พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 715


    ตอนที่ ๗๑๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ธรรมปรากฏเพราะเกิดแล้ว คนไทยเข้าใจเลย ไม่ว่าอะไร แข็งปรากฏเพราะเกิด ถ้าไม่เกิดจะเป็นแข็งได้อย่างไร จะมีแข็งปรากฏได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ปรากฏเพราะเกิดแล้ว ไม่ต้องคิดถึงสังขตธรรมหรือว่าสังขารธรรมเลย เพราะเป็นคนไทย แต่ถ้าเข้าใจภาษาไทย พบคำว่าสังขารธรรมกับคำว่าสังขตธรรมก็เข้าใจได้ เพราะว่าเข้าใจธรรมจากการฟังในภาษาไทยแล้ว เพราะฉะนั้นไม่สงสัยเวลาที่พบคำแปลของสังขารธรรมหรือสังขตธรรม เพราะเหตุว่าเข้าใจในภาษาไทย ด้วยเหตุนี้เห็นเกิด ขณะนี้เป็นเห็น เกิดแล้วใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่มีปัจจัย ได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมีปัจจัยแน่นอน และสภาพที่มีจริงคือจิต เจตสิก รูปก็จะพ้นจากปัจจัยไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จิต เจตสิก รูปเป็นสังขารธรรม เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น ไม่ใช้ภาษาบาลีว่าสังขารธรรมก็ได้ แต่เพราะมีตา และมีสิ่งที่สามารถกระทบตา เป็นปัจจัยให้ขณะนี้จิตเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้น ๓ อย่างนี้ต่างกัน จิตเกิดขึ้นเห็น เกิดแล้ว เป็นธรรมที่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และจักขุปสาทหรือตา ก็เกิดแล้วด้วย ถ้าตาไม่มี จักขุปสาทไม่มี จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดแล้ว ที่เราไม่รู้ก็คือว่า มีปัจจัยที่ทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้น และไม่มีวันจะรู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา ในภาษาไทยใช้คำว่า ไม่ใช่เรา แต่ในภาษาบาลีใช้ อนัตตา เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความหมายในภาษาไทย เข้าใจสภาพธรรมในภาษาไทย ได้ยินภาษาบาลีก็รู้หมายความอย่างนั้น ไม่ใช่หมายความอย่างอื่น ใช่หรือไม่

    เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใครก็ทำให้เห็นเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เห็นก็เกิดแล้วเพราะปัจจัย ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ใส่ชื่อภาษาบาลีได้ทั้งหมด ว่าเป็นธรรม ซึ่งเป็นสังขตธรรม เกิดแล้วปรุงแต่งแล้ว จึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ก็เกิดไม่ได้ ก็คือให้เข้าใจตัวธรรม ไม่ต้องไปติดที่คำในภาษาบาลี เพราะว่าคุณนิรันดร์ไปพยายามจำคำว่าสังขตธรรม และสังขารธรรมหลายปี ใช่หรือไม่ แต่ลืมการที่จะเข้าใจความหมายจริงๆ ของธรรมในภาษาไทย เพราะมุ่งที่จะไปเข้าใจคำในภาษาบาลี แต่ขณะนี้มีธรรม และสามารถที่จะเข้าใจความจริงของธรรมในภาษาไทยได้ เมื่อเข้าใจแล้ว ได้ยินคำที่ต่างกัน ๒ คำ และมีคำแปล และความหมายที่ต่างกัน ไม่ใช่ต่างกันโดยความหมาย แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น จึงต้องมีคำที่ต่างกัน ให้รู้ว่าทั้ง ๒ อย่าง สังขารธรรมก็คือจิต เจตสิก รูป ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป อะไรก็ไม่มี แต่ความเป็นปัจจัยอาศัยกัน และกันละเอียดมาก ไม่มีใครรู้เลยว่าขณะนี้ แม้แต่สภาพธรรมหนึ่งขณะที่เกิดขึ้น มีอะไรเป็นปัจจัย จนกว่าจะมีการฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจธรรม ลืมไม่ได้เลยไม่ใช่เข้าใจตัวเราว่ามีความรู้แค่ไหนเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้น นั่นคือเข้าใจตัวเรา แต่ไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีเรา แต่ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการฟังจึงต้องละเอียด ที่จะต้องให้รู้ว่าจุดประสงค์ของการฟัง ไม่ใช่ให้ติดชื่อหรือจำชื่อ แต่ฟัง แล้วก็มีธรรมกำลังปรากฏ เริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฎว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือไม่ ก็สามารถที่จะเข้าใจความหมายในภาษาบาลีได้อีกคำหนึ่ง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ที่ว่าปรุงแต่งแล้ว

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เกิด เกิดแล้ว เพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด

    ผู้ฟัง มีปัจจัยอะไรที่ปรุงแต่งแล้วจึงเกิด

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์หมดกิเลสแล้วหรือไม่

    ผู้ฟัง ยังมีกิเลสมากมาย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีกิเลสหรือไม่ เกิดหรือยัง

    ผู้ฟัง สลับกันไป ที่เห็นดอกไม้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงกิเลสที่เกิด เดี๋ยวนี้เกิดนั่นคือสังขตธรรม มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิด คุณนิรันดร์เคยพูดถึงว่าโกรธบ่อยๆ ถ้าขณะใดที่โกรธไม่เกิด แต่ยังมีปัจจัยที่จะเกิด แต่ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นขณะใดที่เกิดแล้ว ปรุงแต่งแล้วเกิด รู้เลย ต้องมีปัจจัยคือกิเลส ซึ่งยังมีอยู่ ซึ่งยังไม่ได้ดับไป ยังมี แต่ยังไม่เกิด เพราะยังไม่ได้ปัจจัยที่จะทำให้กิเลสนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจะต้องไปห่วงสังขารธรรมกับสังขตธรรมหรือไม่ ถ้าพูดภาษาไทยอย่างนี้เข้าใจ

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ ถ้าคนใด ณ พระนครสาวัตถี พระนครเวสาลี หรือพาราณาสี สทนาธรรมกัน เขาก็ใช้คำอย่างที่เราใช้ในภาษาไทยเช่นกัน และเขาก็ใช้คำว่าสังขารธรรม สังขตธรรม เพราะเป็นภาษาของเขาใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราอยู่ที่นี่ เราเข้าใจธรรม และเราก็รู้ว่าแม้ที่อื่น ที่เข้าใจธรรม ก็ต้องโดยภาษานั้นๆ แต่ก็ตรงกับคำที่พระผู้มีพระภาคทรงเทศนาด้วยภาษานั้น คือภาษามคธี

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า ขณะที่โกรธมีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว จึงโกรธ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ โกรธหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้โกรธไม่ใช่เป็นสังขตธรรม แต่โกรธเป็นสังขารธรรม เมื่อมีปัจจัยจึงเกิด สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิด สภาพธรรมนั้นเป็นสังขตธรรม เพราะปรุงแต่งแล้ว มีปัจจัยแล้ว ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    ผู้ฟัง ขณะที่โกรธ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัจจัย จะโกรธหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ นี่ก็ชัดเจน

    ผู้ฟัง อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีตัวเราที่โกรธ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนที่สุด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นปรมัตถธรรม

    ผู้ฟัง เช่นนี้ฟังก็เพื่อที่จะมีความมั่นคงว่า ขณะที่ความโกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่เราเลย ที่จะทำให้เกิด

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะโกรธ

    ผู้ฟัง ทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าพระอริยบุคคล ปัญญาระดับไหน รู้ "เห็น" ขณะนี้หรือไม่ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิด รู้หรือไม่ว่าเป็นธรรม แต่ว่าคนที่เริ่มฟัง เริ่มรู้จักชื่อ เริ่มรู้จักเรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวธรรมทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เว้นเลย

    ผู้ฟัง เช่นนั้นการฟังธรรม เช่นฟังเรื่องของธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อที่จะเข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ ความจริงคืออะไร ไม่ใช่เราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งเกิดเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง นี่คือจุดประสงค์ในการฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจพระธรรม เพื่อรู้ว่าเป็นธรรม แค่นี้ไม่พอ ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะจริงๆ ของธรรมเลย ฟังต่อไปอีก สะสมต่อไปอีก เพื่อละความหวัง เพราะรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่อย่างนั้นก็หวังกันมากมายเหลือเกิน หวังโน่น หวังนี่ หวังนั่น ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตที่คุณนิรันดร์เกิดมาแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามีความสามารถเข้าใจมั่นคงขึ้น ว่าขณะนี้เป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา นั้นคือปัญญาจะเจริญขึ้น เพราะว่าไม่ว่าจะเป็น เห็นที่ไหน เมื่อไหร่ คิดนึกที่ไหน เมื่อไหร่ สุขทุกข์ที่ไหนเมื่อไหร่ ก็เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมแล้วก็เป็นอนัตตาด้วย

    ผู้ฟัง จากการได้มาสนทนาธรรม ท่านอาจารย์ให้ความกรุณาเกื้อกูล ก็ได้เข้าใจธรรมเพิ่มมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ เวลาคุณนิรันดร์ได้ยินคำว่าสังขารธรรมที่ไหน คุณนิรันดร์เข้าใจ แต่คนอื่นที่ไม่เข้าใจ ได้ยินแล้วก็แค่จำ เพราะฉะนั้นต่อไป เวลาคุณนิรันดร์ได้ยินคำว่าสังขตธรรม เข้าใจเลย แต่ว่าคนอื่นที่ไม่ได้ฟัง ก็เพียงได้ยินแล้วก็จำ ๒ คำ สังขารธรรมกับสังขตธรรม แต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็รู้ว่าการศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจธรรมไม่ใช่ติดชื่อ แต่สามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ยินในภาษาบาลีได้ เพราะเข้าใจสภาพธรรม ฟังเพื่อให้เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    อ.กุลวิไล ขณะนี้มี"เห็น" เห็นเกิดแล้ว เป็นสังขตธรรม แต่"เห็น" ต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้น แล้วตัว"เห็น" ก็เป็นสังขารธรรมด้วยเพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดจากปัจจัยที่ปรุงแต่ง ธรรมที่เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นก็ต้องมี ซึ่งก็ต้องเป็นสังขารธรรมด้วย มีสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือไม่ ซึ่งก็เป็นอารมณ์นั่นเอง แล้วก็มีที่เกิดของจิตเห็น ก็คือปสาทรูป เพราะว่า"เห็น"ก็ต้องเกิดที่ตา คงไม่ได้เกิดที่อื่น เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสังขารธรรมนั่นเอง เพราะว่าเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นในขณะนี้เอง ซึ่งก็มีท่านเขียนประเด็นคำถามนี้มา แล้วก็จะต้องรู้ด้วยว่า"เห็น"ไม่ใช่เรา ชีวิตประจำวันเรามีการเห็น มีการได้ยิน มีการคิดนึก ก็ล้วนแต่ว่าด้วยความไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ก็เพื่อความเข้าใจธรรม และขณะนี้เองทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเรามีความมั่นคงหรือไม่ ที่จะรู้ถึงความเป็นธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคย อยู่กับเรื่องราวของบัญญัติ มีผู้คนมากมาย แล้วก็เป็นไปด้วยความรักบ้าง ชังบ้าง และความไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏ นี่คือชีวิตประจำวัน แต่พระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อความเห็นถูก ในสภาพธรรมที่เป็นจริง มีผู้เขียนมาเรียนถามท่านอาจารย์ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าผู้ตื่นปลุกผู้อื่นให้ตื่นนั้น อย่างไรชื่อว่าตื่น อย่างไรชื่อว่าปลุกผู้อื่นให้ตื่น

    ท่านอาจารย์ ตื่นคือรู้ และเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมปรากฏแสนสั้น ขณะที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ความจริงก็คือว่าสภาพที่ปรากฏเกิดดับ เร็วจนกระทั่งไม่ปรากฏว่าเกิดดับ อะไรก็ตามซึ่งเกิดดับเร็วมาก จนกระทั่งเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เช่น พัดลมหมุน ใครเห็นซี่ของพัดลมบ้าง แต่ละซี่ที่หมุนไป ก็ไม่เห็น เหมือนกับอยู่กับที่ หรือไฟฟ้าหรืออะไร แล้วแต่ทางหลักวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์นั้นๆ จะคิด ก็คือการที่สภาพธรรมขณะนี้แม้วิทยาศาสตร์ไม่ต้องพูดถึงเลย หรือใครจะไม่ต้องไปมองอะไร คิดถึงอะไรว่าขณะนี้สภาพธรรมขณะนี้เป็นอะไร ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะปรากฏเสมือนว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลง หรือว่าไม่ได้ดับเลย

    เช่นเวลานี้ ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย เห็นใคร ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดใช่หรือไม่ ยังเหมือนเดิม เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นก็ปรากฏเหมือนว่าสิ่งนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ดับเลย เห็นอย่างนั้นตั้งแต่เช้า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ นี่คือฝันหรือเปล่า ทั้งๆ ที่สิ่งนั้น ที่เราคิดว่ามีจริงๆ ความจริงก็คือเกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น แต่ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมนั้นปรากฏอย่างไรก็ปรากฏอย่างนั้น

    เหตุปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ เป็นอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่เกิดจึงปรากฎ ดับเร็วมาก จนกระทั่งไม่เห็นการดับไป ถ้าใครสักคนในห้องนี้เดินออกไป ไม่เห็นเขาอีกแล้วใช่หรือไม่ แต่เพราะอะไรจึงไม่เห็น ต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสีสันต่างๆ แล้วก็ปรากฏเป็นนิมิต ให้เห็นเป็นคิ้ว ตา จมูก ปาก เป็นคน หรือให้เห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แล้วแต่ความทรงจำ รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฎ แต่เมื่อธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมไม่มี แล้วจะให้สีสันวรรณะปรากฏได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่ว่าเขาออกไปจากห้อง ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมพร้อมกับสีสันวรรณะ ที่สามารถกระทบจักขุปสาทนั่นเองพ้นไปไม่ปรากฏ ก็เลยไม่มีสิ่งนั้นอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมเพื่อความเห็นถูก เพื่อความเข้าใจถูก เพราะว่าขณะใดก็ตามที่เห็นถูก เข้าใจถูก ขณะนั้นก็ละคลายความไม่รู้ แต่ยากมาก เพราะเหตุว่าเราเคยไม่รู้มานาน จนกระทั่งประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะให้เราหมดความไม่รู้ไปโดยรวดเร็ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่คนนี้ทำไมไม่ฉลาด ทำไมคนนั้นไม่มีปัญญา แต่ว่าความจริงคือ อวิชชาเป็นอวิชชา ไม่ว่าใครที่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังปรากฏเผชิญหน้า ใครรู้ว่าสภาพธรรมนี้เกิดดับ ไม่รู้ใช่หรือไม่ เหมือนกันหมด ไม่ใช่ไปว่าเฉพาะบางคนไม่มีปัญญา ไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่ทุกคนก็คือไม่รู้เพราะอวิชชา แต่จากการฟัง รู้ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เมื่อมีจริง ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง ให้ผู้ที่ได้ฟังค่อยๆ พิจารณา จนเป็นความเข้าใจของตัวเอง สำคัญที่สุด เป็นความเข้าใจของตัวเอง ถ้าจะไปถามคนอื่นว่า แล้วจะทำอย่างไรถึงจะรู้ ก็คือว่าไม่ใช่ความเข้าใจของตัวเองเลย อาศัยคนอื่น หวังพึ่งคนอื่นว่าทำอย่างไรจะรู้ได้ แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าต้องค่อยๆ เป็นความเข้าใจถูกของตัวเองทีละเล็กทีละน้อย

    เบื่อที่จะฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะเหตุว่าพูดบ่อยๆ คนนั้นมีปัญญาหรือไม่ ในเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปรากฏจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วก็มีจริงๆ ด้วย และหนทางเดียวที่จะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเผชิญหน้าอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วก็ฟัง แล้วก็ไม่คิดถึงเรื่องอื่น แม้แต่ใจก็ไม่ส่งใจไปที่อื่น อย่างพยัญชนะที่ท่านกล่าวไว้ ส่งใจไปเฉพาะหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นก็เป็นสำนวนที่แสดงให้รู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แล้วคิดอะไร ขณะที่คิดก็หมายความว่า ขณะนั้นไม่ได้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ว่า เท่านี้เอง นี่คือธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปรากฏได้เฉพาะทาง ทางเดียวคือทางตาเท่านั้น ไม่สามารถจะปรากฏทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกายได้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้ก็ไม่ได้ปรากฎเลยว่ามีจริงๆ เป็นอย่างนี้ อย่างที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นกว่าจะละคลายความติดข้องในแต่ละอย่างจนกระทั่งถึงแม้ในธาตุที่กำลังเห็น ซึ่งเป็นขณะหนึ่งในสังสารวัฎ เพราะที่เข้าใจว่าเราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เราคิดนึกทั้งหมด ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แล้วถ้าไม่ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จะรู้อะไร มีอะไรอีกที่จะรู้ ก็คือเป็นความไม่รู้ตลอดไป เป็นความหลับ ไม่ตื่น เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วหมดไปทุกอย่าง ไม่เหลือเลย ลองพิจารณาคำที่ได้เคยพูด พูดเฉพาะคนก็ได้ ขณะนี้มีคนมากมายในความคิด ถูกต้องหรือไม่ แต่ความจริงก็คือว่า ไม่เหลือเลย ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะไม่มีตัวตนสักอย่าง แต่มีธาตุหรือธรรม ซึ่งมีลักษณะหลากหลาย ซึ่งปรากฎชั่วขณะ แต่เพราะไม่เคยรู้ลักษณะแต่ละลักษณะเฉพาะทีละอย่าง ก็เลยรวมโดยความคิดว่าเป็นคนมากมาย ที่นี่มีหลายคน แต่ลักษณะทีละอย่างจะเป็นคนได้หรือไม่ คิ้วของคนหนึ่งจะไปเป็นคิ้วของคนอื่นได้หรือไม่ นี่หนึ่ง แต่ว่าก่อนที่จะเป็นคิ้วสักคิ้วหนึ่ง ก็คือการเกิดดับของรูปที่กระทบจักขุปสาท มากมายหลายวาระ จนปรากฏสัณฐานเป็นหนึ่งคิ้ว แต่ว่าหนึ่งคนก็ไม่ได้มีคิ้วเพียงหนึ่ง ใช่หรือไม่ นี่เพียงย่อๆ ๆ ลงมา จากการที่เราเคยเข้าใจว่ามีคนมากมายในความคิด แต่ว่าตามความเป็นจริงไม่มีอะไรเหลือ มีสิ่งที่เพียงปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นการที่จะละความเป็นเรา ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความเห็นถูกจริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ธาตุรู้คือจิต เกิดขึ้นหนึ่งขณะ ต้องรู้เพียงสิ่งที่ปรากฏให้รู้เท่านั้นอย่างเดียว จะไปรู้อย่างอื่นรวมกัน พร้อมกัน เหมือนอย่างขณะนี้มีหลายคนหน้าตาต่างๆ กัน เป็นไปไม่ได้ เพราะหน้าตาหลายคนต่างๆ กัน เห็นหรือไม่ รู้ไปเลย หน้าตาหลายคนก็ยังต่างๆ กัน แต่ความจริงทีละหนึ่งขณะจิต ลองคิดดูก็แล้วกัน จะเป็นคนได้หรือไม่ จะเป็นหลายคนได้หรือไม่

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ว่าเขารู้ และช่วยให้เรารู้หน่อย ถามเขาดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ถูกไหม นั่นไม่ใช่การฟังธรรม การฟังธรรมคือพิจารณาแล้วเข้าใจ แม้แต่ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ใครเลย เป็นลักษณะที่ต่างกับขณะที่ไม่เข้าใจ เวลาไม่เข้าใจก็เป็นอย่างหนึ่ง ไม่เคยฟังไม่เข้าใจ แต่ทั้งๆ ที่กำลังฟังคำพูดธรรมดาๆ อย่างนี้ เข้าใจหรือไม่ ในคำ เมื่อวานนี้เข้าใจคำ ทุกอย่างเป็นธรรม สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏเป็นธรรม เข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมเพียงแต่เข้าใจคำพูด เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงความเข้าใจจริงๆ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ พระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงตามลำดับที่ลุ่มลึก ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่เป็นธรรมที่มีจริงๆ จะไม่สามารถมีความเข้าใจ ลักษณะของธรรมเฉพาะอย่างทีละอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีอย่างเดียว ขณะนั้นปรากฏ และก็ดับ แล้วก็จึงมีธรรมอื่นที่ปรากฏสืบต่อแล้วก็ดับ จนกระทั่งไม่เหมือนว่ามีอะไรดับไปเลยสักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้นบอกได้หรือไม่ว่า กว่าจะเข้าใจก็คือฟังอีกนานเท่าไหร่ หรือต้องถามคนอื่น ช่วยบอกหน่อย ว่าฟังอย่างนี้แล้ว อีกแสนกัปหรืออีกเท่าไหร่ถึงจะรู้ แต่เป็นผู้ตรง มีความเข้าใจขึ้นหรือไม่ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ได้ยินได้ฟังว่าสภาพธรรมปรากฏเกิดดับ ยังไม่เข้าใจอย่างนั้น ยังไม่ได้ประจักษ์อย่างนั้น แต่เริ่มฟัง แล้วก็เริ่มรู้ว่า สิ่งที่มีจริงต้องจริง จะไปเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ให้เป็นอย่างอื่น ให้ไม่ปรากฏนั้น ไม่ได้ เกิดแล้วปรากฎแล้ว มีแล้วแต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือ รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณของการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ถึงความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมที่ลึกซึ้ง ที่ทรงตรัสรู้ให้คนอื่นได้ฟัง จะฟังมาแล้วนาน หรือว่าเพิ่งเริ่มจะฟังก็ตามแต่ ความจริงไม่เปลี่ยน ความจริงก็เป็นความจริงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อใครสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง ไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากปัญญาหรือความเข้าใจถูกของผู้ฟังเอง

    อ.กุลวิไล ตื่นหรือยัง เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะว่าสภาพธรรมตอนนี้มี แต่เราไม่รู้ถึงการเกิด และดับไปของธรรมเหล่านั้น เพราะว่าเราไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละทาง ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้รวมกัน จึงเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานให้รู้ได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แต่จริงๆ แล้ว ธรรมนั้นเกิดดับสืบต่อกันรวดเร็วมาก ท่านอาจารย์กล่าวถึงพัดลมหมุน เราไม่เห็นใบพัด ฉันใด ตัวอย่างการแกว่งธูปที่จุดแล้ว ถ้าท่านมองดูก็เหมือนกับว่ามีวงสีแดง แต่จริงๆ แล้ว ก้านเดียวเท่านั้นที่กำลังแกว่งอยู่ เห็นความรวดเร็วหรือไม่ ถูกหลอกตลอด เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมีจริงในขณะนี้เอง แต่เพราะเราไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรมก็เพื่อที่จะให้เรามีความเข้าใจถูกในธรรมที่ทรงแสดง ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงแสดงความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง จะเห็นถึงผู้ที่ปลุกผู้อื่นให้ตื่น ซึ่งท่านก็แสดงธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งใดไม่เที่ยงก็เพราะสิ่งนั้นเกิดแล้วดับไปนั่นเอง แต่เราดูเหมือนว่าเที่ยง ใช่หรือไม่ เพราะเราไม่รู้การเกิด และดับไปของธรรม แล้วเราก็ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏด้วย ปลุกผู้อื่นให้ตื่น กราบเรียนท่านอาจารย์


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    14 มี.ค. 2567