พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 701


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๐๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ วินัยคือการกำจัดอกุศล นำออกไปซึ่งอกุศล ถ้าไม่เข้าใจธรรมอะไรจะนำอกุศลออกไปได้ เพราะฉะนั้นวินัยไม่แต่เพียงกล่าวเปล่าๆ ให้ประพฤติให้ปฏิบัติตามเป็นข้อบัญญัติแต่ต้องเข้าใจด้วย ความประสงค์ก็คือว่าให้รู้จักอกุศล และหนทางที่จะทำให้สามารถละอกุศลได้ก็คือต้องมีธรรม ต้องเข้าใจธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ประพฤติปฏิบัติตาม และก็ไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ยินคำว่า “บ่นเพ้อธรรม” ก็ต้องเข้าใจด้วย ถ้าขณะนั้นพูดธรรม ชื่อธรรม แต่ไม่เข้าใจ หรือว่าไม่นำไปสู่การเข้าใจ และฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ขณะนั้นก็ต้องเป็นการบ่นเพ้อธรรม

    อ.กุลวิไล ถ้าเราไม่รู้จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมก็ต้องเป็นผู้ที่เรียนไม่ดี เพราะว่าไม่เป็นไปเพื่อการที่จะขัดเกลากิเลส หรือรู้ธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะว่าพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนี้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเป็นผู้มีสติรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ แม้ขณะที่พูด

    ท่านอาจารย์ หวังอะไรจากการฟังธรรม มีใครหวังที่จะหมดกิเลส ดับกิเลส หรือว่าเพียงฟังก็เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ก็ขอพูดเรื่องเห็น และคงจะต้องพูดบ่อยๆ เพื่อว่าไหนๆ ก็เห็น และก็ฟังเรื่องเห็น และก็จะไม่รู้เรื่องเห็นเลยอย่างนี้จะต้องเป็นการบ่นเพ้อธรรมแน่นอน ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นวันไหนที่จะเข้าใจเห็น ไม่ใช่เราหวังว่าแล้วจะเข้าใจเมื่อไร หรือว่าทำอย่างไร ขณะนี้กำลังเห็นจะเข้าใจว่าเห็นเป็นธรรมนี้จะรู้ได้อย่างไร นั่นไม่ใช่ นั่นเป็นการคิดด้วยความต้องการ ฟังด้วยความต้องการ แต่ถ้าฟังจริงๆ คือไม่เคยรู้เห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อละความไม่รู้ เพราะว่าความไม่รู้ขณะนี้ปิดบังทำให้ไม่เห็นการเกิดขึ้น และดับไป ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงนี้โดยตลอดไม่มีสิ่งใดซึ่งจะเกิดได้โดยปราศจากปัจจัย แล้วสิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดแล้วสิ่งนั้นดับแน่นอน นี่คือใครจะเปลี่ยนพระพุทธวจนะได้ เป็นไปไม่ได้ในเมื่อเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ฟังเรื่องคำเดียวคือเห็นก็ต้องได้ประโยชน์จากการฟังว่า ขณะนี้ฟังมามากแต่ก็ยังไม่รู้จักเห็น ถูกต้องไหม เห็นไหม เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟังอีก ไม่ใช่ว่าท้อถอยว่าฟังแล้วเมื่อไรจะรู้ แต่เพราะว่ายังไม่ได้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งอย่างละเอียดในสภาพธรรมที่ลึกซึ้งจริงๆ ซึ่งขณะนี้เกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลาโดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้โดยไม่ฟัง

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่กำลังเห็น ไม่บ่นเพ้อ คือพูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นในขณะนี้กำลังมีทั้งสองอย่าง คือมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นด้วยแล้วก็มีเห็นด้วย ทั้งสองอย่างนี้ก็คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ต้องเรียกอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องใช้คำภาษาบาลีว่ารูปารมณะ รูปารมณ์ หรือภาษาไทยก็ไม่บอกว่าสี หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ที่จำเป็นต้องใช้คือ ขณะนี้มีสภาพธรรมหลายอย่าง พูดถึงอย่างไหนก็เพื่อที่จะให้เข้าใจในอย่างนั้น คือพูดถึงเห็นกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จะไปคิดเรื่องอื่นไหม ได้สาระจากการฟัง และเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ว่าลึกซึ้งจึงต้องฟังอีกจนกว่าจะสามารถรู้ว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก และก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นแล้วสิ่งนั้นก็ดับไป นี่คือความจริง ตอนนี้จะมีคำถามไหมว่าแล้วเมื่อไรจะรู้ความจริงนี้ เมื่อปัญญาสมบูรณ์เพราะเข้าใจขึ้น ไม่ใช่เพราะใครต้องไปทำอะไร แต่เมื่อเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ขณะใดก็ตามที่ไม่ได้ฟังธรรมก็มีเห็น แต่เห็นแล้วไม่รู้ สะสมความไม่รู้นานเท่าไร แสนโกฏิกัปป์พอไหม ถ้าจะคิดถึงจำนวน ก็แสดงจำนวนที่นานมากเท่านั้นเองเพื่อให้เห็นว่า ขณะนี้ที่กำลังเห็น และก็มีการได้ยินได้ฟังเรื่องของเห็นบ้าง แล้วก็เริ่มเข้าใจบ้าง อีกนานเท่าไรจึงสามารถที่จะดับการที่เคยไม่รู้ลักษณะของเห็นว่าเป็นธรรม และก็ยึดถือว่ากำลังเห็นนี้เป็นเราที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมคือฟังธรรมก็คือมีความเข้าใจสิ่งที่ฟัง แล้วก็เป็นประโยชน์เพราะเหตุว่าความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จะมีวิธีการของใครสักคนหนึ่งไหมที่จะมาแนะนำให้สามารถประจักษ์เห็นซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ เป็นไปไม่ได้ ผิดด้วย

    เพราะเหตุว่าต้องเป็นปัญญาที่สามารถเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้แล้วละความไม่รู้ ทำไมไม่คิดถึงเรื่องละความไม่รู้ เพราะว่ากำลังไม่รู้ในเห็นที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นหนทางที่จะรู้ความจริงก็คือว่า ต้องละความไม่รู้โดยการฟัง เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่ากิเลสละเอียดมาก เกิดมาถ้าไม่มีกิเลสจะเกิดไหม เป็นพระอรหันต์ดับกิเลสหมดก็ไม่ต้องเกิดอีก

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตาม จะเกิดที่ไหน ชาติไหน เป็นใคร บนสวรรค์ พรหมโลก เป็นอรูปพรหม หรือที่ไหนก็ตามเพราะยังมีกิเลส ซึ่งในขณะที่เกิดนี้ เกิดต่างกันตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถึงแม้ว่าจะเกิดในกามภูมิ กามคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะซึ่งเป็นทั้งสุคติภูมิ ทุคติภูมิ ก็เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสอยู่จึงต้องเกิด

    เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่าเกิดมาไม่มีกิเลสนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าขณะนั้นไม่มีกิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานที่เป็นเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกับจิตที่เกิด เพราะว่าจิตที่เกิดเป็นผลของกรรม เป็นวิบากจิต แต่โลภะก็ดี โทสะก็ดี หรือกุศลทั้งหลายก็ดี เกิดเมื่อไรเป็นอกุศลโดยชาติโดยความเป็นจริงขณะนั้นเศร้าหมองไม่ผ่องใสเพราะว่ามีอกุศลเกิดร่วมด้วยทำให้สภาพจิตนั้นเป็นสภาพจิตที่ไม่ดีงาม

    แต่ว่าในขณะที่เกิดไม่ใช่อกุศลจิต นี่คือความละเอียดแต่เป็นผลของกรรมเป็นวิบาก เพราะฉะนั้นจะมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ ไม่มีอกุศลจิตเกิดขึ้นทำกิจการงานพร้อมปฏิสนธิจิต แต่ว่าผลของกรรมที่ได้ทำแล้วแม้ว่าจะนานแสนนานแต่ยังสามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้เมื่อไร ก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนซึ่งเป็นขณะแรกของชาตินี้ และอกุศลที่มีมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์อยู่ที่ไหน ถึงแม้ว่าจะดับไปก็สืบต่อในจิตต่อๆ มาทุกขณะ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตก็สืบต่อมาจากจิตซึ่งสะสมอกุศลบ้าง กุศลบ้าง ด้วยเหตุนี้แม้ว่าปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรม ไม่ใช่อกุศลจิตเพราะไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่อกุศลที่สะสมมาแล้วยังไม่ได้ดับ เป็นพืชเชื้อที่ใช้คำว่า “อนุสย”หมายความว่า สย คือนอน อนุแปลว่า ตาม ตามนอนในจิตทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลก็จะยังมีอนุสัยกิเลส กิเลสที่ละเอียดที่อยู่ในจิตที่พร้อมที่จะเกิดเมื่อรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิจิต เช่นปฏิสนธิจิตไม่เห็น เพราะฉะนั้นจะเป็นอกุศลไม่ได้ เช่น ปฏิสนธิจิตไม่เป็นอกุศลแต่เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้วอกุศลจิตเกิดได้ทันที เพราะอนุสัยกิเลสที่สะสมมาอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียวจริงๆ คือความเข้าใจธรรมที่มีจะทำให้สามารถที่จะดับอนุสัยกิเลสซึ่งมีอยู่ในจิตทุกขณะได้ ไม่เกิดอีกเลยที่ใช้คำว่า “ดับ” เนี่ย

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะดับกิเลสซึ่งต้องดับอนุสัยกิเลส เพราะฉะนั้น แม้ว่าขณะนี้เป็นกุศล ฟังธรรมเข้าใจ มีอนุสัยกิเลสไหม มีแน่นอน แต่ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจะค่อยๆ ลงไปสู่การที่จะดับอนุสัยกิเลสที่มีอยู่ในจิตได้ มิฉะนั้นไม่มีหนทางใดซึ่งจะไปทำให้อนุสัยซึ่งมีอยู่ในจิตทุกขณะนี้สามารถที่จะถึงการไม่เกิดอีกเลยได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมแต่ละครั้งต้องตรงที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่รู้อะไร แล้วฟังเพื่อละความไม่รู้เพราะกำลังเข้าใจสิ่งนั้น จนกว่าสามารถที่จะมีปัญญาถึงระดับขั้นที่รู้ความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่ออนุเคราะห์ตั้งแต่ขั้นต้นไม่ว่าในเรื่องของกาย วาจา ที่เป็นเรื่องของศีล หรือว่าเป็นเรื่องของพระวินัย จนกระทั่งถึงใจที่สงบจากอกุศล จนกระทั่งถึงปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นการฟังอย่างนี้เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ อย่างนี้ ก็เป็นการบ่นเพ้อธรรม วันหนึ่งๆ บ่นเพ้อธรรมบ้างไหม

    อ.อรรณพ ความเข้าใจพระธรรมก็มีหลายขั้น ตั้งแต่เข้าใจความจริงที่เป็นสัจจญาณซึ่งเริ่มต้นก็คือฟังแล้วเข้าใจ เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจก็มีการกล่าว การแสดง การสนทนาไปตามความเข้าใจนั้น อย่างเช่น กล่าวถึงความเป็นจริงของผู้ที่ดับกิเลสได้แล้วอย่าง พระอรหันต์ จิตของท่านไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นกุศลอีกแล้วตามที่ท่านแสดงไว้ แต่ผู้กล่าวก็ไม่ได้มีคุณวิเศษที่เป็นถึงขั้นนั้น หรือเรื่องฌาน หรือเรื่องอะไรอย่างนี้ กล่าวตามธรรมที่ถูกต้อง แต่ว่าก็ไม่ใช่ผู้ที่ได้ฌาน สิ่งนี้ก็ไม่ใช่การบ่นเพ้อธรรม ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ฟังดูเหมือนพูดอะไรอีกไม่ได้แล้วใช่ไหม จะพูดเรื่องฌานก็กลัวว่าจะเป็นการบ่นเพ้อ จะพูดเรื่องอะไรก็ยังไม่รู้ทั้งนั้นก็สงสัยว่าเป็นการบ่นเพ้อธรรม หรือไม่ ตามความเป็นจริงพูดแล้วเข้าใจ หรือขณะที่กำลังพูดก็เข้าใจสิ่งที่พูด อย่างนั้นไม่ใช่การบ่นเพ้อธรรม แต่จะเป็นการที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ยินละเอียดขึ้นเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น พระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ทั้งหมดเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็คือ ฟังแล้วเริ่มเข้าใจ มีปัญญาเห็นที่ถูกต้องขณะนั้นไม่ใช่การบ่นเพ้อธรรม แต่ถ้าพูดโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วคนฟังก็ต้องไม่รู้ไม่เข้าใจแน่ เพราะว่าคนพูดไม่เข้าใจแล้วคนฟังจะเข้าใจได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อไรที่ไม่เข้าใจก็คือการบ่นเพ้อธรรม

    พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่ไม่ทรงแสดง หรือว่าไม่ใช่ไม่เห็นประโยชน์ แต่ทรงแสดงให้เห็นละเอียดความลึกซึ้งว่าที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นนี้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไปสืบต่อจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจความจริง ความรู้จะละความไม่รู้ เมื่อรู้แล้วก็จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การง่ายที่จะละความยึดถือว่าเป็นเราได้โดยไม่รู้อะไรนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงแม้รู้บ้างแล้วก็ยังไม่ง่ายอย่างนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ว่ากว่าจะสามารถเข้าใจว่าขณะที่กำลังพูดนี้พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แม้ทางตามีสิ่งที่ปรากฏแต่จิตอื่นที่เกิดสืบต่อไม่ได้ปรากฏ แต่ก็มีจิตอะไรบ้างซึ่งไม่ใช่จิตประเภทเดียวกัน เพื่อให้ค่อยๆ มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีเราแต่มีจิตซึ่งเกิดขึ้นทำกิจ แต่ละกิจสืบต่ออยู่ตลอดเวลา เหมือนสิ่งที่เกิดมาทำหน้าที่จนกว่าจะตายไป จากโลกนี้ไป แต่เกิดมาทำไม ก็ทำหน้าที่ต่างๆ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวก็คิดนึก เดี๋ยวทุกข์เท่านั้นเอง

    อ.วิชัย แม้ในการที่จะฟังเรื่องปรมัตถธรรมในครั้งแรก ฟังแล้วก็มีการกล่าวตามบ้าง แต่ความเข้าใจก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกับที่ฟังมาหลายปี เพราะเหตุว่าแม้จะกล่าวแต่ว่าความเข้าใจที่กล่าวในสิ่งที่เราฟังในตอนที่เป็นผู้ใหม่กับที่ฟังมานานแล้ว แม้ความเข้าใจก็ต่างกัน หมายความว่าการที่จะไม่เป็นผู้ที่บ่นเพ้อคือเป็นผู้ที่กล่าวแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่กล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าความเข้าใจวันนี้ต้องมาจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจากการที่ได้เคยฟัง แต่ไม่ใช่พูดโดยไม่ได้เข้าใจ

    ผู้ฟัง มีผู้ฝากถามมาว่า โทษของผู้บ่นเพ้อธรรมมีอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ โทษคือความไม่รู้ ฟัง ฟัง ฟัง ก็ไม่รู้ เสียเวลาไหม แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย อย่างที่บางคนก็บอกว่าฟังแล้วฟังอีกถึง ๑๐ ปีก็เข้าใจขึ้น ก็ถูกต้อง ถ้าไม่เคยฟังมาเลยหลังจากนั้นจะถึงวันนี้ที่เข้าใจไหม หลังจาก ๑๐ ปีแล้ว

    เพราะฉะนั้น ประมาทธรรมไม่ได้ ธรรมมีไม่เคยสนใจ มีกี่คนที่จะสนใจธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย นอกจากคนที่เคยได้ฟังแล้วก็เคยเห็นประโยชน์ มีศรัทธาที่จะรู้ว่าตลอดชีวิตก็คือเกิดมาแล้วก็ตายไป สนุกสนาน สุข ทุกข์ แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วก็จากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธาที่สะสมมาก็สามารถที่จะรู้ประโยชน์ของการฟัง

    เพราะฉะนั้นการฟัง ประโยชน์จริงๆ คือฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจถ้าไม่ได้ฟัง ทุกคำ เช่น คำว่า “ธรรม” ถ้าไม่เคยฟังจริงๆ จะเข้าใจไหมว่าธรรมคืออะไร หาธรรมที่ไหน ตามหนังสือ ตามที่ต่างๆ แล้วเจอไหม รู้ไหมว่าอะไรเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟังก็คือต้องเข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังไม่ข้ามไม่เผิน จะใช้คำว่า “มโนกรรม” ก็ต้องเข้าใจว่ากรรมคืออะไร และทำไมใช้คำว่ามโนกรรม แต่ว่าถ้าต้องการผล ต้องการรู้เรื่องมโนกรรมเลยยาวๆ ต่อไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่ามโนกรรมคืออะไร อย่างนั้นก็เพ้อแน่

    ผู้ฟัง จากสิ่งที่ได้ฟังทำให้เข้าใจถึงว่า ถ้าการจะฟังธรรมข้างหน้าเราก็ไม่สามารถจะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ทำไมข้างหน้า ยังไม่ได้ฟัง เดี๋ยวนี้กำลังฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    ผู้ฟัง ข้างหลังก็ไม่รู้ได้แต่ว่าในขณะที่ฟังธรรมก็คือในขณะนี้เองว่าบ่นเพ้อ หรือเข้าใจไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ไปคิดถึงคำว่า “บ่นเพ้อ” แต่กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ เช่นเห็นมีจริงๆ กำลังเห็นแต่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ว่าเห็นนี้ไม่ใช่เรา ใช่ไหม ก็คือต้องฟังจนกว่าจะรู้ว่าเห็นเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูปเห็นเกิดได้ไหม ถึงมีจักขุประสาทรูปแต่ไม่มีสิ่งที่กระทบจักขุประสาทรูปที่กำลังปรากฏขณะนี้เห็นเกิดได้ไหม แล้วถ้าขณะนี้ที่เห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ใครจะไปทำให้อกุศลกรรมให้ผลเกิดขึ้นเห็นก็ไม่ได้ แต่ต้องเป็นกุศลที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยทำให้ขณะนี้เห็นสิ่งที่น่าพอใจที่กำลังปรากฏคือ ฟังให้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ ขณะนี้มีเห็น ฟังอีก เข้าใจอีกทีละเล็กทีละน้อยคือประโยชน์ เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เป็นความละเอียดที่ท่านอาจารย์ได้แนะนำว่า ในขณะที่เข้าใจนั้นไม่มีใครแนะนำ แต่เป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน ถ้าเข้าใจแล้วจะต้องรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องจะต้อง คือเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    ผู้ฟัง สภาพธรรมทางปัญจทวารทั้ง ๕ มีความแตกต่างกัน

    ท่านอาจารย์ หลับตาแล้วเห็น หรือไม่

    ผู้ฟัง หลับตาแล้วไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็น ได้ยิน หรือไม่

    ผู่ถาม กำลังเห็นก็ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือความต่างกันของทางตาอย่างหนึ่ง ทางหูอย่างหนึ่ง ทางจมูกอย่างหนึ่ง ทางลิ้นอย่างหนึ่ง ทางกายอย่างหนึ่ง และทางใจก็อย่างหนึ่ง

    ผู่้ถาม แต่ทุกอย่างเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ชื่อคนนั้น ชื่อคนนี้ หรือจะเรียกโต๊ะ เรียกเก้าอี้ หรือเรียกอะไร ลักษณะที่เป็นจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น แข็ง ไม่ต้องเรียกก็แข็ง แต่ใช้คำนี้เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้หมายความถึงเสียง ไม่ได้หมายความถึงสิ่งที่มีจริงอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น การใช้คำเพื่อให้รู้ถึงลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่หลากหลาย และเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือการฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

    ผุ้ถาม สิ่งที่ปรากฏทางตานี้จะไม่เหมือนกับทางอื่น

    ท่านอาจารย์ หลับตาแล้วได้ยิน หรือไม่

    ผุ้ถาม หลับตายังได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเหมือนกับเห็น หรือไม่

    ผู้ฟัง ได้ยินไม่ใช่เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินเหมือนกัน หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นธรรม หรือเป็นเราที่เห็น

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ตอบได้ แล้วก็สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเป็นธรรม

    ผุ้ถาม เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ตอบว่าเป็นธรรม แต่คำตอบนี้ตอบด้วยความเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏแค่ไหน เห็นไหม กว่าจะตอบได้จริงๆ ก็คือว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่เหมือนกับพอได้ยินครั้งแรกก็ตาม เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าจนกว่าเข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้ไม่มีอะไรถ้าไม่คิด แต่เห็นเกิดเมื่อไรก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง นี่คือเริ่มที่จะเป็นความรู้ของตัวเอง ความเข้าใจมั่นคงขึ้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้เราก็เห็นไปแต่ไม่เคยคิดได้ ไม่ได้จำไว้ ลืมไปหมดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ก็คือว่าฟังแล้วแม้เข้าใจในขณะที่ฟังก็ลืมบ่อยๆ เพราะว่าไม่คุ้นเคยกับการที่จะรู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เพราะกำลังเห็นจริงๆ จะมาหลอกไม่ได้เพราะกำลังเห็นใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น เห็นก็เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ก็เริ่มไม่ลืมที่จะเข้าใจว่าทุกอย่างที่เป็นเรื่องราว เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ เพราะคิด สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏสั้นมากแล้วก็หมดไป เหมือนในความมืดสนิท มีจุดอยู่ ๕ จุด เป็นที่ปรากฏของแสงสว่าง หรือสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ๑ อีก ๑ ก็คือเสียง สามารถจะปรากฏตรงนั้นอีก ๑ จุด แต่นอกจากนั้นก็คือเกิดปรากฏแล้วดับไปหมดอย่างรวดเร็ว เหลือแต่ความจำในสิ่งที่ปรากฏในความมืดสนิทแต่ยังจำได้

    เวลาจำเสียง ไม่ได้จำสิ่งที่ปรากฏทางตา เวลาจำสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้รูปร่างสัณฐานได้ก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังจำกลิ่น หรือรส เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือชั่วขณะหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้นดับไปสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ทำให้สัตว์โลกไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ จนกว่าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ความรู้อย่างเดียวที่จะทำให้ละความไม่รู้ได้

    ผู้ฟัง เสียง มีสัณฐาน รูปร่าง อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    23 ธ.ค. 2566