ปกิณณกธรรม ตอนที่ 4


    ตอนที่ ๔


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าจิตผ่องใส ปราศจากอกุศล มีผลมาก มีผลมากตั้งแต่เริ่มให้ เพราะว่าเป็นจิตผ่องใส และก็เมื่อจิตที่ผ่องใสเป็นเหตุ ผลที่จะได้รับก็ต้องเป็นผลที่ดีกว่า แต่ว่าไม่ใช่ไปติดอยู่ที่ผล เพราะว่าบางคนพอทราบว่าจะมีผลมากอย่างนั้นๆ ก็พยายามที่จะให้เป็นอย่างนั้นๆ แต่ก็ทำไม่ได้

    อย่างในเรื่องของสังฆทาน ที่จะได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่า สังฆทานมีผลมาก คนก็เลยอยากได้ผลของสังฆทาน เลยทำสังฆทาน อย่างนั้นจะมีผลไหม จะมีผลมากไหม เพราะว่าอยากได้ผล โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่า สังฆทาน หมายความถึงการถวายแด่ภิกษุ ซึ่งเรามีความนอบน้อมต่อท่าน เหมือนกับท่านเป็นพระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้นจิตใจของคนที่จะถวายสังฆทานต้องเป็นผู้ที่มีปกติมีจิตใจนอบน้อมต่อสงฆ์ เพราะเห็นว่าท่านเป็นผู้ที่ได้บวช แล้วก็พยายามประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ท่านจะประพฤติได้หรือไม่ได้นั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่ว่าโดยฐานะที่ท่านได้สืบทอดพระพุทธศาสนา หลังจากที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงวางพระวินัยบัญญัติไว้ เพราะฉะนั้นเราก็มีความนอบน้อมต่อท่านเสมอกับท่านเป็นพระอริยบุคคล ขณะนั้นจิตใจของเราจะบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่อย่างนั้นเราก็จะดูว่าพระรูปนี้ก็แปลกๆ ทำอะไรก็ไม่ทราบ ใจของเราก็เลยที่จะมีศรัทธาก็เลยไม่มีศรัทธา แต่พระก็คือผู้ที่บวชในพระศาสนา ท่านจะดีจะชั่วเป็นเรื่องของบุคคล ท่านไม่สามารถจะทำให้ศรัทธาของเราด้อยลง เพราะเหตุว่าเรามีความมั่นคงต่อพระศาสนา

    เพราะฉะนั้นเรามีความนอบน้อมแต่พระภิกษุเสมอกับท่านเป็นพระอริยบุคคล จิตของเราไม่หวั่นไหวเลย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้ไปทำเพราะเราหวังผลมาก แต่เราทำด้วยความนอบน้อม แต่ตรงกันข้ามคนที่ไม่มีความเข้าใจ อยากจะได้ผลของสังฆทาน เลยทำสังฆทานโดยที่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นจิตใจของเขามุ่งหวังแต่ผล ขณะนั้นก็เป็นโลภะ ผลก็ต้องน้อย เพราะว่าเป็นอกุศลไม่ใช่กุศล

    ผู้ฟัง เมื่อตอนต้นอาจารย์พูดถึงผ้าเช็ดธุลี เข้าใจว่าอาจจะยังมีบางท่านที่ยังไม่เข้าใจคำนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่า ผ้าขี้ริ้ว เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง อยากจะขอความกรุณาอาจารย์ช่วยเล่าว่า ทำไมถึงได้เกิดมีการให้ประพฤติตนดุจผ้าเช็ดธุลี แล้วได้ผลประโยชน์อย่างไร และอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่ามองไปในลักษณะที่ว่า ถ้าจะเป็นผ้าเช็ดธุลี เท่าที่เคยได้รับคำสั่งสอนมาว่าเราคงจะต้องลดมานะแล้วทำให้นึกถึงคำว่ามานะด้วยก็เลยอยากจะขอความกรุณาอาจารย์ช่วยกรุณาชี้แจงเรื่องคำว่า มานะ ด้วย

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของภาษาไทยกับภาษาบาลีที่ปนกันมาตลอด แล้วเราก็ใช้ในความหมายของภาษาไทยว่า มานะ คงจะหมายความถึงสิ่งที่ดี เป็นความอดทน เป็นวิริยะเป็นอะไรก็ตาม ซึ่งเราคิดว่าควรจะมี แต่ว่าในภาษาบาลี ลักษณะของมานะเป็นสภาพธรรมที่ทะนงตน สำคัญตน หรือเราจะใช้คำว่า หยิ่ง เย่อหยิ่ง ลำพองก็ได้ มานะนี่ละเอียดมาก ผู้ที่จะดับหรือละมานะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นเพียงพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังละมานะไม่ได้ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า มานะต้องละเอียดมากจริงๆ และเราก็เห็นแต่เฉพาะมานะใหญ่ๆ หมายความว่า คนนั้นเป็นคนหยิ่ง เป็นคนทะนงตน หรือเวลาที่เราเกิดมีความรู้สึกสำคัญตัวขึ้นมา ขณะนั้นเราไม่เคยรู้จักหน้าตาของสภาพธรรมนี้เลยว่า

    นี่แหละมานะ ที่ชื่อว่ามานะ นี่แหละตัวนี้ล่ะ แต่ว่าก็คงจะเกิดกับหลายเหตุการณ์ ถ้าสมมติว่า เราไปที่แห่งหนึ่ง แล้วก็ไม่มีใครต้อนรับเราเลย ทั้งๆ ที่เขาก็น่าจะต้อนรับเรา ไม่เอาใจใส่เราเลย อาจจะนั่งคอยอาหารอยู่ตั้งนาน โต๊ะอื่นเขาก็ได้รับประทานหมดแล้ว หรืออะไรอย่างนี้ เราจะมีความรู้สึกว่า เขาไม่เห็นว่าเราเป็นคนสำคัญเลยหรือยังไง บางคนก็อาจจะคิดอย่างนั้นใช่ไหม แล้วก็มีกิริยาอาการซึ่งผิดปกติขึ้นมาเลย หมายความว่าไม่มีความที่มั่นคงที่จะเป็นผ้าเช็ดธุลี แต่ว่าเกิดมีความรู้สึกไม่สบายใจอึดอัด และมีกิริยาอาการของมานะแสดงออกมา นี้ก็จะได้เห็นว่า ก่อนนี้เราไม่เคยสังเกตตัวนี้เลย แต่เวลานี้ให้ทราบว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เราลำบากใจ สำคัญตนแล้วก็เดือดร้อน เวลาที่มีมานะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นศัพท์ภาษาธรรม ซึ่งต่างกับในภาษาไทย และสำหรับเรื่องผ้าเช็ดธุลีหรือผ้าขี้ริ้ว ก็เป็นผ้าที่ไม่มีราคา หมายความว่าคนอื่นจะเหยียบย่ำยังไงก็ได้ เมื่อเราไม่มีความสำคัญตน แต่ถ้าเรามีความสำคัญตนแล้ว สำคัญไปหมดเลยทุกอย่าง ชื่อเรียกไม่ถูกก็ไม่ได้ ต้องเรียกให้ถูก

    มีคนหนึ่งที่ เขาบริจาคเงิน แล้วก็บังเอิญผู้ประกาศ ก็ประกาศไม่ถูก ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่บริจาคอีกเลย เพราะเขาบอกว่า ประกาศชื่อเขาไม่ถูก แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เพียงชื่อ ก็มีความสำคัญถึงขนาดนั้น นี้แสดงให้เห็นว่าเราติดอะไรบ้าง ติดเสียง แล้วก็ติดชื่อ แล้วก็คิดว่าเป็นชื่อนั้นมีความสำคัญมากมาย แต่ความจริงเป็นแต่เพียงชื่อ ความสำคัญควรจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ถ้าเป็นอกุศลจิตแล้วไม่ดี ไม่ว่าจะอยู่กับใคร จะเป็นท่านผู้หญิง หรือว่าจะเป็นเจ้าคุณ หรือจะเป็นใครก็ตาม อกุศลก็คืออกุศล ถ้าเป็นกุศลไม่ว่าจะเกิดกับเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ยังไง สภาพที่ดีงามก็ยังคงเป็นสภาพที่ดีงาม ซึ่งทุกคนก็ต้องชอบชื่นชมในสภาพที่ดีงามนั้น

    เพราะฉะนั้น ลักษณะของผ้าเช็ดธุลีนั่นหมายความว่า ในความรู้สึกของเราเอง เราไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร ดีกว่าที่เราจะคิดว่าเราเป็นคนสำคัญไหม คือขอให้เปรียบเทียบเริ่มที่จะพิจารณาว่าอะไรดี ถ้าเรามีความสำคัญในตัว ซึ่งมันไม่มีอะไร ท่านอุปมาเหมือนกับลูกโป่ง ลอยขึ้นไปได้สูงมากเลย ยิ่งจะใส่อะไรอัดเข้าไป ก็ยิ่งลอยขึ้นไปได้มาก ข้างในไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นนี่คือความมานะ ความสำคัญตน ให้เราเป็นอะไรก็ได้ เรียกชื่ออะไรก็ได้ เราก็พลอยลอยขึ้นไปตามชื่อซึ่งตั้งตามคำที่เรียก แต่ไม่มีอะไรเลย ขันธ์ทุกขันธ์เกิดแล้วก็ดับไป เราเมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน เมื่อกี้นี้ เดี๋ยวนี้อยู่ตรงนี้ใช่ไหม เมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหนตัวเราที่เราคิดว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อกี้นี้ไม่มีแล้ว มีตัวนี้ มีรูปนี้ มีนามนี้ ซึ่งเกิดดับเร็วมากทุกขณะ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ก็เป็นแต่เพียงชื่อที่เรียกให้เข้าใจกัน เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าเราหมดความสำคัญในตัวเราที่จะทำให้เป็นคนทะนงตน เราจะมีความสบาย ใครจะเรียกเราอย่างนั้นก็ได้ ไม่เรียกเราอย่างนั้น เราก็เป็นตัวเรา ไม่เห็นจะเดือดร้อน เรียกผิดก็ผิด เรียกถูกก็ถูก ทำไมจะต้องมีความสำคัญถึงขนาดนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลีก็คือว่า ในความรู้สึกของเรา ไม่ได้มีความสำคัญในตน หรือว่าความทะนงตนว่า เราต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องเป็นอย่างนี้ เพราะจริงๆ แล้วคือสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เมื่อกี้นี้ทุกคนได้ยินเสียง ขณะนี้ก็กำลังได้ยินทีละคำผ่านไปๆ เสียงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเก็บห่อเอาไว้เป็นของเรา หรือได้ยินเมื่อกี้นี้ ก็หมดไปจริงๆ เราอยู่ที่ไหน ถ้ามีความรู้สึกสุขซักนิดนึง ก็หมดไปอีกแล้ว ถ้าอาหารนี่จะอร่อยมาก ประเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรซึ่งจะคงอยู่ได้แน่นอนเลย เพราะฉะนั้นของเราจริงๆ ให้ดูมาว่าตั้งแต่เกิด มีอะไรเป็นของเราจริงๆ บ้าง

    ความสนุกสนานตั้งแต่เด็กสนุกมาก ผ่านไปหมด เหลือแต่ความจำ ซึ่งความจำ ถ้าไม่คิดถึงก็ไม่มีเรื่องนั้น ก็ไม่มีเลยในความจำของเรา ทุกวันก็ผ่านไปๆ หมดไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ ก็เพียงชั่วขณะที่เกิด แล้วก็หมด เพราะฉะนั้นถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จริงๆ แล้ว เราจะมีความสำคัญในขันธ์ไหน ในรูปขันธ์ เกิดแล้วก็ดับไป ในเวทนาขันธ์ ความรู้สึกเกิดแล้วก็ดับไป ในสัญญาความจำ ถ้าเราไม่จำเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ไม่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้เขาหมดไป ตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าสำคัญเหลือเกิน แต่พอไม่นึกถึง หายไปได้ยังไงเรื่องที่ว่าสำคัญ ไม่เห็นจะเดือดร้อนอีกต่อไป เพียงไม่คิดถึงเท่านั้น ก็หมดความสำคัญไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงชั่วขณะจิต ที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกทีละขณะๆ และตราบใดที่ยังอยู่ เราก็ไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นใครก็ตามแต่ จากโลกนี้ไปแล้วก็จะเป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้ จะต้องเกิดใหม่แล้วก็เป็นคนใหม่ทันที เพราะฉะนั้นความเป็นผ้าเช็ดธุลีก็คือว่า ไม่เดือดร้อน แล้วก็ไม่มีความสำคัญที่จะไปคิดเบียดเบียน หรือว่าจะไปโกรธ ไปเกลียด ไปชังใคร ซึ่งมีการกระทำซึ่งไม่ถูกใจเรา หรืออาจจะว่าไม่ดีต่อเราก็ได้ คือว่าไม่ว่าใครจะทำอะไร เราก็สามารถที่จะมีจิตใจที่สม่ำเสมอ แล้วก็ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อน นั่นคือความหมายของผ้าเช็ดธุลี

    ซึ่งผู้ที่ประกาศตนว่าท่านเป็นเสมือนผ้าเช็ดธุลี เดาได้ไหมว่าใคร แต่ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรม จะนึกไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ประกาศว่าท่านเป็นเสมือนผ้าเช็ดธุลีนั่นก็คือพระอัครสาวก ท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้เลิศในทางปัญญา นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเท่ากับท่านพระสารีบุตร คือปัญญาของท่านพระสารีบุตรมากทีเดียว เป็นอัครสาวก แต่ว่าที่เทียบกับพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่ได้แน่นอน บารมีที่บำเพ็ญมาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสารีบุตรนั้นก็ห่างไกลกัน

    สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ซึ่งเป็นผู้ยิ่งด้วยปัญญานั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ท่านพระสารีบุตรบำเพ็ญพระบารมี ๑ อสงไขยแสนกัปป์ แต่ว่าท่านเป็นผู้ที่ประกาศ บรรลือสีหนาทว่า ในความรู้สึกของท่าน ท่านเป็นเสมือนผ้าเช็ดธุลี และเราไม่มีปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตร และเราก็ไม่อยากจะเป็นผ้าเช็ดธุลี แต่ว่าถ้าเรามีปัญญาจริงๆ เราก็อยากจะเป็นผ้าเช็ดธุลีแน่ๆ คือสบาย ไม่หวั่นไหว ใครจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เราก็มีจิตที่สม่ำเสมอ เป็นมิตรกับเขาได้ ไม่มีศัตรูเลย ถ้าเราไม่เป็นศัตรูใคร ต่อให้คนนั้นเป็นศัตรูกับเรา เราก็ยังคงไม่มีศัตรูอยู่นั่นเอง เราไม่ได้เป็นศัตรูกับเขา

    ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์เรื่องเกี่ยวกับการทำบุญให้ทาน คือเป็นในลักษณะทำบุญให้ทานกับผู้ที่มีชีวิต ในศาสนาพุทธเรา ที่เราทำบุญให้ทานแล้วมีการกรวดน้ำนี้ถือว่าเป็นการให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว กับผู้ที่เป็นจิตวิญญาณคืออีกมิติหนึ่งของเราที่ต่างไปจากความจริงที่ชีวิตมนุษย์ที่เป็นอยู่ อยากจะเรียนถามว่าในที่นี้ จากประสบการณ์ของท่านอาจารย์ อาจารย์เชื่อไหมว่า สิ่งนี้มีจริง แล้วก็เมื่อเราให้ไปแล้ว เขาจะรับได้ไหม ขอเรียนถาม

    ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นเรื่องของเหตุผล แม้ว่าเราไม่สามารถที่จะเห็นด้วยตาของเราได้ เช่นนรกสวรรค์ ไม่มีใครเห็นหรอกเพราะว่าเราอยู่ในโลกมนุษย์ เราก็มีตาเพียงแค่จะเห็นโลกมนุษย์เท่านั้น แต่เราจะพิจารณาเหตุผลได้ว่า ระหว่างที่เราเป็นมนุษย์ เรามีกรรมคือการกระทำที่ดีบางทีไม่ดีบ้าง ผลของการกระทำนี้ต้องมี เมื่อการกระทำซึ่งเป็นเหตุมี ผลก็ต้องมี ถ้าเป็นผลของกรรมดี หลังจากที่ตายแล้วต้องเกิดได้แน่ๆ ผู้ที่ไม่เกิดก็คือผู้ที่เป็นพระอรหันต์

    แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่แล้วต้องเกิด พระชาติสุดท้ายพระผู้มีพระภาคเมื่อประสูติก็มีกิเลส ยังไม่ดับเพราะว่ายังไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาพร้อมที่จะตรัสรู้ เพราะฉะนั้นทุกคนซึ่งยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องเกิด แต่ว่าภพภูมิที่เกิด ไม่ใช่มีโลกนี้โลกเดียว ต้องเป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้นภพภูมิแบ่งเป็น สุคติภูมิคือภูมิที่ดี กับ ทุคติภูมิคือภูมิที่ไม่ดี ถ้าเป็นสุคติภูมิก็เป็นผลของกุศล ถ้าเป็นทุคติภูมิก็เป็นผลของอกุศล

    สำหรับทุคติภูมิ ก็มี ๔ ภูมิซึ่งเป็นภูมิใหญ่เป็นประเภทของภูมิ ได้แก่ นรก ๑ เปรต ๑ อสูรกาย ๑ สัตว์เดรัจฉาน ๑ สำหรับสัตว์เดรัจฉานเรามองเห็น เพราะว่าในโลกนี้มี แสดงให้เห็นว่า สัตว์ต้องมีจิตใจเพราะว่ามีโลภะ มีโทสะ มีเห็น มีได้ยิน ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า เพราะฉะนั้นสัตว์ก็ต้องเกิดจากกรรม แต่ว่าการเป็นสัตว์เป็นผลของอกุศลกรรม เพราะเหตุว่าไม่สามารถอบรมเจริญปัญญาได้ เราจะพูดจะคุยยังไง เราก็ยังพิจารณาในเหตุในผลได้ แต่เราจะไปนั่งสอนสัตว์ในเหตุในผล เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น นั่นเป็นผลของอกุศลกรรมซึ่งในชาติซึ่งเป็นสัตว์ไม่สามารถที่จะเจริญกุศล หรือว่าปรับสภาพของจิตจนกระทั่งพัฒนาให้เป็นกุศลได้ทุกประการเหมือนอย่างมนุษย์

    สำหรับนรก ต้องเป็นสิ่งที่มีแน่เพราะเหตุว่า เป็นภูมิที่ได้รับการทรมานอย่างมาก ซึ่งแม้แต่ในโลกมนุษย์ เราก็มองเห็น อย่างไฟไหม้ แล้วคนตายอยู่ในนั้นสักสองร้อยคน และถ้าในภูมินั้นเป็นผลของอกุศลกรรมนานกว่านั้น คือการที่เราจะถูกไฟ เราก็เคยใช้ไหม กระทะร้อนๆ น้ำมันร้อนๆ เราก็ถูกนิดถูกหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นผลของกรรมที่จะให้ผลนานกว่านั้น อาจจะเป็นชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง หรือว่าถ้านานกว่านั้น อีกสิบเดือน สิบปี เป็นสิ่งที่เป็นไปได้

    เพราะฉะนั้นถ้าเราเกิดในมนุษย์ เราก็ไม่เห็นนรก แต่ถ้าเกิดในนรกเราก็ไม่สงสัยเลยว่าภูมินี้เป็นอย่างนี้จริงๆ หรือว่าถูกทรมานต่างๆ ถ้าไปที่ตลาดคงจะเห็นเขาแล่ปลา ทุบหัว ยังมีได้ในโลกนี้เอง แต่ว่าเป็นนรกของปลาซะแล้ว เพราะว่าต้องไปอยู่บนเขียงแล้วก็ถูกแล่ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมที่จะต้องได้รับผลอย่างนั้น ไม่เลือก ไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะปลา มีคนหนึ่งปอกมะม่วง แล้วก็ฝานเนื้อไปเลย ไม่มีใครทำให้ แต่ว่าเมื่อกรรมจะให้ผล สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกรรมที่จะทำให้ได้รับความเจ็บปวด ขณะนั้นเราต้องทราบว่า ถ้าไม่ได้กระทำสิ่งนี้มา สิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้นกับเรา

    ทำไมบางคนมีร่างกายแข็งแรง แต่บางคนก็มีการปวดเจ็บป่วยไข้ต่างๆ บางคนก็หาย บางคนก็หายช้า บางคนก็หายเร็ว เป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้นถ้าเหตุคืออกุศลมีมากๆ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำอะไร เมื่อการกระทำอย่างนี้มี ผลของการกระทำเราก็เห็นอยู่ แม้แต่ในโลก เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งให้ผลมากกว่านี้ นานกว่านี้ ก็ย่อมมีเป็นไปได้นั่นก็คือในภูมินรก

    สำหรับภูมิเปรต ก็เป็นภูมิที่หิวกระหายมาก เต็มไปด้วยโลภะ ทำทุจริตกรรมมากเหลือเกิน ทรงแสดงไว้ว่า ทุจริตกรรมที่จะให้ผลเป็นเปรต ก็มีเรื่องที่เกี่ยวกับโลภะโกงกินต่างๆ พวกนี้ แล้วก็สำหรับสัตว์เดรัจฉาน นรก เปรต อสูรกายก็เป็นอีกภูมิหนึ่งซึ่งไม่มีความรื่นเริงเท่ากับภูมิมนุษย์ ที่เราเรียกว่า ผี แล้วเขาก็จะมาปรากฎให้บางคนเห็นในบางโอกาส ไม่ใช่ทั่วไป แต่ว่าจะเห็นได้ ภูมินั้นไม่มีโรงหนัง ไม่มีโรงละคร ไม่มีดิสโก้ ไม่มีอะไรหลายๆ อย่างซึ่งในภูมิมนุษย์ของเราเพียบพร้อมไป แต่ว่าภูมิมนุษย์ของเราก็เป็นสุคติภูมิที่เพียงพ้นจากอบายภูมิ ๔ แล้ว

    ก็ยังมีกุศลที่ประณีตมากกว่านั้นที่ทำให้เกิดในสวรรค์ ประณีตขึ้น ประณีตขึ้นอีกตามกำลังของกุศล เพราะฉะนั้นเวลาที่คนตายไป เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเขาเกิดที่ไหน เพราะฉะนั้นจึงมีการทำบุญ และอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ตายแล้ว ซึ่งเขาสามารถที่จะอนุโมทนาได้ อนุโมทนาหมายความว่ายินดีด้วยในกุศลที่เราทำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระหว่างที่ยังเป็นมนุษย์ ถ้าเราเห็นใครทำกุศล เรายินดีไหม ที่เขาใจดีให้ทาน และก็ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก คนป่วยเจ็บก็ไปดูแลไปรักษา คิดถึงอกเขาอกเรา พูดจาก็ทำให้คนนั้นสบายใจทางกายทางวาจา ใครทำอย่างงี้เราก็ยินดีกับเขาด้วยที่เขามีกุศลจิตอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเราตายไป แล้วก็ญาติพี่น้อง ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เราก็เกิดจิตอนุโมทนาคือยินดีด้วยที่คนนั้นเขามีจิตกุศลระลึกถึงญาติมิตร แล้วก็ทำบุญกรวดน้ำไปให้ ถ้าคนนั้นเกิดกุศลจิตอนุโมทนา เขาได้ผลของกุศลจิตของเขาที่เขาอนุโมทนา แต่ถ้าเขาไม่อนุโมทนา กุศลจิตไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรจะไปทำให้ผลเกิดขึ้นได้ เพราะว่าผลทั้งหลาย ก็คือจิตประเภทหนึ่งซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นเหตุทำให้ได้รับผลนั้น คือระหว่างที่มีชีวิต เราก็ยังไม่รู้เลยว่ารับผลของกรรมตอนไหน

    แต่ถ้าเราศึกษาธรรม เราจะทราบได้ว่า เรารับผลของกรรม ตอนเกิด เราเลือกไม่ได้ว่าจะเกิดที่ไหน แล้วแต่กรรม จะทำให้เกิดเป็นหญิง หรือว่าจะทำให้เกิดเป็นชาย จะทำให้มีมารดาบิดาครอบครัวสกุลพี่น้องเพื่อนฝูงยังไง นี่ก็คือกรรมทำให้เกิด และระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราไม่รู้เลยว่า ขณะนี้เรารับผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กรรมสร้างทางของกรรมให้เรารับผล คือ เห็น ขณะที่เห็นสิ่งที่สวยๆ งามๆ เป็นผลของกุศล ขณะที่ได้ยินเสียงที่น่าฟังเป็นผลของกุศล ขณะที่ได้กลิ่นหอมกลิ่นดีๆ เป็นผลของกุศล ขณะที่ลิ้มรสอร่อยเป็นผลของกุศล ขณะที่กระทบสัมผัสสิ่งที่สบายเป็นผลของกุศล เพราะฉะนั้น เราไม่รู้เลยนี้กรรมทำให้เกิด และกรรมก็ทำให้มีจักขุปสาท โสตปสาท ซึ่งเหมือนกับมันมีมาเอง ความจริงมันไม่ใช่มีมาเอง กรรมทำให้รูปนี้เกิดขึ้น เพราะที่ตัวของเรา มีรูปที่เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอุตุความเย็นความร้อนอุณหภูมิต่างๆ ในร่างกายก็มี รูปที่เกิดจากอาหารที่เรารับประทานอาหารบางชนิดก็ให้โทษ บางชนิดก็เป็นประโยชน์

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ภพภูมิที่เกิดมีต่างกัน และก็ภูมิที่เขาสามารถจะรู้ และอนุโมทนาได้ เขาก็อนุโมทนา แต่ให้รู้ว่าเขาก็เหมือนเรา ถ้าเป็นมนุษย์ และเราไม่อนุโมทนา คนที่ตายไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะอนุโมทนาในกุศลที่เราทำ แต่ถ้าเราเป็นคนที่อนุโมทนาเสมอในกุศลที่คนอื่นทำ พอเราได้ยินว่าใครทำกุศล เราก็อนุโมทนาถึงเราจะไปเกิดที่ไหน เราก็อนุโมทนา ขณะอนุโมทนาก็เป็นกุศลจิตของเรา ไม่ใช่แบบไปรษณีย์ที่ส่งของไปให้ ต้องเป็นกุศลของคนนั้นเอง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 14
    23 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ