พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 698


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๙๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ได้ยินก็เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง จิตกำลังเห็นขณะนี้ต้องอาศัยจักขุประสาทรูป ถ้าไม่มีตาที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏจิตเห็นก็เกิดไม่ได้ และขณะที่ได้ยินก็ต้องมีเสียง และจิตต้องอาศัยโสตประสาทรูปคือรูปที่สามารถกระทบเสียงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ขณะนี้ได้ยิน กำลังได้ยิน และก็มีเสียงที่กำลังได้ยิน เสียงปรากฏเกิดขึ้นเพราะจิตได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้นก็คือชีวิตประจำวันเท่านั้นที่จะรู้ได้ แต่ที่ทรงแสดงละเอียดมาก ทุกขณะจิตว่าขณะนั้นมีสภาพธรรมซึ่งมีสภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วยว่า กำลังรู้อะไรทางไหน อะไรก็ตาม ทำกิจต่างๆ ก็เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่าจิตไม่ใช่ของเราไม่ใช่เรา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ และแม้จิตจะเป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้รู้อย่างนี้ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

    ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจว่า “ธรรมเป็นอนัตตา” ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าศึกษามากจะเข้าใจความละเอียดมากขึ้นก็เห็นความเป็นอนัตตา หรือเข้าใจความเป็นอนัตตาพอที่จะทำให้จิต ซึ่งทันทีที่ได้ฟังเรื่องจิตประเภทไหนก็กำลังรู้ลักษณะของจิตที่กำลังมีที่ปรากฏในขณะนั้น เช่นพูดเรื่องเห็น เมื่อไรจะรู้ที่เห็น เข้าใจเห็นซึ่งไม่ใช่ไปคิดถึงเสียง ไม่ใช่ไปคิดถึงเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น พูดถึงอะไรก็มีสิ่งนั้นปรากฏให้เข้าใจ จากการไม่เข้าใจจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้ววันนึงก็ไม่ใช่มีแต่เห็น ใช่ไหม ได้ยิน เวลาพูดถึงได้ยินให้ไปรู้ที่เห็น หรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะว่าได้ยินมีแต่ว่าไม่รู้สภาพที่ได้ยินว่าขณะนั้นไม่เคยรู้ ไม่เคยมีใครมาบอกให้เข้าใจความจริงของได้ยินว่าได้ยินคือขณะที่เกิดรู้เสียง หรือว่ามีเสียงปรากฏให้รู้

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่เสียงปรากฏต้องมีสภาพที่ได้ยินเสียงเป็นธาตุรู้ที่ขณะนั้นสามารถรู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏแต่ละเสียงเพราะได้ยินก็ดับ เสียงก็ดับแล้วก็มีได้ยินอีก และก็เสียงใหม่ไม่ใช่เสียงเก่าก็เป็นการรู้เฉพาะเสียงที่ปรากฏในขณะนั้นแต่ละเสียง จนกว่าจะเริ่มเข้าใจว่าเสียงก็หมดไปแล้ว ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็หมดไปแล้วก็ลืมที่จะรู้ที่ได้ยินซึ่งขณะนั้นมีเสียงแล้วก็ไม่มี แล้วได้ยินเองพอเสียงดับไปจะให้ได้ยินเสียงนั้นต่อไปอีกได้ไหม ก็ไม่ได้

    นี่คือการรู้ประโยชน์ของการที่รู้ว่าปัญญาสามารถที่จะเข้าใจอะไรได้ระดับไหน ถ้ามีการศึกษาเรื่องละเอียดขึ้นก็เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่เรา ความเป็นธรรมของทุกสิ่งทุกอย่าง โลภะความติดข้องเกิดขึ้น อโลภะตรงกันข้าม ไม่ติดข้อง แต่ว่าใคร เวลาโลภะติดข้องเกิดก็เป็นเราติดข้องซึ่งความจริงไม่ใช่ เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ฟังเรื่องทุกอย่างที่มีจริงๆ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏได้จนกว่าจะละความเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    อ.คำปั่น กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก จุดประสงค์สำคัญของการฟังพระธรรมก็คือเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ จริงๆ แล้วสภาพธรรมก็มีจริงทุกขณะ เป็นธรรมทุกขณะ แต่ที่ปิดบังไม่ให้รู้ความจริงของสภาพธรรมก็คือโมหะ หรืออวิชชาความไม่รู้นั่นเอง จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็จะค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ไปตามระดับขั้นของปัญญา

    ปัญญาเท่านั้นที่จะละคลายอวิชชาความไม่รู้ให้เป็นไปตามระดับขั้นของปัญญา สำหรับในเรื่องของชื่อ หรือเรื่องราวของสภาพธรรมนั้น พยัญชนะ หรือว่าคำแต่ละคำนั้น ที่ได้ฟังได้ศึกษาก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีคนกล่าวว่าพูดเรื่องนามธรรม และรูปธรรมซ้ำซาก เพื่ออะไร ทำไมต้องพูดแล้วพูดอีก เพราะเหตุว่าเห็นก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา และไม่รู้ความจริงด้วยว่า แม้แต่เห็นก็เกิดเองไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาทจิตเห็นจะเกิดไม่ได้ เพียงแค่นี้เห็นก็เป็นธรรมแล้ว ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทุกๆ ขณะต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาทแล้วจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้จึงปรากฏให้เห็น

    นี่คือสิ่งซึ่งฟังไปแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่ว่าพูดซ้ำซากแต่ว่ารู้ หรือยัง พูดเรื่องเห็นแต่ไม่รู้ พูดเพื่อให้รู้แล้วรู้ หรือยัง ถ้ายังไม่รู้ควรพูดอีกไหม เพราะฉะนั้นพูดเรื่องได้ยินไม่รู้ว่าได้ยินเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นขณะนี้เอง ที่เสียงปรากฏ มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียงแต่ก็ไม่เคยเข้าใจว่า “เสียงเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้สำหรับจิตที่เกิดขึ้นได้ยิน” จะมีจิตเกิดขึ้นได้ยินโดยไม่มีเสียงปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเวลาเสียงปรากฏก็ไม่เคยรู้ว่าต้องมีธรรม หรือธาตุที่สามารถกำลังได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นจึงปรากฏว่าเป็นเสียงนี้ เสียงนั้นเสียงเดียว ไม่ใช่เสียงอื่น แต่ละเสียง แต่ละเสียงขณะนั้นก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นกำลังได้ยินเสียง เป็นธาตุรู้ที่เกิดได้ยินเสียง หรือไม่ขณะนี้ หรือเป็นเรา ไม่เคยรู้ความจริงของได้ยิน และเสียงจึงต้องพูดเรื่องได้ยินกับเสียงจนกว่าสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าไม่ใช่เรา เสียงก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ได้ยินก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเพียงไม่มีเสียงจิตนี้เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตแต่ละขณะต้องอาศัยปัจจัยธรรมที่เกื้อกูลสนับสนุนทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป จะเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสภาพที่ปรุงแต่งอาศัยเป็นปัจจัยไม่ได้

    ธรรมดาง่ายๆ ไม่มีเสียง ได้ยินเกิดได้ไหม ไม่ได้ แต่ว่าขณะนี้กำลังได้ยิน รู้จักได้ยิน หรือยัง ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นได้ยินเกิดไปตลอดชีวิตก็ไม่รู้จักได้ยิน เห็นเกิดขึ้นดับไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตก็ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นจะรู้อะไรที่มีจริงๆ นอกจากขณะนี้ซึ่งกำลังเป็นธรรม เพราะฉะนั้นคนที่ตรงก็ต้องรู้ว่า เมื่อได้ยินธรรมแล้วไม่ใช่ว่าจะรู้ และเข้าใจสภาพนั้นได้ทันที แต่แม้ว่าสภาพธรรมนั้นกำลังปรากฏจริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ขณะนี้มีเห็น ฟังเรื่องเห็น คิดเรื่องอื่น หรือไม่ ถ้าคิดเรื่องอื่นจะเข้าใจเห็น และคำที่กำลังพูดเรื่องเห็นที่กำลังเห็น หรือไม่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่กำลังฟังจะเข้าใจได้ต้องเป็นผู้ที่มนสิการใส่ใจในสิ่งที่ได้ฟัง บางคนฟังไปคุยไป ขณะที่กำลังคิด หรือพูดในขณะนั้นไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยินเลย

    เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่าขณะใดไม่ได้ฟังด้วยความเคารพในความจริงในสัจจะซึ่งคนอื่นจะแสดงความจริงนี้ไม่ได้นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่ว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ เดี๋ยวมี เดี๋ยวมี ก็ไม่ใช่ ยากแสนยากที่จะมีการตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งเป็นปกติ แต่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้บำเพ็ญบารมีพอที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอีกไม่นานพระธรรมก็อันตรธาน

    แต่จริงๆ แล้วแม้ขณะนี้ถ้าไม่มีใครเข้าใจพระธรรมโดยถ่องแท้จริงๆ เพียงแต่คิดว่าฟังคิดเองก็เข้าใจได้ พระธรรมก็อันตรธานจากความเข้าใจของบุคคลนั้น เพราะว่าความคิดของเขาเรื่องสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยถ่องแท้โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นพระธรรมก็ค่อยๆ ลบเลือนอันตรธานไปเมื่อมีผู้ที่อ่าน หรือฟังแล้วก็คิดเอง แต่ต้องเป็นเรื่องที่จะต้องเป็นผู้ที่ตรง และก็จริงใจที่จะรักษาพระธรรมซึ่งยากที่จะรู้ได้ด้วยความเข้าใจของแต่ละคนซึ่งตรงต่อสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซ้ำซากอีกแล้ว ใช่ไหม หรือว่าต้องซ้ำจนกว่าจะรู้

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์พูดถึงฟังด้วยความเคารพก็คือความตั้งใจฟังนั่นเอง และไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่ต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่เราฟัง และสิ่งที่เราได้ยินก็ไม่พ้นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้นี่เอง เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจ และพิสูจน์ตามได้

    ท่านอาจารย์ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเห็นค่าของพระธรรมแค่ไหน ใช่ไหม กำลังมีเสียงที่จะทำให้เข้าใจธรรมแต่อย่างอื่นสำคัญกว่า เห็นค่าของคำ และความหมายที่มีจริงที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจะเหมือนกันไม่ได้ แต่พระธรรมก็ทรงอนุเคราะห์โดยละเอียดยิ่ง ทั้งพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรมเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมซึ่งหลากหลายมากที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่ไม่ใช่กุศลอกุศลก็มี แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าขณะที่หนูกำลังฟังท่านอาจารย์วิชัยได้กล่าวเมื่อสักครู่ถึงเรื่องจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ ก็ทำให้เหมือนกับว่าคล้อยตาม และถ้าท่านอาจารย์ได้กล่าวต่อถ้าฟังอีกนิดก็คงได้เข้าถึงธรรมได้จริงๆ ตรงนี้รู้สึกสำคัญจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ฟังจักขุวิญญาณต้องแปลไหม กับเห็น

    ผู้ฟัง หนูมีข้อสงสัยว่าขณะที่เห็น จิตเกิดขึ้นเห็น ๑ ขณะแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนั้นก็เป็น

    ท่านอาจารย์ ขอโทษ เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น ต้องรู้ว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมากจนลวงให้เห็นเหมือนกับว่าไม่ได้ดับไป แต่ความจริงเป็นจิตหลายประเภทซึ่งเกิดดับสืบต่อกันโดยใครก็บังคับให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่ทีนี้ต้องเข้าใจว่าจิตเกิดขึ้นเห็น เพียงเห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น เร็วแค่ไหน สิ่งนั้นดับแล้ว ขณะนี้กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ นั่นคือจิตเห็น เพียงเห็น

    ผู้ฟัง แต่เห็นปุ๊บก็คิดแล้ว ไม่ได้เพียงเห็นว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิดไม่ใช่เห็น การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากทำให้ค่อยๆ เข้าใจจิตที่สามารถจะเข้าใจได้ เช่น เห็นไม่ใช่คิด

    ผู้ฟัง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตรงนี้ควรจะมีการพิจารณาให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ใครจะทำอะไร

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วทำอะไรได้ เกิดแล้วดับแล้ว

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็เข้าใจในขณะที่กำลังฟัง ฟังเข้าใจ เข้าใจขึ้น และก็เข้าใจขึ้น เพราะขณะนี้จิตก็เกิดดับโดยยังไม่รู้ความจริงว่ากำลังเกิดดับ ถ้าเกิดดับจริงปัญญาจะรู้อย่างอื่นได้ไหม ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่ต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่ใคร

    ผู้ฟัง จากการฟังท่านอาจารย์ก็ให้สนใจสภาพธรรมขณะนี้ แต่ว่าจากพระสูตรเมื่อวานก็ได้พูดถึงอุปมาอุปมัยว่าพระพุทธองค์เป็นชาวนาทางธรรม และก็บอกว่าศรัทธาอุปมาเหมือนพืช และเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนก็ได้พูดถึงว่าศรัทธาอุปมาเหมือนภาชนะที่รองรับทำให้ปัญญาเกิด สิ่งที่จะเรียนถามท่านอาจารย์ หรือเรียนสนทนาว่าแล้วศรัทธานี่จะปลูกอย่างไร เหตุปัจจัยให้ศรัทธาเกิดนี้ มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจก็เป็นปัจจัยให้รู้ลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้

    ท่านอาจารย์ รู้เหตุเพื่อที่จะไปทำเหตุ หรือไม่ว่าศรัทธาเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็จะไปทำเหตุให้ศรัทธาเกิด หรือเปล่า หรือว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เหมือนว่าการฟังบ่อยๆ เนืองๆ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ดูเหมือนว่าการที่จะฟังตรงนั้นก็ต้องมีศรัทธา ทีนี้อาหาร หรือเหตุปัจจัยให้ศรัทธาเกิด ขอท่านอาจารย์ให้รายละเอียดตรงนี้ว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วได้ยินชื่อศรัทธาแต่ยังไม่ได้รู้จักศรัทธาใช่ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีศรัทธา ได้ยินชื่อศรัทธา มีศรัทธาที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ หรือไม่ หรือจะเอาศรัทธาอื่น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ฟังเข้าใจว่าเป็นธรรมนี้สำคัญที่สุด ได้ยินคำว่าศรัทธา ศรัทธาก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ว่าอาจเป็นเราที่อยากจะรู้เหตุของศรัทธา และก็อยากจะมีศรัทธา โดยที่ลืมว่าทั้งหมดก็เป็นธรรม และก็ต้องเป็นความละเอียดที่ต้องเข้าใจธรรมทุกคำด้วย

    ขอทบทวนเมื่อสักครู่นี้ พูดถึงอารมณ์ ได้ยินคำว่า “ธัมมารมณ์” ถูกต้องไหม คืออะไร

    ผู้ฟัง ธัมมารมณ์ก็เป็นอารมณ์ที่รู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ สิ่งนี้ลืมไม่ได้ เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธัมมารมณ์ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ใจสามารถที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ต่อจากทางตา หรือไม่

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมโนทวาร ที่ใช้คำว่า “มโนทวาร” หมายถึงจิตที่ไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายก็สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ทุกอารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเห็นทางตา ใจก็รู้สิ่งที่เห็นต่อ ขณะนี้บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นจักขุทวารทวารวิถี หรือมโนทวารวิถี แล้วก็มีภวังค์คั่นในระหว่างจักขุทวารวิถีกับมโนวิถีด้วย นี่คือการฟังให้เข้าใจไม่ใช่เพียงจำชื่อ

    ใจรู้อารมณ์ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ใช้ภาษาบาลีทบทวนแต่หมายถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็เสียงที่ปรากฏให้ได้ยิน รสที่ปรากฏให้รู้ว่ามี แล้วก็กลิ่น เย็นร้อน อ่อนแข็งพวกนี้ ใจรู้ได้ทุกอย่างแต่ไม่ใช่ธัมมารมณ์ แต่ใจนี้จะไม่ให้รู้สิ่งต่างๆ ที่เห็นแล้วได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ลิ้มรสแล้วนี้ไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่าใจรู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง แต่ธัมมารณ์รู้ได้เฉพาะทางใจเพราะไม่ใช่สิ่งที่จะปรากฏให้เห็นเช่นจิตมี รู้ได้ทางไหน

    ผู้ฟัง รู้ได้ทางใจ

    ท่านอาจารย์ มองไม่เห็น ไม่ใช่เสียง ใช่ไหม เจตสิกอย่างศรัทธาก็มี รู้ได้ทางไหน

    ผู้ฟัง ทางใจเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ จักขุประสาทก็มีใช่ไหมขณะนี้ รู้ได้ทางไหน

    ผู้ฟัง ทางใจเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็รูปอื่นๆ เช่นธาตุน้ำเป็นต้น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ทางกาย อะไรก็ตามที่รู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้นที่จะรู้ได้เป็นธัมมารมณ์ แต่มโนทวารวิถีจิต จิตที่อาศัยใจเกิดขึ้นรู้นี้รู้อารมณ์ได้ทุกอย่างทั้ง ๖ อารมณ์ เพราะฉะนั้นศรัทธา ได้ยินคำ รู้ความหมายด้วยผ่องใสไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีอกุศลใดๆ เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น แต่ลักษณะของศรัทธานี้จะรู้ได้เมื่อไร และจะรู้ได้อย่างไร หรือว่าอยากจะรู้เหตุที่จะทำให้เกิดศรัทธา นี้ก็เป็นสิ่งซึ่งควรจะพิจารณาว่าทั้งหมดเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม จะรู้ได้โดยการฟังเข้าใจเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมจริงๆ ซึ่งได้ยินแล้วเข้าใจ

    บางคนก็ชอบพูดคำว่า “ผัสสะ” รู้ลักษณะของผัสสะ หรือไม่ เดี๋ยวนี้มีผัสสะ หรือไม่ มีแต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาธรรมโดยละเอียด ถ้าจะกล่าวโดยชื่อของศรัทธาก็มีแล้วก็ความหมายก็มีแต่ว่าจะรู้ลักษณะของศรัทธาได้ หรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ ศรัทธาก็เป็นลักษณะที่ท่านก็แสดงไว้เยอะ เป็นเสบียงที่สะสมไปด้วยเพราะว่ากุศลจิตทุกประเภทต้องมีศรัทธา ศรัทธาเป็นโสภณสาธารณะสำหรับฝ่ายกุศล เมื่อกุศลจิตเกิดขึ้นก็เหมือนเราสะสมศรัทธาซึ่งจะเป็นเสบียงเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพราะว่าสังสารวัฏฏ์ยังยาวไกล การสะสมกุศล สะสมศรัทธา ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดในภพภูมิที่มีโอกาสที่จะได้สะสมศรัทธาอีกนั่นเองเป็นเสบียง ศรัทธาที่มั่นคงจนกระทั่งเป็นพระอริยบุคคล ศรัทธาก็จะเหมือนเสาระเนียดที่มั่นคงซึ่งก็เป็นลำดับจริงๆ ของศรัทธา

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ยังไม่ไปถึงไหนใช่ไหม ยังไม่ถึงองค์ธรรม คุณธรรมของพระโสดาบันนี่แน่นอน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นฟังแล้วยังไม่ไปถึงไหนเพราะอยู่ตรงนี้ และก็ไม่ได้รู้ธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แม้ว่าศรัทธาก็มีในขณะนี้ ไม่ใช่ไม่มีศรัทธา และก็จะรู้ได้ ข้อความที่ทรงแสดงไว้ก็ตรง ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจจริงๆ ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่

    ท่านอาจารย์ เพียงเท่านี้พอไหม เป็นเสบียง หรือยัง หรือว่ายังต้องกล่าวถึงอย่างอื่นอีก เท่าที่จะรู้ได้ แม้ว่าขณะนี้กุศลจิตเกิดก็ต้องมีศรัทธาเจตสิก มีหิริ มีโอตตัปปะ มีผัสสะ มีเวทนาแต่ก็ไม่รู้สักอย่างเดียว แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธรรมเมื่อไร เลือกได้ไหมที่อะไรจะปรากฏให้รู้

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ศรัทธาจะปรากฏได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ หิริปรากฏได้ไหม โดยไม่ต้องเลือกเลย ถ้าเลือกเมื่อไรก็ยังคงเป็นเรา แต่สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้สติเกิดรู้ที่ลักษณะของสภาพธรรมก็ต้องเป็นอนัตตา แล้วจะรู้อะไรก็ขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น เวลาเกิดสิ่งนั้นเกิดปรากฏก็สามารถที่จะรู้ได้ แต่ถ้าไม่ปรากฏอย่างโสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ นี้จะรู้อะไร ไม่ใช่แต่เฉพาะศรัทธา ขณะที่กุศลจิตเกิดหิริมี โอตตัปปะมี อโลภะมี อโทสะมี ตัตรมัชฌัตตตามี มีทั้งนั้นแล้วจะเอาอะไร สิ่งไหนดี ก็ไม่ได้ใช่ไหมเพราะว่าเป็นเรื่องละ ส่วนใหญ่เราไม่เข้าใจว่าการฟังพระธรรมเพื่อละ แต่ฟังเหมือนจะได้เมื่อไร จะได้อะไรบ้าง จะได้แค่ไหน แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเป็นธรรมการรู้ธรรมนั้นเพื่อละความไม่รู้ ถ้าเป็นกุศลก็ไม่ใช่อกุศล

    เพราะฉะนั้น ไม่ไปไหน ไปไม่ได้ใช่ไหม แต่ว่าขณะนี้อยู่ตรงนี้มีธรรมขณะนี้ปรากฏ ถ้าสามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่าเป็นอนัตตา สติสัมปชัญญะจะเกิด หรือขณะนี้กำลังเป็นโลภะก็ได้ เป็นโทสะก็ได้ ก็มีความเข้าใจว่าลักษณะนั้นเป็นธรรมทั้งหมด แล้วเมื่อไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ปัญญาจะรู้อะไรก็ต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้นอะไรปรากฏเมื่อถึงกาลที่จะรู้ได้

    ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์ถามว่า รู้ได้ไหม อย่างเห็น ก็รู้ว่าเข้าใจขั้นฟังแต่ยังไม่รู้ตรงลักษณะ แต่เมื่อมีศรัทธาฟังเข้าใจมากขึ้นก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จึงนำศรัทธามาสนทนา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    23 ธ.ค. 2566