ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
ตอนที่ ๙๘๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเราหรือเปล่า เห็นไหม มั่นคงไหม ขั้นฟังยังไม่มั่นคงพอ เพราะว่าถ้ามั่นคงพอ ขณะนี้จะไม่เคลือบแคลงสงสัยในเห็น เพราะเห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแต่มีจริง คิดดู ยากไหม ไม่ใช่เราแต่มีจริง สิ่งที่มีนั้นคือธาตุที่เกิดขึ้นเห็น ธาตุรู้ สามารถเห็น เหมือนเสียง ธาตุรู้สามารถได้ยิน รสต่างๆ ธาตุรู้สามารถลิ้มรสได้ คิดนึกสามารถคิดเรื่องราวต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีแน่นอน แต่ว่ารู้ทีละหนึ่งรู้ทีละอย่าง และรู้แล้วก็ดับไป สืบต่อเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ จนปรากฏเสมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั่นคงแต่ละหนึ่ง คนนี้มีจริง คนนั้นมีจริง โต๊ะมีจริง เก้าอี้มีจริง รูปภาพมีจริง จริงหมด แต่ต้องเกิดใช่ไหม แล้วก็ต้องดับด้วย แล้วก็ต้องสืบต่อด้วย จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ฟังแค่นี้ก็สลายสิ่งที่มั่นคงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหลือแต่เพียงแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดมาก ยากที่จะรู้ได้ เพราะเห็นไม่ใช่คิด แต่ใครแยกคิดกับเห็นออก พอเห็นก็เป็นดอกไม้แล้ว พอเห็นก็เป็นโต๊ะ ถ้าไม่คิดเป็นโต๊ะเป็นดอกไม้ไม่ได้ เห็นต้องแค่เห็น สิ่งที่สามารถกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา เกิดเห็นไม่ได้เลย เพราะเห็นต้องเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ หาอยู่ไหน มีแน่ ใช่ไหม ก็เห็นอย่างนี้จะไม่มีได้อย่างไร ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นถูกต้องไหม แต่แล้วสิ่งที่ถูกเห็นนั้นอยู่ที่ไหน เกินวิสัยของใครที่จะคิด เห็นมานานแสนนานในสังสารวัฏ ไม่รู้ความจริงของทั้งเห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอย่างนี้จะไปนั่งปฏิบัติอะไรที่ไหน ก็ไม่มีทางที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่มีทางที่จะรู้จักแม้แต่คำว่าธรรม ไม่มีทางที่จะละคลายความติดข้อง ตั้งแต่เกิดจนตายว่าเป็นเราเกิดเราตาย หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยึดถือมั่นคงว่า สิ่งนั้นยังมีอยู่ แต่ความจริงถ้ารู้ความจริงประจักษ์แจ้งจริงๆ ที่จะหมดกิเลสได้ ก็คือว่ากำลังติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเกิดแล้วดับทันที เมื่อใดรู้อย่างนี้ เมื่อนั้นก็รู้เลยว่าสงบไหม ขณะที่รู้ความจริงต้องสงบใช่ไหม สงบจากความไม่รู้จากความติดข้อง เพราะอะไร ไปติดข้อง หลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มีมานานแสนนาน และยังหลงว่ามี
เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน จะเคยพบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาบ้างหรือเปล่า เคยฟังมามากน้อยแค่ไหน แต่ลองคิดดู ธรรมมี คำที่แสดงความจริงของธรรม ก็มีให้ได้ยินได้ฟัง แต่กี่คนจะได้ฟัง กี่คนจะเห็นประโยชน์ กี่คนจะรู้ว่ายากนักหนาในสังสารวัฏที่มีโอกาสจะได้ฟัง นก จิ้งจก ไม่มีโอกาสได้เข้าใจเลย แค่ได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถที่จะรู้คำทุกคำ ซึ่งแสดงถึงส่องถึงความหมายของสิ่งที่มี แต่ละคำเป็นไปตามความหมาย อย่างเห็นพูดคำนี้เป็นไปตามอาการเห็นว่า เห็นเป็นอย่างนี้ก็ใช้คำนี้ แต่ถึงไม่ใช้คำอะไรเลย เห็นก็เป็นเห็น แต่พอใช้คำไหน ก็หมายความเป็นไปตามความหมายของสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเห็นจะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น ฟังธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องรีบร้อนอยากจะรู้คำเยอะๆ อยากจะเข้าใจให้ชัดเจนไปเลย แต่ต้องรู้ว่ามีความเข้าใจพื้นฐานมั่นคงแค่ไหน พื้นฐานที่รู้ว่าธรรมคำเดียว ไม่ใช่เรา มีจริงๆ แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ไม่มีใครเปิดเผยให้รู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกปกปิดไว้นานมากด้วยความไม่รู้ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะค่อยๆ เปิดให้เห็นความจริงของสิ่งที่ผู้ที่ได้ทรงเปิดแล้วประจักษ์แล้ว แสดงความรู้สิ่งนั้นให้คนอื่นได้รู้ตาม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ตาม เกิดแล้วตายไปก็ไม่รู้อะไร กี่ภพกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นชาติหน้าจะเป็นใคร มีโอกาสจะได้ฟังธรรมไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสก็ฟังเสีย ถ้าเห็นประโยชน์ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ พรุ่งนี้จากโลกนี้ไปโดยการไม่ฟัง ไม่เข้าใจหรือว่าเห็นผิดก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรมด้วยพระมหากรุณา ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่แสนไกล แต่ถ้ารู้ว่าเขาได้ฟังแล้วเขาเข้าใจ แล้วเขาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ พระองค์เสด็จไปด้วยพระบาท เพื่อที่จะได้ให้คนนั้นมีโอกาสได้ฟัง แล้วเรามีโอกาสได้ฟัง จะฟังไหมเท่านั้นเอง แต่ฟังพระธรรมครั้งใดก็ตามต้องฟังด้วยความเคารพ เพื่อรู้แล้วละ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะตำราไหน ถ้ามีความเข้าใจในคำนั้นจริงๆ เหมือนกันหมด คำว่าธรรมสิ่งที่มีจริง วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกคำถ้ามีความเข้าใจทีละคำทีละคำเพิ่มขึ้น ก็สอดคล้องกันหมด แล้วไม่สับสนด้วย แต่ถ้าเราฟังเผิน สับสนหมดเลย เดี๋ยวตรงนี้จะสงบ เดี๋ยวตรงนั้นจะไม่สงบ เดี๋ยวตรงนี้เป็นวิจิกิจฉา ล้วนแต่เป็นชื่อ ซึ่งเรียกก็ยาก เพราะไม่ใช่ภาษาของเรา แต่ใช้คำไหนก็ได้ ถ้าเข้าใจความจริงของสภาพธรรมว่าหลากหลายจริงๆ มากมายจริงๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยถึงความละเอียดของธรรม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เมื่อฟังแล้วยังต้องรู้ว่ารู้ได้ไหม ความรู้สึกขณะนี้มีใช่ไหม ดีใจมีไหม รู้ได้ใช่ไหม กำลังดีใจ เสียใจมีไหม รู้ได้ใช่ไหม เฉยๆ รู้ได้ไหม แค่มีก็ไม่รู้เพราะไม่ปรากฏอาการ แต่ถ้าดีใจรู้เลย เสียใจรู้เลย แต่ว่าถ้าเฉยๆ แม้มีก็ไม่รู้ว่านั่นเองเป็นความรู้สึก ชึ่งต้องมีทุกครั้งที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่จิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเป็นสภาพรู้สึก เพราะเหตุว่าทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบให้จิตเกิดขึ้นรู้ จะต้องมีสภาพธรรมที่รู้สึกพร้อมจิต แต่ไม่ใช่จิตในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงนามธรรม คือธรรมที่เป็นธาตุรู้ว่าธรรมที่เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น มี ๒ อย่าง ยากที่ใครจะรู้ได้ อย่างหนึ่งคือใช้คำว่าจิตต หรือจิตตังก็แล้วแต่ หมายความถึงสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างได้ยินเสียงไหม เราก็ตอบว่าได้ยินเสียง แต่รู้ไหมว่ากำลังได้ยินนั่นเอง มีความรู้สึกเกิดร่วมกับได้ยินในขณะนั้นแล้ว จะไม่ให้รู้สึกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียดมาก ยากที่จะรู้เองได้ แต่ต้องฟังแล้วค่อยๆ สะสมความเข้าใจ แต่ละภพแต่ละชาติ แต่ละภพแต่ละชาติ ทำไมว่าแต่ละภพแต่ละชาติ ใครจะรู้ว่าชาติไหนสั้นแค่ไหน ใช่ไหม พรุ่งนี้ตายภพหนึ่งแล้ว ชาติหนึ่งแล้ว เกิดใหม่อีกแล้ว กี่ภพกี่ชาติกว่าจะได้ฟัง แล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปนั่งนับคำนวณว่าเมื่อใดเราจะรู้ อาศัยความเข้าใจเดี๋ยวนี้เองเป็นเครื่องวัดว่ารู้แค่ไหน เข้าใจได้แค่ไหน มั่นคงแค่ไหนว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว มากมายสักเท่าใดก็ตาม สรุปที่ไม่ใช่เรา เป็นธรรม มิฉะนั้นฟังไปก็เป็นเรื่องท่านพระอานนท์ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วขณะนั้นใครฟัง ฟังแล้วคิดอย่างไรก็ไม่รู้ ใช่ไหม เป็นเราไปตลอดจนกว่าจะรู้ว่า ขณะที่ได้ยินก็ขณะหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดก็ขณะหนึ่งหมดแล้วก็มีสภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งซึ่งรู้ และเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ อดีตที่ดับไปแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะไปย้อนให้กลับมารู้ได้ เพราะไม่กลับมาอีกเลย ดับคือไม่กลับมาอีก เหมือนไฟดับ จะเอาไฟนั้นที่ดับไปแล้ว มาปรากฏให้รู้ได้อย่างไร อนาคตก็ยังไม่มาถึง ยังไม่เกิด จะไปรู้ได้อย่างไร แค่หนึ่งขณะต่อไปก็ไม่รู้แล้ว แต่สิ่งที่กำลังมีนี่เอง สามารถที่จะค่อยๆ ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งที่มีไม่ใช่เรา แต่ขณะที่เสียงปรากฏต้องมีสภาพได้ยิน ซึ่งไม่ได้บังคับบัญชาเลย แต่ว่าเมื่อเสียงกระทบกับหู กระทบตาไม่ได้ กระทบแข็งก็ไม่ได้ เสียงกระทบอะไรไม่ได้เลย นอกจากรูปๆ หนึ่งซึ่งเสียงกระทบได้ คือสภาพที่เกิดจากกรรม ทำให้เป็นรูปที่พิเศษ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่อ่อน แต่อยู่ตรงนั้นเอง แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบที่กลางตา รูปนั้นสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้ากลางหูรูปนั้นสามารถกระทบกับเสียง ทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ใครบอก ถ้าไม่มีใครบอก ความจริงนี้ไม่มีใครรู้เลย ถูกปกปิดมานาน ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเพียงชื่อให้คนที่ได้ยินแล้วก็กราบไหว้ แต่ไม่รู้ว่าสอนอะไร แล้วก็ไปนั่งสวดมนต์ เข้าใจอะไร พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ ไม่ใช่ให้ใครมานั่งสวด แต่ทุกคำที่ทรงแสดง เพื่ออนุเคราะห์ให้เขาได้ยินได้ฟังคำซึ่งคนอื่นพูดไม่ได้ เพราะไม่รู้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว เพื่อที่จะให้คนอื่นสามารถรู้ตามได้ด้วยพระมหากรุณา ๔๕ พรรษา ทรงกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยหลากหลายมาก เพื่อให้คนค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ จนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏกับปัญญาต่างระดับ จนกระทั่งถึงขั้นที่ประจักษ์แจ้งความจริง ตั้งแต่ขั้นปริยัติ ฟัง รอบรู้ ธรรมไม่ใช่เรา ธรรมมีจริง
เพราะฉะนั้นถ้ามีความมั่นคงจริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม จะเข้าใจได้ไหมถ้าไม่ฟัง แต่ถ้าฟังที่ไหนก็ได้ใช่ไหม ฟังแล้วก็เข้าใจตรงที่ได้ฟัง ถ้าปัญญาอบรมเจริญมา ท่านพระสารีบุตรฟังท่านพระอัสสชิ ในขณะที่ทั้งสองท่านไปบิณฑบาต แล้วท่านพระสารีบุตรเห็นอากัปกิริยาของท่านพระอัสสชิ ซึ่งงดงามมาก สงบ จากอากัปกิริยาที่แสดงให้เห็นว่า ลักษณะนั้นพิเศษ ทำให้ท่านรู้ว่าผู้นี้ก็คงจะมีอะไรที่ต่างกับบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นก็ขอฟังธรรม แล้วก็สามารถที่เข้าใจได้ เพราะอบรมมาแล้วนานมากที่เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาเข้าใจพร้อมที่จะรู้ความจริง ใครรู้ได้ว่าเมื่อใด พรุ่งนี้ดอกไม้ดอกไหนจะบาน มะม่วงลูกไหนจะสุก ใช่ไหม ใครจะไปรู้ได้ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย แต่เมื่อมีเหตุที่สมควร สภาพธรรมนั้นก็ต้องเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้
ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม และเข้าใจไม่เสียหาย ความเข้าใจเป็นประโยชน์ เป็นความเห็นที่ถูกต้อง นำมาซึ่งการที่จะได้ฟังแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกละเอียดขึ้นอีก ละคลายความไม่รู้ ขัดเกลากิเลส ไม่ได้มีการที่จะต้องไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด ไปฟังคำซึ่งไม่ทำให้เข้าใจ ไปนั่งทำสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง เดินบ้าง ยืนบ้าง นอนบ้างใช่ไหม แล้วเข้าใจอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้ใครไปทำอย่างนั้นเลย ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน สามารถที่จะได้ฟังคำ และก็สามารถที่จะเข้าใจได้ และก็เมื่อพร้อมไม่ใช่เมื่อเราต้องการไปจดจ้องพยายาม แต่เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นตามกำลังของการสะสมของแต่ละอย่าง นั่นแสดงความเป็นอนัตตาตลอดตั้งแต่การได้ฟัง จนกระทั่งไม่ว่าขณะใดก็เป็นอนัตตา ไม่ให้โกรธได้ไหม ตั้งใจไว้ วันนี้ทั้งวันเป็นคนดี ไม่โกรธแล้วก็ดู เมื่อมีปัจจัยก็ต้องเกิด ชัดเจนในความเป็นอนัตตาก็ไม่รู้ เสียงนี้ปรากฏแล้ว จะไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ ความเป็นอนัตตาปรากฏทุกขณะที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็รู้ไม่ได้เลย ผ่านไปแล้วหมดไปแล้ว
เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าฟังคำของใคร ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่มีว่าเป็นธรรมมีจริงๆ แล้วเป็นอนัตตาด้วย ทุกคำค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนที่ได้ฟัง ยังมีใครไม่มั่นคงในความหมายของคำว่าธรรมเป็นอนัตตาบ้าง เราจะได้พูดถึงอย่างอื่นได้ เยอะแยะมากเลยไม่ต้องห่วงในพระไตรปิฎก ปัญญามีตั้งแต่ขั้นอ่อนที่สุด ขั้นฟังน้อยกับฟังมากต่างกันไหม ฟังน้อยแล้วก็ฟังอีก ฟังอีก เข้าใจขึ้นอีก เพิ่มขึ้นโดยวิธีนี้ใช่ไหม ไม่ใช่วิธีไปพยายามทำให้ที่น้อยเกิดเป็นมากขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้นแม้แต่การฟังที่จะเข้าใจก็ต้องรู้ว่ามาจากอะไร เพราะฉะนั้นหนทางที่ปัญญาจะเจริญก็ต้องตามกำลังตามลำดับขั้นด้วย ปัญญาขั้นฟังจะไปประจักษ์การเกิดดับของเห็นเดี๋ยวนี้ได้ไหม ไม่มีทาง ต้องคิดดู ที่ทุกคนได้ยินบ่อยๆ ละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ สั้นแค่นี้ ถ้าฟังดูไม่แยบคาย ไปนั่งละชั่ว นี่พระพุทธเจ้าตรัส ทำไม ทำไมไม่ฟังตั้งแต่คำแรก ธรรมใช่ไหม เป็นอนัตตาใช่ไหม แล้วอะไรละ ตัวเรานั่นหรือจะไปละ เก่งจริง ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ ถ้าเราสามารถที่จะละได้ แต่อะไรละ สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายดี ปัญญาในบรรดาธรรมทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด เพราะสามารถเข้าใจสิ่งซึ่งถูกปิดบังเอาไว้นานแสนนาน ไม่มีการเปิดเผยเลยให้รู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าฟังธรรมจริงๆ เป็นอีกโลกหนึ่งคือโลกซึ่งไม่มีอะไร แต่กำลังมีธรรมทั้งหมดเป็นโลกนี้หรือยัง ยังไม่เป็นโลกนี้ก็กว่าจะถึงโลกนี้ คือไม่มีอะไรนอกจากธรรม แล้วถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะดับกิเลส ไม่มีทางที่จะเป็นวิปัสสนา การรู้ชัดรู้แจ้งในสภาพธรรมที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องรู้จุดประสงค์ ไม่ว่าจะศึกษาพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมทุกคำส่องไปถึงไม่ใช่เรา พระวินัยแสดงกิเลสของคนที่แม้บวชเป็นภิกษุแล้วก็ยังมาก เพราะฉะนั้นกิเลสอยู่ที่ไหนก็เป็นกิเลส ไม่ว่าจะหุ้มด้วยผ้าเหลือง หรือผ้าสีอะไรก็ตามแต่ ห้ามกิเลสได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก และคนฟังไม่ใช่ต้องเชื่อ ไตร่ตรองพิจารณา ไม่มีใครบังคับได้ เพราะมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เดือดร้อนด้วย ใครจะคิดอย่างไร เข้าใจอย่างไร เห็นผิดเห็นถูกอย่างไร แต่ละคนก็เกิดมาตามการสะสมทำให้หลากหลายมาก และแต่ละวันยังหลากหลายไปอีก และพฤติกรรมแต่ละวันยังเพิ่มความหลากหลายไปอีก เพราะฉะนั้นแต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง แม้หนึ่งคนหนึ่งขณะดับไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายมากสุดที่จะประมาณได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประมวลธรรมเป็นประเภทใหญ่ๆ แล้วก็แสดงตามประเภทใหญ่ๆ นั้น เพราะว่าความละเอียดในหนึ่งขณะของแต่ละหนึ่งนับประมาณไม่ได้ ฟังธรรมเพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ไม่ฟังคำของคนที่ไม่ได้พูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทำให้คนอื่นหลงคิดว่า นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มั่นคงหรือยังว่า ธรรมไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ จะฟังกี่เดือนกี่ปีกี่ชาติไม่สำคัญ เท่ากับความเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมไม่ใช่เรา และรู้จักธรรมด้วยว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เห็นเป็นธรรมแน่ ได้ยินเป็นได้ยิน เป็นธรรมมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ยังสงสัยไหม นี่เองคือถ้ายังสงสัยไม่ต้องไปทำอะไรเลย จะไปเข้าป่าทำอะไรก็ไม่มีทางที่จะละความสงสัยได้ กลับเพิ่มความไม่รู้ เพราะว่าแม้สิ่งที่กำลังมีต่อหน้า ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไร ที่ใช้คำว่าต่อหน้าต่อตายังไม่รู้เลย เห็นไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการสนทนา ก็จะมีเรื่อยๆ ว่า แม้แต่คุณมน พอถามว่ามีความมั่นคงหรือยังว่า ธรรมเป็นธรรม เห็นไหม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่ว่าให้ใครมาบอกเราว่า เรามั่นคงหรือยัง แต่ต้องรู้ว่าเห็นก็เป็นเห็น แล้วคิดเรื่องที่เห็นใช่ไหม ได้ยินก็เป็นได้ยิน แล้วคิดตามเรื่องที่ได้ยินใช่ไหม ชอบหรือไม่ชอบก็ตามสิ่งที่ปรากฏทางตาทางหูใช่ไหม คือทั้งหมดเป็นสิ่งซึ่งมีจริงๆ ที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ว่าเรื่องใดทั้งสิ้น ถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มีเรื่อง แต่พอรวมกันแล้วก็เป็นเรื่อง เพราะฉะนั้นทบทวนบ่อยๆ ในความมั่นคงว่า เข้าใจธรรมจริงๆ หรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ เมื่อนั้นเองเริ่มมั่นคงเป็นสัจจญาณ ยังไม่ถึงปฏิปัตติเลย คนไทยก็ได้ยินคำว่าปฏิปัตติ ก็คิดว่าปฏิบัติ ก็ไปนั่งปฏิบัติธรรมกัน รู้อะไร เพราะฉะนั้นทางหลงมีมาก เพราะไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมคือสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไร เพราะฉะนั้นการฟังทุกครั้ง ไม่ใช่เราอยากจะละกิเลสของเรามีเยอะ ละไม่ได้ แต่ฟังแล้วรู้ว่าไม่ใช่เรา ความรู้ว่าไม่ใช่เรานั่นเองต่างหากที่จะละความเป็นเรา
ผู้ฟัง เข้าใจว่าชื่อนี้ก็สามารถเปลี่ยนได้ แต่สภาพธรรมนี้เปลี่ยนไม่ได้ ชื่อโทสะ ถ้าเปลี่ยนมาโลภะ ได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนชื่อ
ผู้ฟัง เปลี่ยนชื่อ
ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้ไม่เรียกโทสะ จะเรียกเจ้าโทสะนี่เองสภาพที่ประทุษร้ายว่าโลภะได้ไหม
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ ใช่ไหม ก่อนอื่นต้องทราบว่า ธรรมไม่มีชื่อ แต่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นใครจะเรียกชื่ออะไร ภาษาไหนได้หมด ใช่ไหม คนไทยก็ใช้ภาษาไทย จะใช้คำว่าอะไรก็ตามแต่ ภาษาอินเดียก็ใช้ภาษานั้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมต้องมีคำ ไม่มีคำจะกล่าวถึงธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับใคร คนนั้นเข้าใจ เพราะชาวเมืองนั้น เขาพูดอย่างนั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อตรัสกับชาวเมือง ก็ต้องใช้ภาษาที่ชาวเมืองเข้าใจได้ และคำที่ตรัสในภาษานั้นก็หมายความถึงสภาพธรรมนั้น ชาวเมืองนั้นเข้าใจ ลองไปบอกคนจีนว่า โลภะ โลภะ เขาเข้าใจไหม เขาไม่มีทางจะเข้าใจได้เลยใช่ไหม นั่นเป็นเรื่องของภาษา แต่หมายความว่าถ้าไม่มีคำเลย ไม่เรียกชื่อเลย ธรรมมีตั้งมากมาย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร หมายความถึงธรรมไหน แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงต้องใช้คำ ให้เป็นที่รู้ร่วมกันว่าคำนี้ทุกคนที่ได้ฟัง รู้ร่วมกันว่าหมายความถึงสิ่งนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020