พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 720


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๒๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ขอกล่าวถึงคำถามของคุณจักรกฤษณ์ ว่าคนที่ศึกษาธรรมแล้วจะมีชีวิตดำเนินไปอย่างไร น่าคิดใช่หรือไม่ เพราะว่าเกิดมาแล้วชีวิตก็จะต้องเป็นไป เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็คิดว่าสำหรับคนที่ไม่ได้ฟังธรรมก็มีชีวิตอย่างหนึ่ง และเกิดเป็นคำถามว่า ชีวิตของคนที่ฟังธรรมแล้วจะดำเนินไปอย่างไร คำตอบก็คือเป็นปกติ แต่ว่ามีความเข้าใจขึ้น ชีวิตไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนได้ตามใจชอบเพราะว่าเกิดแล้ว ทุกขณะ เช่นขณะนี้กำลังนั่งอยู่ที่นี่ เห็นแล้ว คิดแล้ว ทุกอย่างเป็นธรรมที่เกิดแล้วจึงปรากฏ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง เพราะว่าคิดเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเสมอ เหมือนคำถามที่ว่าศึกษาธรรมแล้ว จะดำเนินชีวิตไปอย่างไร ก่อนศึกษาไม่สงสัยเลยว่าชีวิตตั้งแต่เกิดมาดำเนินไปอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นคนทำ เป็นคนคิด เป็นคนจัดการทุกอย่าง แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า คิดก็เกิดแล้ว ทุกอย่างที่มีในขณะนี้เกิดแล้ว โดยไม่รู้ความจริงว่า สภาพธรรมทั้งหลาย เกิดเมื่อมีปัจจัย จึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าอยากจะเป็นสุข แต่สุขยังไม่เกิด อยากอยู่นั่นแล้ว ไม่มีปัจจัยที่สุขจะเกิด สุขก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วทุกอย่างให้ทราบว่า ณ บัดนี้สิ่งที่มี คือสิ่งนั้นเกิดแล้วเพราะมีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้นก่อนฟังธรรมชีวิตก็ดำเนินไป ตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมาของแต่ละคน ตั้งแต่เกิดต่างกัน แม้ว่าจะเป็นพี่น้องหลายคน วิถีชีวิตความเป็นไปของชีวิตของแต่ละคน ก็ต่างๆ กันไปตามการสะสม ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ก็มีเหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นก่อนศึกษาธรรมก็มีเหตุที่จะต้องให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไร ศึกษาธรรมแล้วก็มีเหตุที่จะให้ชีวิตดำเนินต่อไป แต่ไม่มีใครรู้ว่า ชีวิตที่ได้เข้าใจธรรมขึ้น จะต่างกับการที่ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้นความต่างก็คือก่อนฟังธรรมก็เห็น ฟังธรรมแล้วก็เห็น ก่อนฟังธรรมแล้วก็ได้ยิน ฟังธรรมแล้วก็ได้ยิน ก่อนฟังธรรมก็คิดเรื่องบ้านช่อง เพื่อนฝูง การงาน หลังจากที่ฟังธรรมเข้าใจแล้วไม่มีใครไปห้ามความคิดใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยคือต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึก ยับยั้งความคิดไม่ได้ เลือกความคิดก็ไม่ได้ เพราะว่ามีปัจจัยที่จะคิดก็ต้องคิดอย่างนั้น แต่มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ศึกษาธรรมกับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ตามความเป็นจริงก็คือว่าเป็นปกติ แต่ว่าผู้ที่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรมที่เกิดเป็นปกติ ว่าขณะนั้นๆ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ในอดีตจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็มีทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ซึ่งมีชีวิตที่ต่างกันไปตามการสะสม

    ท่านชีวกโกมารภัจจ์ ท่านศึกษาเรื่องแพทย์ เรื่องการรักษาโรค แม้ว่าท่านเป็นพระโสดาบันท่านก็ตรึกนึกคิด และกระทำกิจการงานคือรักษาคนไข้ และพระภิกษุด้วยตามปกติ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชา พระเจ้าสุทโธทนะก็เป็นพระราชา ทั้งสองท่านก็เป็นคฤหัสถ์ สำหรับพระเจ้าสุทโธทนะก็ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อนจะปรินิพพาน แต่ว่าสำหรับท่านผู้อื่นอย่างพระเจ้าพิมพิสาร ท่านก็มีชีวิตที่เป็นคฤหัสถ์ ซึ่งต้องรับผลของกรรม ที่ได้กระทำแล้วในอดีต แม้เป็นพระโสดาบันหรือถึงแม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงประชวร ใครแก้กรรมได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลก ไม่มีบุคคลใดเสมอเหมือนเปรียบได้เลย ถึงกาลที่จะต้องประชวรเพราะอดีตกรรม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปแก้ได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องมีเหตุผล และก็ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในความเข้าใจธรรม ว่าเข้าใจธรรมจบได้ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ข้อสำคัญที่สุดคือเป็นปกติ ไม่ได้ห้ามเห็น ไม่ได้ห้ามคิด ไม่ได้ห้ามทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ปัญญาคือความเห็นถูก ก็จะทำให้การดำเนินชีวิตมั่นคงในความถูกต้องเป็นกุศลเพิ่มขึ้น

    อ.กุลวิไล เพราะว่าจริงๆ แล้วธรรมทั้งหลายมีปัจจัยแล้ว ปัจจัยให้เกิดขึ้น แล้วก็เป็นไปตามการสะสมด้วย เราทุกคนเกิดมา ก็ต้องมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีทางรับผลของกรรม และก็มีทางที่จะกระทำกรรมด้วย ทางรับผลของกรรมหลังจากเกิดแล้ว ก็ไม่พ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ทางที่จะกระทำกรรม ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจาหรือแม้เนื่องด้วยเฉพาะทางใจ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าชีวิตประจำวัน ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งหมด มีปัจจัยเกิดแล้ว แต่ที่สำคัญก็คือว่า ถ้าเรามีการอบรมปัญญาเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น ชีวิตหลังจากได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ความเข้าใจธรรมก็เพิ่มขึ้นนั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ก่อนศึกษาธรรมก็เห็น ศึกษาแล้วก็เห็น แต่ก่อนศึกษาธรรม ไม่ได้เข้าใจเลยว่า เมื่อเห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไป แต่เมื่อศึกษาธรรมในขณะที่กำลังเห็น ก็สามารถที่จะเข้าใจว่า ธรรมคือเห็นที่กำลังเห็น ไม่ใช่ตัวหนังสือ ไม่ใช่เรื่องราว แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า เห็นเกิด โดยที่ไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้ง ความละเอียดของปัจจัย ว่าขณะนั้นก็มีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมเกิดร่วมด้วยคือเจตสิก ยิ่งรู้ละเอียดก็ยิ่งเห็นความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นปกติ ที่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม โดยที่ว่าไม่ใช่มีตัวตนที่จะไปเปลี่ยนแปลง และไม่ว่าอะไรเกิดก็มีความเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นแต่ข้อสำคัญที่สุด ก็คือว่าผู้ฟังโดยไม่แยบคาย พอฟังธรรมแล้วอยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงเริ่มฟังเล็กน้อย ก็ต้องการแล้วที่จะได้เห็นความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ลืม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ สิ่งที่มีขณะนี้ตามปกติ

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ยินเป็นปกติ เข้าใจหรือเปล่าว่าเป็นธรรม ฟังเรื่องว่าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม แต่ขณะที่ธรรมกำลังเกิดขึ้นได้ยิน ขณะนั้นเข้าใจสภาพที่เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เราหรือไม่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการฟังธรรมเป็นปกติจริงๆ แล้วแต่ว่าฟังเพื่อเข้าใจขึ้นๆ ๆ ทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าแม้สภาพธรรมจะปรากฏ แต่พอขาดการฟังเมื่อไหร่ หรือฟังไม่พอ ก็ไม่สามารถที่จะระลึกได้หรือเข้าใจได้ ว่าขณะนั้นเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือความมั่นคง ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนี่เองเป็นธรรม ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริง โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะให้ผู้ฟังสามารถที่จะเห็นความจริงว่า เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ฟังธรรมแล้วเข้าใจอย่างนี้หรือไม่ หรือว่าคิดจะไปทำอย่างอื่น แต่ว่าฟังธรรมก็คือเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ จะมากหรือจะน้อยก็ตาม แต่รู้ว่าขณะนี้ทั้งหมดเป็นธรรมแน่นอน ฟังธรรมก็คือเพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ ความสงสัย ความต้องการทั้งหมด ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเราพูดอย่างนี้แต่เวลาที่สภาพธรรมเกิดขึ้น ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าขาดความเข้าใจถูก ไม่ใช่ขาดอย่างอื่นเลย ที่ฟังธรรมฟังเหมือนเข้าใจแล้ว แต่ว่าขาดความเข้าใจถูกในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ ปรากฏ ด้วยเหตุนี้กว่าจะเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มั่นคงขึ้น นี่คือการเจริญขึ้นของปัญญา ที่สามารถจะรู้แจ้งสภาพธรรมด้วยความเข้าใจ จนกระทั่งสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง จนกระทั่งสามารถที่จะคลายความสงสัย และความไม่รู้ เป็นปกติ นี่ก็คือชีวิตที่ดำเนินไป หลังจากที่ได้เข้าใจธรรม ก็คือเป็นปกติ แล้วก็เริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย

    อ.กุลวิไล เพราะว่าก่อนศึกษาก็มีการเห็น หลังศึกษาแล้วก็ยังมีการเห็น เป็นปกติ แต่ปัญญาสามารถจะเข้าใจถูกได้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ จากเมื่อวานนี้ที่ได้ฟัง มาถึงวันนี้ที่ได้ฟังอีกเป็นปกติหรือไม่ ก็เป็นปกติ แต่ว่าความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละน้อยหรือว่า มีอกุศลมากที่ทำให้ลืมว่าเป็นธรรม จนกระทั่งได้ยินบ่อยๆ พูดถึงบ่อยๆ ทำให้ขณะที่ได้ยิน ไม่ลืม แต่ก็แม้ไม่ลืมเข้าใจแค่ไหน นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องฟังต่อไปอีก และไม่ประมาทอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และกุศลแม้เพียงเล็กน้อยด้วย ขณะนี้แข็งปรากฎ เป็นสังสารวัฎหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ นานแสนนานมาแล้ว แข็งจะปรากฏต่อไปอีกหรือไม่ เมื่อมีกายปสาท และมีสิ่งที่กระทบสัมผัสก็ปรากฏอีก แต่รู้หรือไม่ ถ้าไม่ประมาทแม้เพียงหนึ่งขณะที่กำลังเข้าใจแข็ง ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่นเลย เพราะแข็งเท่านั้นที่ปรากฏ เป็นธรรม ก่อนนี้แข็งก็คือดอกไม้บ้าง เก้าอี้บ้าง วิทยุบ้าง แต่ขณะใดก็ตามที่แข็งปรากฏจากการฟัง รู้เฉพาะตรงนั้นแม้เพียงสั้นมาก เล็กน้อยมาก แต่เริ่มสะสมที่จะรู้จักว่านี่เป็นธรรมจริงๆ แข็งเป็นธรรมจริงๆ เหมือนเสียงก็เป็นธรรมจริงๆ ได้ยินก็เป็นธรรมจริงๆ คิดนึกก็เป็นธรรมจริงๆ

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มที่จะรู้ลักษณะที่เป็นธรรมทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมเพิ่มขึ้น ก็เป็นกาลเวลาที่ยาวนาน เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้มามาก เพราะฉะนั้นเพียงแข็งปรากฏ และก็ไม่ลืมที่จะเข้าใจถูกต้องว่านี่ก็คือธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็คือธรรม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน ในการที่จะเข้าใจว่านี่เป็นธรรม แต่ความจริงอย่างนี้เอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่างมั่นคงขึ้น ก็จะทำให้สามารถเกิดสติสัมปชัญญะ ที่ใช้คำว่ารู้ตัว ในภาษาไทยง่ายๆ ธรรมดา แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาธรรม รู้ตัวคืออะไร อย่างบางคนก็บอกว่ากำลังเดินก็รู้ตัวว่ากำลังเดิน ใช่หรือไม่ หรือว่ารับประทานอาหารก็รู้ตัวว่ากำลังรับประทานอาหาร แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นแม้คำพูดจะใช้ภาษาใดภาษาหนึ่ง แต่ความไม่เข้าใจก็ทำให้ ไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมได้ ด้วยเหตุนี้คำเดียวกัน ไม่ใช่คำที่ต้องไปคิดขึ้นมาใหม่ ที่ไม่ใช่ภาษาที่ใช้อยู่เป็นประจำ แต่สามารถที่จะเข้าใจว่า รู้ตัวคือมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ให้เข้าใจ ไม่ใช่ไม่มีเลย คือประโยชน์ของการที่เราเริ่มที่จะรู้ว่า แม้แต่ขณะที่กำลังเห็น รู้ตัวคือขณะนั้น เห็น ก็มีความเข้าใจว่า ขณะนั้นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่า ฟังแล้วฟังอีก ฟังอีกฟังแล้วจนกว่าจะมีความเข้าใจ และเป็นผู้ที่ละเอียด

    อ.กุลวิไล มีท่านผู้ถามเรียนถามท่านอาจารย์ว่า จากข้อความที่กล่าวพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเปลี่ยนธรรม แต่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไปตามความจริงของธรรมแต่ละอย่าง จะกราบเรียนท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจ ความเป็นธรรมที่ทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าธรรมทุกวัน แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ แม้แต่ความสงสัย ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แต่ว่าไม่ได้เปลี่ยนธรรม เพราะว่าธรรมเป็นธรรม ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมดาอย่างนี้ เห็นเป็นธรรมหรือไม่ ต้องเข้าใจใช่หรือไม่ เห็นขณะนี้เป็นธรรมเกิดแล้ว เปลี่ยนเป็นอื่นได้หรือไม่

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือคำตอบชัดเจน ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไรที่สับสน เพราะเหตุว่าขณะนี้ ได้ยินก็เป็นธรรม ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว เปลี่ยนได้ยินให้เป็นอย่างอื่นได้หรือไม่ ก็ไม่ได้

    อ.กุลวิไล ที่กล่าวว่าเป็นธรรม หลายท่านก็คิดว่า จากการศึกษาค่อนข้างยากท่านอาจารย์ เพราะว่าความยึดถือในธรรมที่ปรากฏว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ยากเพราะไม่ฟังให้เข้าใจ ว่าธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ทุกคำต้องเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่คนฟังอยากเข้าใจ แสดงว่าอยากให้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เป็นตัวเราที่พยายามที่จะเข้าใจให้ได้ หรือว่าพอได้ยินคำว่าธรรม ได้ฟังธรรมก็อยากรู้จักธรรมทันที ลืมแล้วว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แม้กำลังเผชิญหน้าอยู่ แต่ถ้าไม่มีการเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักธรรมจริงๆ ได้ การฟังธรรมสิ่งที่ไม่ลืมคือเป็นพระธรรมที่พระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แค่นี้ เราก็สามารถที่จะพิจารณาโดยไม่เผิน ว่าเราเข้าใจแค่ไหน ยังไม่ต้องข้ามไปถึงอย่างอื่นเลย แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม ฟังธรรมไม่ว่าเรื่องอะไร ก็คือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตามความเป็นจริงเพื่อเข้าใจขึ้น

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้ายังเป็นเราอยู่ ขณะนั้นก็ไม่เข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ต้องเป็นเรา ฟังธรรมว่าเป็นธรรม แล้วจะเป็นธรรมทันทีโดยไม่เป็นเราเลยเป็นไปไม่ได้ แต่ฟังธรรมแล้วรู้ว่ายังไม่รู้จักว่า ธรรมเป็นธรรม จนไม่ใช่เรา มั่นคงหรือไม่ว่าธรรมเป็นธรรม และใครก็เปลี่ยนแปลงธรรมไม่ได้ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงของธรรม แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนธรรม เพราะเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมได้เลย มั่นคงหรือยัง ถ้ามั่นคงอย่างนี้ก็คือว่า ไม่มีการที่จะคิดว่าใครจะเปลี่ยนธรรม

    อ.กุลวิไล ที่ว่าเปลี่ยนไม่ได้ อย่างเช่นแข็งเป็นแข็ง ใครจะเปลี่ยนแข็งให้เป็นร้อนไม่ได้ เพราะแข็งก็เป็นแข็ง หรือแม้สิ่งที่ปรากฏทางตา ใครจะเปลี่ยนให้เป็นเสียงที่ปรากฏทางหูก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั้นคือการเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะหมดแล้วไม่เหลือเลย ใครจะเป็นเจ้าของสิ่งที่ไม่มี

    อ.กุลวิไล เชิญคุณวิชัย

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ ขอเรียนถามท่านอาจารย์ สัปดาห์ก่อนหน้ามีโอกาสได้สนทนากับท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านคงเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม ได้สอบถามเกี่ยวกับสภาพธรรม ก็คือจะกล่าวถึงมีแข็ง มีเย็นร้อนหรือว่ามีคิดอะไรต่างๆ ซึ่งท่านผู้นั้นก็เข้าใจว่าเป็นการที่รู้ในลักษณะของธรรมนั้นๆ แต่ก็คือมีประเด็นที่ว่า การที่ศึกษาแล้วเข้าใจเพียงเข้าใจในลักษณะกับการที่บุคคลนั้นเข้าใจว่ารู้ในลักษณะ

    ท่านอาจารย์ เหมือนว่าฟังแล้วรู้ ใช่หรือไม่

    อ.วิชัย ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงรู้อะไร ตอนนี้มีแข็งแล้วก็คิดว่ารู้ในลักษณะที่แข็ง แข็งกำลังปรากฏ รู้อะไร ไม่ใช่พอพูดถึงแข็งก็คิดว่ารู้แล้วว่าแข็งมี เคยกระทบแข็ง แต่เดี๋ยวนี้เองทุกคน ธรรมทั้งนั้นเลยทั้งหมด ไม่มีใครสักคน แต่ว่ามีธรรมลักษณะต่างๆ เพราะฉะนั้นในขณะนี้มีแข็งกำลังรู้ลักษณะแข็งหรือเปล่า

    อ.วิชัย ตอนนี้ก็มีแข็งปรากฏ

    ท่านอาจารย์ มีแข็งปรากฏ แต่กำลังรู้ลักษณะแข็งหรือไม่

    อ.วิชัย ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ว่าคิดถึง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนนั้นเข้าใจหรือไม่ ว่าการฟังธรรมรู้ว่ามีแข็ง และแข็งเป็นธรรม แต่ยังไม่รู้ขณะที่แข็งกำลังปรากฏว่าขณะนั้นเป็นธรรมหนึ่งแล้ว แล้วก็กำลังได้ยิน คนนั้นก็บอกว่าก็รู้ว่าได้ยินก็เป็นธรรม แต่ขณะที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ขณะที่เสียงปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ได้ยิน แต่รู้ลักษณะของเสียง เสียงมีจริงๆ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่มีเฉพาะเสียง ที่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ได้ยินก็มี เพราะฉะนั้นในขณะที่ได้ยิน เสียงปรากฏรู้อะไร ที่ว่ารู้แล้ว ฟังแล้วเข้าใจแล้ว แต่รู้แล้วหรือเปล่า นี่คือการฟังธรรมเผินมาก พอได้ยินก็คิดว่ารู้แล้วทั้งหมด จบ ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นธรรม นั้นก็เผินอีก ขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือธรรม การที่ฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏลักษณะต่างๆ กัน และพอได้ยินคำว่าจิต ซึ่งเราก็ได้ยินบ่อยๆ เหมือนเข้าใจ แต่รู้หรือไม่ว่าขณะนี้จิตอยู่ที่ไหน และจิตทำอะไรก็เลยเกิดสงสัย ว่าพอจิตเห็นแล้ว และทำไมถึงเกิดพอใจ ไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้จักจิต จิตเป็นนามธาตุ เวลาฟังธรรมต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แล้วก็พิจารณาว่าจริงหรือไม่ เป็นนามธาตุเพราะเหตุว่าไม่มีรูป รูปคือสิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย แข็งไม่รู้อะไร เสียงไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นจิตไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏทางตา ทางหู เป็นนามธาตุ หมายความว่าไม่ใช่รูปโดยประการทั้งปวง แยกขาดจากธรรมที่เป็นฝ่ายรูป เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่เที่ยงตรง ไม่ปะปนกัน ถ้าเป็นสภาพไม่รู้จะเปลี่ยนลักษณะไม่รู้ให้เป็นสภาพรู้ไม่ได้ อย่างแข็งเกิดปรากฏเป็นแข็งเมื่อไหร่ หลายพันปีมาแล้ว แสนปีมาแล้ว แข็งก็เกิดเป็นแข็ง ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นลักษณะของธรรมแต่ละอย่างคือเกิดเป็นอย่างนั้น มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริงของธรรมนั้นได้ เพราะฉะนั้นจิตไม่ใช่รูปโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่หวาน ไม่ขม ไม่เผ็ด ไม่ดัง ไม่เปรี้ยว แต่เมื่อเกิดแล้วเป็นธาตุรู้ล้วนๆ เลย แยกจากรูปโดยเด็ดขาด ไม่มีรูปใดๆ เจือปนในจิตเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในขณะนี้ จิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ ซึ่งถ้าไม่มีการเห็น จะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ปรากฎเป็นอย่างนี้ แต่ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะจิตเกิดขึ้นรู้ คือเห็น รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ มีจริงๆ ใช่หรือไม่

    อ.กุลวิไล มีจริง

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เสียงปรากฏเพราะจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่จิตเป็นธาตุรู้กำลังรู้เสียงที่เราใช้คำว่าได้ยิน และเสียงก็หลากหลายมาก แต่จิตก็สามารถที่จะรู้ได้ทุกเสียง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด เข้าใจความเป็นธรรม ความเป็นธาตุ เกิดเพราะมีปัจจัยที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นอย่างอื่น แม้แต่ความคิดสงสัย ก็เกิดเพราะปัจจัย ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เกิด ต้องมีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียด เริ่มรู้จักธรรมก่อนที่จะรู้ว่า ปัจจัยอะไรทำให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    22 ก.พ. 2567