พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 667


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๖๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ การอบรมก็คือการได้ยินได้ฟังมากๆ ไม่มีใครจะน้อมใจไปในทางกุศล น้อมใจไปในลักษณะของสภาพธรรมโดยคิดเอง ไม่ได้ แต่จากการฟังทีละเล็กทีละน้อยทีละคำจะเปลี่ยนจากการนึกถึงอารมณ์อื่นจนเป็นอุปนิสัย ก็จะมาเป็นอุปนิสัยที่จะคิดถึงความจริงที่ได้ฟัง อย่างแข็งจริงๆ ตรงนี้ พอพูดถึงอย่างอื่นแข็งปรากฏ หรือไม่ ไม่ปรากฎหายไปแล้วในสังสารวัฏฏ์ไม่กลับมาอีก และถ้ารู้ความจริงว่าเป็นอย่างนี้ทั้งหมดไม่เว้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็จะค่อยๆ น้อมไปในการที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกจนกว่าจะถึงกาลที่สัมปชัญญะเจริญขึ้นตามลำดับพร้อมสติ จึงเป็นสติสัมปชัญญะที่ไม่ใช่เพียงคิดเรื่องธรรม หรือว่าเข้าใจเรื่องธรรม แต่มีธรรมปรากฏที่มีลักษณะนั้น ต่อจากนั้นก็แล้วแต่ว่าจะเป็นปัญญาระดับไหน

    ผู้ฟัง คิดว่าแข็งเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ คิด และแข็งปรากฏ หรือไม่

    ผู้ฟัง คิดว่าแข็งเป็นธรรม แข็งปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ที่แข็งกำลังปรากฏมีลักษณะแข็งปรากฏ เป็นธรรมต้องพูด หรือต้องคิด หรือไม่ ลักษณะแข็งกำลังปรากฏ ความจริงของสังสารวัฏฏ์ ชั่วขณะที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง แข็งปรากฏเป็นธรรมกับคิดว่าแข็งปรากฏเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ อย่างไร “คิดว่า”

    ผู้ฟัง คือแข็งมีจริง

    ท่านอาจารย์ กำลังปรากฏ หรือไม่

    ผู้ฟัง ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะจะรู้อย่างอื่นได้ไหม?

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ พอพูดถึงอย่างอื่น แข็งปรากฏ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ปรากฏแล้ว นี่คือไม่มีอีกในสังสารวัฏฏ์ แข็งเมื่อสักครู่นี้หายไปแล้วไม่กลับมาอีกแล้ว ทุกอย่างก็เป็นอย่างนี้ ฟังเพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก จะไปคิดถึงว่าสติปัฏฐานเมื่อไรจะเกิดแล้วจะรู้แจ้งนิพพานเมื่อไร นั่นเป็นไปไม่ได้ จนกว่าความเข้าใจจะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง และความไม่รู้ สะสมไปเรื่อยๆ สะสมความเห็นถูก

    ผู้ฟัง ตอนแข็งปรากฏยังไม่ได้คิดว่าแข็งเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้ไหม ไม่เป็น “อุปนิสสยโคจร” ทั้งๆ ที่มีก็ไม่รู้ตรงนั้นเพราะฟังไม่พอ เข้าใจไม่พอจึงคิดถึงอย่างอื่นตลอด เห็นไหมแข็งปรากฏก็ไม่ได้รู้อะไร แล้วก็หมดไป แข็งไม่ใช่ ”อุปนิพันธโคจร” เพราะว่าไม่ใช่กำลังรู้แข็งด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะใดที่รู้แข็ง แล้วก็รู้ว่าลักษณะนั้นปรากฏจริงๆ ไม่ต้องคิดอะไรมีจริงๆ แม้แต่เป็นธรรมก็ไม่ต้องพูด จะต้องพูดทำไมก็มีจริงแล้วก็เป็นธรรมด้วยแต่ยังไม่ชินกับความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ผ่านไปจนกว่ารู้ทั่วหมด หมดความสงสัย”อสัมโมหะสัมปชัญญะ” ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ถ้ารู้อย่างนี้ถึงจะเป็นความเห็นถูกใช่ไหม?

    ท่านอาจารย์ จริง หรือไม่

    ผู้ฟัง คือถามอีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถามทำไมก็รู้อยู่แล้ว

    ผู้ฟัง เพราะว่ายังไม่มั่นคง

    ท่านอาจารย์ ไม่มั่นคง รู้บ่อยๆ ก็มั่นคง

    ผู้ฟัง แต่ละขณะที่สัมผัส ที่รู้สึกว่าเดี๋ยวก็เป็นอนัตตา แล้วก็มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาให้สนใจในสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นมาเท่านั้น ถ้าไปคิดถึงเรื่องที่กำลังติดข้องเป็นปัญญา หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ปัญญา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ก็มีคนที่เขาได้พูดถึงการสนทนา เขาก็ยกคำที่ได้ยินได้ฟังเขาบอกว่า “บางคนกล่าวว่าเวลาที่อะไรเกิดขึ้นก็ให้รู้ แม้แต่อกุศล” อีกคนก็บอก “ถูก หรืออย่างนั้นเขาควรที่จะมีปัญญาที่ไม่มีอกุศล” พยายามที่จะหาทางที่จะไม่เป็นอกุศล นี่คือการฟังธรรมเผิน เพราะเหตุว่าอกุศลเป็นธรรม หรือไม่ เป็น เมื่ออกุศลเกิดขณะนั้นเป็นอกุศลปรากฏ ควรรู้ควรเข้าใจอย่างที่พูดว่าอกุศลก็เป็นธรรม แต่ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ เวลาอกุศลเกิดก็มีตัวตนที่พยายามที่จะไม่ให้เป็นอกุศล แต่ขณะนั้นบางคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการเป็นตัวตนที่พยายามไม่ให้เป็นอกุศล แต่สามารถที่จะไม่ยึดถืออกุศลว่าเป็นเราได้ หรือไม่

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าสิ่งนั้นจะสำเร็จ พยายามที่จะไม่ให้เกิดอกุศล เพราะเหตุว่าวิริยะที่ถูกก็คือเพียรที่จะไม่ให้อกุศลที่เกิดแล้ว เกิดอีก หรือเกิดต่อไป แต่ต้องเข้าใจความหมายว่าเพียรนั้นคืออะไร เป็นเรา หรือไม่ และเพียรระดับไหน ถ้าเพียรที่จะทำให้อกุศลไม่เกิดแล้วพอใจว่าอกุศลไม่เกิด อย่างนั้นเป็นความเพียรที่ถูกต้อง หรือไม่ หรือว่าเป็นความเพียรที่จะเข้าใจความจริงว่าขณะนั้นเป็นธรรมที่เกิดแล้ว เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาโดยละเอียด ถ้าคนนั้นพากเพียรที่จะไม่ให้มีอกุศลด้วยความเป็นตัวตนก็จะเป็นตัวตนตลอดเวลา แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเห็นประโยชน์ว่า ไม่สามารถที่จะบังคับสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น แม้อกุศลเกิดแล้วคิดที่จะไม่ให้อกุศลเกิดก็เป็นธรรม และอกุศลจะเกิดต่อก็เป็นธรรม หรืออกุศลเมื่อคิดแล้วไม่เกิดต่อก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือมีความเห็นที่ถูกต้องว่า สภาพธรรมทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ได้มีว่าอย่างนี้ไม่ต้องรู้ ให้ไปทำอย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

    เพราะฉะนั้นความละเอียดของธรรมคือแล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัญญาระดับไหน แต่ว่าที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่จะดับอกุศลไม่ใช่เพียงระงับอกุศล คือ ให้มีความเห็นถูกในขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ เพราะฉะนั้นระหว่างคิดที่จะไม่มีอกุศลไม่ให้อกุศลเกิดกับการเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นธรรมอย่างไหนมีประโยชน์กว่า ก็ต้องเป็นเรื่องของการไตร่ตรองด้วยความเข้าใจว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นธรรม มิฉะนั้นด้วยความเป็นตัวตนก็บอกว่าไม่มีอกุศลก็ต้องดี แต่ขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เพียงแต่ว่าให้เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นอกุศล สิ่งนี้เป็นกุศลค่อยๆ เพิ่มละคลาย ค่อยๆ เพิ่มกุศลจากตัวกำลังให้มีที่อยู่ที่อาศัย เราก็สามารถไปถึงปัญญาที่เข้าใจในสภาพที่ปรากฏได้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าถูกก็ถูกแม้เล็กๆ น้อยๆ แม้นิดๆ หน่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพราะว่าใครจะห้ามอกุศลได้ ไม่มีทาง แต่ว่าสามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก่อนอื่นคือรู้ว่าเป็นธรรมแล้วธรรมก็จะปรากฏตามความเป็นจริงรวมทั้งกำลังของอกุศลนั้นตามลำดับด้วย ไม่ว่าจะเป็นอกุศลที่มีกำลังระดับใด ถ้าอบรมปัญญาก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง บางครั้งเราอาจหลงลืมสติว่าสิ่งนี้นะเป็นโลภะแต่จริงๆ เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ควรที่จะไปติดข้องกับการเกิดขึ้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ควรนี่ห้ามไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะเป็นอนัตตา ขณะนั้นอะไรเกิดแล้วเห็นไหม ความคิดว่า “ควร” เกิดแล้วแค่ความคิดเกิดแล้วดับแล้วด้วย เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรมก็ต้องค่อยๆ อาศัยกาลเวลา จาก “อุปนิสสยโคจร” จนถึง “อารักขโคจร” จนถึง “อุปนิพันธ” เร่งรัด หรือพยายามที่จะให้ถึงขั้นหนึ่งขั้นใดไม่ได้

    ผู้ฟัง ต้องเพียร ต้องฟัง และฟังให้เข้าใจด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพียรก็เป็นธรรมที่ลืมไม่ได้ ประโยชน์ที่สูงสุดจากปุถุชนสู่ความเป็นพระอริยบุคคลก็คือมีความรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าเป็นธรรมในขณะที่ธรรมนั้นปรากฏ เพราะลักษณะหลากหลายจะไม่เป็นธรรมได้อย่างไร เกิดขึ้นโดยไม่มีใครตระเตรียม หรือไปคิดให้เกิดขึ้น เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับหมดไปด้วย

    อ.กุลวิไล พูดถึงกัลยาณมิตร ท่านอาจารย์เคยอธิบายให้ความเข้าใจว่า “มิตรที่ดี มิตรที่ทำประโยชน์ให้ก็ยังสู้มิตรที่เป็นผู้ให้ความเห็นถูกไม่ได้” เพราะว่า”กัลยาณมิตร” มิตรที่ดีจริงๆ จะเป็นผู้ที่ให้ความเห็นถูกกับเราได้ และพูดถึงเรื่องของอกุศลธรรม ผู้ที่รู้อกุศลตามความเป็นจริงเป็นผู้ที่ประเสริฐ แต่เวลาที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ตามความเป็นจริงก็เป็นผู้ที่เลวทราม ทำให้นึกถึงอาหารของอวิชชาเมื่อวานนี้ท่านอาจารย์บอกว่า “นิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของอวิชชา” เราจะรู้ หรือไม่ว่าชีวิตประจำวันถ้าเราเดือดร้อนกับอกุศลธรรมที่เกิดแล้ว ขณะนั้นกำลังให้อาหารของอวิชชา เพราะอาหารในที่นี้คือปัจจัยให้อวิชชาเกิดขึ้น

    กราบเรียนท่านอาจารย์ มีผู้เขียนมาถามถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ยินเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คงจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วได้ยินเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ แต่เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ถึงความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา ถึงได้ฟังแล้วไม่หายสงสัย แล้วก็ยังคงสงสัยจนกว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่รู้ดีกว่าไม่รู้ ใช่ไหม เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเรื่อยๆ ชาติหน้าก็มี ชาติต่อๆ ก็มี ถ้าไม่เริ่มรู้ไม่เริ่มเข้าใจก็ไม่มีการที่จะสามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาด้วย

    เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพราะเหตุว่าในบรรดาธรรมทั้งหมดมีในความมืดสนิท ไม่ปรากฏ จิตมี เจตสิกมี รูปอื่นๆ ก็มีแต่ไม่ได้ปรากฏเพราะอยู่ในความมืด พูดถึงจิตขณะนี้ไม่มีแสงสว่างอะไรที่จะไปเห็นจิตได้เพราะว่าไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสันแต่เป็นสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นรูปเดียวที่ปรากฏก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ในขณะนี้ และความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งหมดก็คือ มีความเห็นถูกว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้มี แต่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสิ่งที่เกิดปรากฏเมื่อกระทบกับรูปที่สามารถที่จะกระทบได้ ถ้ากระทบกับรูปอื่นไม่สามารถที่จะมีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นได้ แต่ว่าขณะนี้ชั่วหนึ่งขณะในสังสารวัฏฏ์ ก็มีการเห็นซึ่งขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ความจริงก็คือว่าเป็นธาตุ หรือเป็นธรรมที่มีจริง แค่นี้พอที่จะลบความคิดเรื่องคน เรื่องสัตว์ เรื่องสิ่งต่างๆ ที่จำไว้จากสิ่งที่ปรากฏทางตาออกไปได้ทีละเล็กทีละน้อยไหม?

    เมื่อเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ทำไมปรากฏได้ ปรากฏได้เมื่อจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงปรากฏให้เห็น แต่ก่อนที่สิ่งนี้จะปรากฏกับจิต สิ่งนี้ต้องเกิด จักขุประสาทรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งนี้ก็ต้องเกิด แล้วเมื่อกระทบกันก็เป็นปัจจัยให้จิตเป็นธาตุรู้เพราะการกระทบกันของจักขุประสาท และสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นปัจจัยให้นามธาตุไม่ใช่แต่เฉพาะจิตเท่านั้น แต่มีเจตสิกที่เกิดพร้อมจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสิ่งที่ปรากฏ ความรวดเร็วก็คือว่าใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่ามีจิตกี่ขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นนี่คือความละเอียดของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน

    เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นความละเอียดอย่างนี้สามารถที่จะเข้าใจความจริงไหมว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นธาตุซึ่งกระทบจักขุประสาทแล้วปรากฏ ต้องพิจารณาคำที่ได้ยินถูกต้องไหม ถูกไหม แล้วไม่ลืมด้วย ถ้าถูกแล้วก็ลืมแล้วก็ไปคิดอย่างอื่นอีกก็ไม่เข้าใจอีก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังกว่าจะจรดเยื่อในกระดูก จำไว้ในหทัยอยู่ที่ใจพอที่เมื่อเห็นแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่การศึกษาธรรมยาวๆ เป็นเรื่องมากๆ แต่ทีละหนึ่งคำ ให้เข้าใจคำนั้นจริงๆ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทุกคนจะไม่คิดถึงความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะปรากฏเหมือนตั้งขึ้นพร้อมนิมิตตะ รูปร่างสัณฐานทันที มีใครบ้างที่ไม่เห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน มีเห็นจริงแต่เห็นอะไร ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นธาตุซึ่งเกิดปรากฏแล้วดับไป เพราะสิ่งนั้นเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ซ้ำกันจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตะ เป็นสัณฐานของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรสามารถที่จะรู้ความต่างของสิ่งที่ปรากฏ ทะเลกับฟ้า ภูเขากับต้นไม้ นกกับไก่ หรืออะไรก็ตามแต่ทั้งหมดที่จะไปจำไว้ แต่ทั้งหมดก็คือเป็นเพียงแต่สิ่งที่สามารถเพียงปรากฏให้เห็นได้ แต่เพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็วจึงตั้งขึ้นพร้อมนิมิตทำให้จิตซึ่งเป็นธาตุที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ มีสัญญาเจตสิกเกิดพร้อมกันจำทันทีในนิมิตตะ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมถึงสามารถจะรู้ได้ ว่าถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะมีนิมิตไหม จะมีรูปร่างสัณฐานได้ไหม

    เพราะฉะนั้นความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะเป็นนิมิตที่เราจำว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่า ไม่ว่าเราจะจำว่าเป็นอะไรก็ตามแต่ เดี๋ยวนี้ก็ยังจำว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เพิ่มความเข้าใจถูกว่าสิ่งที่ปรากฏได้จริงๆ คือธรรม หรือธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถกระทบจักขุประสาทได้ เพราะฉะนั้นนี่คือธรรม นี่คือความจริงของสิ่งที่ปรากฏจนกว่าจะเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น เพื่อละคลายความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏจะมีความพอใจติดข้องในสิ่งนั้นได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะปรากฏทางตาเป็นรูปร่างต่างๆ ปรากฏเป็นเสียง ปรากฏเป็นกลิ่น ปรากฏเป็นรส ปรากฏแม้แต่ว่าจะเย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหว ก็เป็นที่ตั้งของความติดข้องความต้องการในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ แล้วก็ละความยึดถือติดข้องว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่ว่าอะไรๆ ขณะนี้เหมือนเที่ยงเพราะว่าไม่ปรากฏการเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงแล้วละความไม่รู้ ก็ไม่ใช่จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และคิดว่าจะไปทำอย่างอื่นก็สามารถที่จะละความไม่รู้ และความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏได้ ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยแล้วก็ไม่เผิน และก็ไม่ข้าม แต่ให้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังอย่างมั่นคง

    ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นด้วย พิสูจน์ตามความเป็นจริง การศึกษาธรรมเริ่มจากการรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม เมื่อพูดถึงคำว่าอะไรก็กำลังรู้ และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นธรรมนั้นๆ มีผู้ถาม บอกว่าในพระไตรปิฏกก็มีข้อความซ้ำมากแล้วก็รู้แล้วทั้งนั้นเช่น พอพูดถึงทางตาก็จักขุวิญญาณ รูปารมณ์เป็นของใคร หรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ พูดแล้วแล้วก็พูดอีกเหมือนเดิมข้ามได้ไหม คนนั้นก็ถามว่าอย่างนี้ ข้ามได้ไหม แต่ว่าผู้ฟังในครั้งอดีตกับผู้ฟังในครั้งนี้มีความต่างกันในการเข้าใจพระธรรม คนในครั้งนั้นไม่มีหนังสือ แต่ว่าได้มีโอกาสที่ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายกล่าวเตือนภิกษุว่าให้ฟังสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง ไม่ใช่ให้ไปคิดเรื่องอื่น หรือว่าถ้าเป็นพราหมณ์ หรือเป็นใครก็ตามที่ไปเฝ้าก็ให้บุคคลนั้นได้ฟัง ดูกรพราหมณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่บุคคลไหนก็ตาม เพื่อเตือนว่ากำลังจะได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงเห็น คนนั้นกำลังมีเห็นเหมือนทุกคนขณะนี้กำลังเห็น เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือคนในครั้งนั้นสามารถฟังเข้าใจลักษณะที่กำลังเห็น และขณะที่พูดถึงเสียง เสียงปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะที่เป็นเสียง และก็ฟังเรื่องของเสียง เพราะฉะนั้นถึงแม้จะพูดซ้ำสักเท่าไรก็ไม่พ้นสิ่งซึ่งกำลังปรากฏ ทำให้มีปัจจัยที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วปรากฏแล้วก็ดับไป

    อย่างเวลาที่พูดถึงเสียง มีสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม คนยุคนั้นกับคนยุคนี้ความเข้าใจต่างกันไหม พอพูดถึงเสียงคนครั้งนั้นมีเสียงกำลังปรากฏให้เข้าใจ แต่คนยุคนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างคือเห็นก็มี คิดก็มี อะไรๆ ก็มี ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏ แต่ถ้ารู้ลักษณะของเสียงเท่านั้น ขณะนั้น อย่างอื่นมีในที่นั้นไม่ได้ สภาพธรรมต้องปรากฏทีละอย่าง เพราะว่าลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมแต่ละอย่างต่างกันจะปรากฏพร้อมกันได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นเสียง สิ่งนั้นเป็นกลิ่น แล้วจะให้ปรากฏพร้อมกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องละเอียดแล้วรู้จุดประสงค์ว่าเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องการที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเมื่อไร ว่าเป็นเพียงธาตุเมื่อปรากฏเกิดแล้วก็ดับไป แต่อาศัยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ รู้ว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมีสภาพธรรมที่ปรากฏโดยไม่รู้ความจริง และเกิดมาโดยไม่รู้ความจริง ก็พูด คิด ทำ ด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่เป็นจริงในขณะนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ไปจนถึงวันตายก็จากโลกนี้ไป แล้วจะเอาความรู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในแต่ละชาติมาจากไหน ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม ฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วจะไม่รู้ได้อย่างไร ถ้ามีความอดทนแล้วก็เห็นประโยชน์ที่จะค่อยๆ เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ไม่ได้ทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก คนนั้นจะไม่ใช่พระบรมศาสดา จะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเหตุว่าไม่ได้ทำให้คนอื่นมีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นความเข้าใจของผู้นั้นเอง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นในขณะนี้ก็กำลังฟังคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสจากการที่ทรงตรัสรู้ในสิ่งกำลังมี เป็นคำจริง เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็ไม่ละเลยที่จะฟังต่อไป เพราะเหตุว่าถ้าวันนี้ฟังแล้วเข้าใจได้แค่นี้ ต่อไปฟังอีกก็สามารถที่จะไม่ลืมสิ่งที่กำลังกล่าวถึง เช่น เห็น หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง หรือได้ยิน หรือว่าคิดนึก ฟังเมื่อไรก็อย่างนี้ แต่ว่าอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะเข้าใจอย่างอื่น หรือว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในเมื่อสิ่งอื่นยังไม่มาถึง ยังไม่มี ยังไม่ปรากฏ และสิ่งที่หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก มีแต่สิ่งที่เป็นความจริงซึ่งเป็นสัจธรรมซึ่งสามารถรู้ได้แน่นอน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    24 ธ.ค. 2566