะผ่านประเพณีต่างๆ สืบทอดกันมายาวนานสักเท่าใด แต่ที่ปรากฏขณะนี้ก็คือความจริงว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ไปคิดถึงอดีตว่าผ่านมานานเท่าใด ประเพณีทำกันมาอย่างไร ขอให้คิดว่าอะไรถูกอะไรผิด และอะไรเป็นสิ่งที่ควรจะแก้ไข ถ้าเรารู้ว่าไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าพระธรรมทรงแสดงความจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตของแต่ละภพแต่ละชาติที่มีโอกาสได้ฟัง แค่ได้ฟังได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจถูกต้องนั่นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าสิ่งที่จะต้องรู้มีอีกมากมาย สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่รู้สักอย่างทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจทั้งวัน จนกว่าเราจะได้เริ่มเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นเราไม่คำนึงถึงอดีต และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

    ขอให้ขณะนี้เรารู้ว่าเป็นคนตรง ที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิด และความเห็นถูกจะแก้ ไม่ใช่เรา คือทุกคนไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ปัญหาอยู่ที่ความไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะถูกต้อง ก็ต้องคือได้ฟังคำจริงที่ถูกต้องแล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง เดี๋ยวนี้เกิดแล้วทั้งนั้นเลย ไม่มีใครไปบังคับบัญชา แต่ว่าสิ่งที่จะเกิดต่อไปข้างหน้าก็มาจากสิ่งที่เกิดวันนี้ เดี๋ยวนี้เอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดต่อไปข้างหน้า ก็แล้วแต่ว่าวันนี้เดี๋ยวนี้เป็นอะไร ถ้าเป็นความเข้าใจผิด ถ้าเป็นความเห็นผิด ถ้าเป็นประเพณีที่ผิด เหมือนเดิม ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกเกิดขึ้น แล้วเริ่มแก้ก็ค่อยๆ ถูกขึ้น เริ่มจากหนึ่งทีละหนึ่งทีละหนึ่งไปในที่สุดก็มาก คือ หนึ่งนั่นก็คือเรา ตัวเราเองที่จะต้องเป็นคนตรง แล้วก็มั่นคงในความถูกต้อง ได้พบพระธรรมสักวันหนึ่ง หรือได้ยินสักคำสองคำ แต่ขอให้เข้าใจจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดทั้งชาติที่ผ่านมา เพราะเหตุว่าอยู่ไปด้วยความไม่รู้ สนุกสนาน และก็จากโลกนี้ไป และไม่เหลือเลย จำไม่ได้เลยว่าทำอะไรมาบ้าง เหมือนชาติก่อน ทำอะไรมาบ้าง ดีชั่วอย่างไร สนุกสนานแค่ไหน ก็เหมือนชาตินี้จำไม่ได้เลย หมดเลยไม่เหลือเลย ฉันใดขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นสาระประโยชน์สูงสุด คือขอให้ได้เข้าใจความจริง จากคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ และก็ให้คนอื่นได้รับทราบ ตามความเป็นจริงด้วย เราไม่ได้หวังอะไรจากใคร จะรัก จะชัง จะอย่างไรก็ตาม แต่ขอให้เขาได้มีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าความเห็นผิดเป็นอันตรายมาก เป็นโทษมาก นำไปซึ่งสิ่งที่ผิดทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นทุกคำต้องละเอียด ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่เผิน ถูกต้อง เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่มีอะไรจะไปเปลี่ยนความถูกต้องนั้นได้

    เพราะฉะนั้นก็แต่ละหนึ่งช่วยกัน ไม่ท้อถอย เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุดในชาตินี้ หรือทุกชาติก็คือว่า ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีต่อหน้าอย่างนี้ ไม่ว่าจะทางตาก็มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ทางหูก็มีเสียง สั้นแสนสั้น และอยู่ไหน ไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย มีแต่สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ปิดกั้นไม่ให้เห็นการดับไป หมดไปของสิ่งซึ่งไม่เหลือ อาหารอร่อยใช่ไหม เหลือไหม กำลังเห็น ไม่มีแล้วรสชาติของอาหาร และความอร่อยชั่วขณะที่กำลังลิ้มรส ชั่วขณะที่ตรงรสนั้นปรากฏเท่านั้นเอง เวลาที่ได้ยินก็ไม่มีแล้ว รสนั้นก็ไม่เหลือแล้ว เวลาคิดก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังลิ้มรสจริงๆ ขณะที่รสนั้นอยู่ในปาก นี่ก็ต่างกัน ก็เท่านี้เอง ทุกชาติเป็นอย่างนี้ ด้วยความไม่รู้ เหมือนคนที่อยู่ในความมืด มืดสนิทไม่เห็นอะไรเลย จนกว่าจะมีแสงของพระธรรม พูดถึงสิ่งที่มีจริงให้รู้ว่าสิ่งนี้คือชั่วคราว แสนสั้น และไม่มีใครเป็นเจ้าของ และก็ไม่ใช่ใครด้วย เปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ให้เป็นอื่นไม่ได้เลย ค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ รู้ค่าของการเกิดมามีชีวิตเป็นมนุษย์ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม จะเห็นใจคนที่ไม่ได้ฟัง แล้วก็รู้ว่าเพราะไม่ได้สะสมมา จะไปให้มะม่วงเป็นทุเรียนได้อย่างไร ใช่ไหม ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

    ผู้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องรูปธรรม และนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ๒ คำ ใช่ไหม ทีละคำดีไหม ศึกษาธรรมทีละคำ ธรรมเข้าใจแล้ว สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง แค่คำนี้ ยังต้องถามกลับไป ทำไมว่ามีจริง ก็กำลังปรากฏ แล้วจะว่าไม่มีได้อย่างไร อย่างเห็นอย่างนี้มีจริงไหม คนที่ตรงก็ต้องตอบกำลังเห็นจะบอกว่าไม่มีเห็นได้อย่างไร กำลังเห็น เห็นจะไม่จริงได้อย่างไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะที่แสดงความเป็นจริงของสิ่งนั้น เช่นแข็ง แข็งแน่ๆ เมื่อใด เมื่อกระทบสัมผัส แต่ถ้าไม่กระทบสัมผัส แข็งไม่ปรากฏ ทุกคำละเอียดมาก และชั่วขณะ ชั่วขณะ ชั่วขณะจริงๆ เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีเราแล้วมีอะไร ก็มีสิ่งที่มีจริง จะพูดสั้นๆ ก็คือว่ามีธรรม มีธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรมีปรากฏ สิ่งนั้นเองมีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ นี่คือความหมายของธรรม ซึ่งต้องเกิดจึงปรากฏว่ามี ทันทีที่เกิดแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นธรรมมากมายไหม แค่ตรงนี้ก็มาก ตรงนั้นก็มาก ในห้องนี้อีกตั้งเท่าใด บริเวณนี้เท่าใด จังหวัดเท่าใด อำเภอเท่าใด ประเทศเท่าใด นับประมาณไม่ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะเข้าถึงลักษณะจริงๆ ของธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะมากมายมหาศาลสักเท่าใด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    15 เม.ย. 2568