พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 664


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๖๔

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้สิ่งใดปรากฏสิ่งนั้นคือสิ่งที่จิตกำลังรู้ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นสิ่งที่จิตเกิดขึ้นเห็น เพื่อให้รู้ความจริงของชีวิตในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นสะสมความรู้ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น การที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม และเข้าใจว่ามีปัญญาที่รู้ลักษณะนั้นโดยไม่มีความรู้แม้ขณะที่กำลังเห็น หรือว่ากำลังได้ยินซึ่งเป็นปกติอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงเรื่องการละ การดับกิเลส การรู้แจ้งอริยสัจธรรม การเห็นถูกว่าขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่างต้องอาศัยความเข้าใจตั้งแต่การฟังอย่างมั่นคง เพื่อละความต้องการ เพราะจะไม่รู้ว่าความต้องการเปลี่ยนจากเรื่องอื่นมาเป็นการต้องการรู้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยความต้องการ แต่ด้วยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย สิ่งของที่ใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับโลกใบนี้ โลกกลมๆ นี่ก็เป็นเพียงฝุ่นละอองเล็กน้อยที่สุดแต่ละกลาปแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ เพราะฉะนั้นความเห็นถูกความเข้าใจถูกแต่ละเล็กน้อยเป็นอณูเหมือนกลาปก็จะมีความมั่นคงขึ้นเมื่อได้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น พร้อมที่จะละความติดข้อง และความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นสิ่งประเสริฐสุด สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ไม่เคยรู้มานานแสนนาน แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงว่าการฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แต่จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละคน เพราะว่าความจริงแล้วก็ต้องเป็นความจริง มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นการฟังธรรมขณะนี้เพื่อมีความเห็นที่ถูกต้องสะสมสืบต่อไปทุกชาติ ไม่ใช่ว่าชาตินี้ก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่รู้ได้ด้วยตนเองว่าจะรู้ได้ไหม ไม่ใช่คนอื่นต้องบอก เพราะว่าขณะนี้ก็มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็กำลังฟังเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงแต่การเข้าใจในขั้นการฟัง มีพอที่จะละความต้องการ หรือไม่ เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นเรื่องให้เกิดปัญญาคือความเห็นถูก หรือความเข้าใจสิ่งที่มีจริงนั่นเอง จนกว่าสามารถที่จะคลายความติดข้องสภาพธรรมจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการคลายความติดข้องด้วยความรู้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นก็ไม่มีทางที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรงว่า เมื่อได้ฟังธรรมแล้วเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อคลายความไม่รู้เพื่อสะสมความรู้ถูกต้องจนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงด้วยการละไม่ใช่ด้วยความต้องการ

    ผู้ฟัง แล้วความคิด หมายถึง

    ท่านอาจารย์ ความคิดมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริงเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่ต้นก็จะไม่มีความสงสัยว่าคิดมีจริง แต่คิดเกิดเพราะเหตุปัจจัย ทำไมแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน และคิดเกิดเมื่อไร อย่างรวดเร็วคือหลังเห็นก็คิด หลังได้ยินก็คิด เพราะฉะนั้นแม้ความคิด และสภาพธรรมทั้งหลายมีจริง ใช่ว่าจะรู้ลักษณะนั้นจึงสงสัย เพราะฉะนั้นความสงสัย สงสัยในอะไรก็ตามแต่ ส่องถึงความไม่รู้ในสิ่งนั้นจึงสงสัย ด้วยเหตุนี้ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงตั้งแต่ต้นเป็นพื้นฐานที่มั่นคงจริงๆ ว่าสิ่งใดมีจริงขณะนั้นสิ่งนั้นเกิด และก็มีลักษณะเฉพาะซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างคิดมีแน่นอนแต่ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น เห็นก็จริง คิดก็จริง ก็เป็นธรรมกว่าจะรู้ ไม่ใช่ว่าเพียงฟังอย่างนี้แล้วก็จะไปรู้ลักษณะของธาตุที่เกิดขึ้นไม่มีรูปร่างใดๆ แต่คิดเพราะได้สะสมมาจากการเห็นบ้าง การได้ยินบ้าง และการที่เคยมีประสบการณ์อย่างนั้นอย่างนี้บ้างก็ทำให้เกิดความคิดที่หลากหลายแม้แต่ในความฝัน ฝันคิด หรือไม่

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ บังคับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คิดเดี๋ยวนี้บังคับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ทำไมคิดเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนฝัน เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏจึงคิดถึงสิ่งที่ปรากฏ แต่ในฝันไม่มีเห็น จะไปคิดเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ก็คิดจากความจำทั้งหมด แล้วก็ปรุงแต่งทั้งความรู้สึกต่างๆ ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวซึ่งไม่น่าจะคิด หรือไม่คิดว่าจะคิดก็คิดได้

    ผู้ฟัง แต่ลักษณะของจิตคือการรู้แจ้ง และเมื่อจิตเกิดขึ้นก็จะต้องรู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้คู่กัน จะรู้โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่ความคิดมีจริง และปรากฏขึ้น

    ท่านอาจารย์ คิดแน่ๆ คิดเรื่องอะไร ปรากฏขึ้น ถ้าไม่คิดจะมีคำ “ว่าปรากฏขึ้น” ที่เพิ่งพูดเมื่อสักครู่ ได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นคือคิด

    ผู้ฟัง และอย่างนั้นหมายความว่าคิดก็อย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏก็อย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง แล้วสิ่งที่รู้แจ้งอารมณ์ ติดอยู่ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า”รู้” รู้แจ้งหมายความว่าเป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้สิ่งหนึ่ง ธาตุรู้นั้นไม่รู้แจ้งอย่างอื่น นอกจากที่รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจิตเป็นปัณฑระ หมายความว่าเป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ไม่โกรธ ไม่รัก ไม่ชัง ไม่ริษยา ไม่สำคัญตนใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีธาตุซึ่งเกิดกับจิต มีลักษณะอาการต่างๆ ทำให้จิตขณะนั้นเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง ตามสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่เกิดกับจิตดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต และมีที่เกิดที่เดียวกับจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องอาศัยรูปเป็นที่เกิด เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เป็นความจริงซึ่งใครจะรู้ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ และไม่ทรงแสดงพระธรรม ใครจะรู้ความจริงนี้ได้ ว่าที่เป็นเรา เป็นเขา เป็นต้นไม้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะคิดจากสิ่งที่มีจริงที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไปเท่านั้น อยู่ในโลกอย่างนี้มานานแสนนาน คือโลกมืดด้วยความไม่รู้ความจริง มีความหวังสารพัดอย่างใช่ไหม แล้วชาติหน้าจะเป็นคนชนิดไหนดี

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพียงแต่ว่าคิดว่าคนไหนดี เขาดีอย่างไร มีจิตเมตตาไม่จำกัดไม่ว่าใคร มีความกรุณาพร้อมที่ช่วยคนอื่น ไม่มีความสำคัญตน เพราะว่าทุกคนเสมอกันหมด เห็นเหมือนกันหมด เห็นเป็นธาตุเห็นเกิดขึ้น ได้ยินเป็นธาตุได้ยินเกิดขึ้น ทุกอย่างก็เป็นธรรมที่สาธารณะเพราะเป็นธาตุแต่ละอย่างซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ต่างกันที่ดี และชั่ว เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ทราบว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไร จะเป็นคนดี หรือจะเป็นคนชั่ว ไม่ทราบว่าชอบคนไหน

    ผู้ฟัง ก็ต้องเลือกคนดี

    ท่านอาจารย์ ชอบคนดีใช่ไหม แล้วเราจะดีอย่างที่เราชอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำไม ทำไมคนนั้นเขาดีอย่างที่เราชอบเขาได้ แล้วเราจะเป็นคนดีอย่างนั้นไม่ได้ หรือ ทำไม ใครมาห้ามไม่ให้เราเป็นคนดี ทำไมบอกว่าไม่ได้

    ผู้ฟัง ก็บังคับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับไม่ได้จากความไม่รู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่มีปัญญาเป็นแสงสว่าง อะไรจะละความไม่รู้ซึ่งทำให้เกิดความไม่ดีต่างๆ ถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องขณะนั้นจะเป็นความไม่ดีไม่ได้ จะนำมาแต่สิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นจะเป็นคนดีอย่างที่ชอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้ ถ้าฟังพระธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ค่อยๆ สะสม ไม่ใช่ได้แต่เมื่อไรก็ไม่รู้ คนนั้นเขามีเมตตามากเหลือเกิน แต่เราก็โกรธ ก็พยาบาทแล้วก็ไม่อภัยแล้วเราจะเป็นอย่างคนนั้นได้ไหม เพราะฉะนั้น ไม่ใช่รอวันเวลา และหวัง ขณะนี้ทุกขณะเป็นสิ่งซึ่งไม่รอ ถ้ากุศลไม่เกิดก็อกุศล ถ้าความรู้ไม่เกิดก็เป็นความไม่รู้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่จากโลกนี้ไปแล้ว จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังได้เข้าใจธรรม ได้เป็นคนดีขึ้น หรือไม่

    ผู้ฟัง ทุกสิ่งเป็นธรรม เมื่อพูดประโยคนี้มีความคิดเกิดขึ้นถึงพูดประโยคนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏก็คือคำพูดที่ปรากฏ แต่นี้ไม่ทราบสภาพคิด แต่เมื่อไรที่รู้ว่าคิด

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาเจาะจงสภาพคิด ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่กล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรม คิดมีจริงๆ คิดเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง คิดเป็นธรรม แต่ไม่ได้ปรากฏสภาพคิด

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ปรารกฏสภาพเห็น หรือไม่

    ผู้ฟัง ปรากฏสภาพเห็น หรือไม่ สภาพเห็น ก็ยัง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถ้าเราฟังธรรมผิวเผินไม่ได้เทียบเคียงว่าเราเข้าใจธรรมขั้นฟัง แต่เรายังไม่รู้ลักษณะแม้เห็น แม้คิด ถ้าว่ารู้ลักษณะของเห็นก็ต้องรู้ลักษณะของคิดด้วยแก็เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้สิ่งทึ่กำลังปรากฏ แต่ต่างทาง เช่นทางตาต้องอาศัยจักขุประสาทรูป รูปที่ไม่มีใครมองเห็น เห็นเมื่อไรก็เป็นเพียงรูปที่ปรากฏให้เห็นได้ที่สามารถกระทบกับจักขุประสาทเท่านั้น จะเห็นรูปอื่นนอกจากรูปนี้ไม่ได้ เสียงเห็นไม่ได้ แข็งเห็นไม่ได้ รสเห็นได้ไหม พอเห็นเกลือเห็นรส หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าถ้ากล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรมเริ่มจากการเข้าใจว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัยไม่ได้จำกัด อดีต อนาคต ปัจจุบัน ขณะนี้มีจริงอย่างไร สิ่งที่เคยมีจริงแล้วในอดีตก็เป็นจริงอย่างนี้แล้วก็ดับหมดไป ไม่กลับมาอีก สิ่งที่ยังไม่มาถึงมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นปรากฏได้แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นธรรมก็มีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นธรรมแต่ยังไม่ได้ลึกซึ้ง แค่ได้ยินว่าเป็นธรรมเริ่มเข้าใจคำว่า ”ธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีขณะนี้ แต่ยังไม่รู้ความจริง ยังไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรม เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า ไม่รู้ว่าคิดเป็นอย่างไร ใช่ไหม แต่ไม่ต้องไปคิดเรื่องคิด ฟังธรรมให้รู้ว่าธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ไม่เลือก ขณะนี้แข็งกำลังปรากฏจะเลือกไม่รู้ไหม จะไปรู้แต่คิด หรืออย่างไร นี่คือการเข้าใจว่าฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ ทุกอย่างด้วย แต่ว่านี่ขั้นฟัง ยังไม่พอ ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจนละคลายการไม่รู้โดยขั้นฟัง จนกระทั่งมีความมั่นคงเป็นสัจจญาณ ความจริงนี่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คือเป็นธรรมไม่ว่าจะเห็นอะไร เห็นคน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นธรรม ขณะที่คิดว่าเป็นคนนี้ หรือคนนั้นขณะนั้นก็เป็นการจำ และคิดจากการที่เคยจำได้ว่าเป็นอะไร แต่ขณะนั้นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏว่ามีจริงๆ ขณะนี้แล้วก็หมดไป เหลือให้คิดว่าสิ่งที่เห็นเมื่อกี้รูปร่างเป็นอย่างไง เป็นคนนั้นเป็นคนนี้ หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นความจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเปลี่ยนไปทำอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจว่าขณะนี้ก็มีสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และกำลังปรากฏ แต่แม้ได้ยินได้ฟังสักเท่าไร ก็ยังไม่สามารถที่จะถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะละคลายความไม่รู้ พราะฉะนั้นยังสงสัยอย่างนี้อย่างนั้นก็คือแสดงให้เห็นว่าความมั่นคงจากการฟังไม่พอ ยังคงมีความหวังที่ว่าแล้วเมื่อไรจะสามารถรู้ความจริงนั้นได้

    ผู้ฟัง จิตที่คิดกับสภาพคิดต่างกันไหม

    ท่านอาจารย์ เช่นคำว่าคิดถึง ไม่มีจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จิตรู้แจ้งคำว่าคิดไม่เป็นอื่น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู กำลังมีเฉพาะคำนั้นเป็นอารมณ์ ส่วนวิตก หรือเจตสิกที่คิดเพียงคิดแต่จิตรู้แจ้งในสิ่งที่วิตกคิด ใครรู้มากกว่ากัน เพราะใคร เพราะอะไร สภาพธรรมทั้งหมดอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ถ้าจะพูดถึงเจตสิกที่คิดภาษาบาลีใช้คำว่า “วิตกเจตสิก” แต่ยังหยาบมากถ้าเข้าใจว่าขณะคิดเป็นเจตสิกที่เป็นวิตกเท่านั้น หรือว่ายังอยากที่จะรู้ว่าแม้ไม่คิดวิตกเจตสิกก็เกิดแล้ว เห็นไหมว่าเรายังไม่ได้รู้ความละเอียดของธรรม ขณะนี้เป็นอย่างนี้สภาพธรรมเกิดดับโดยไม่รู้เหมือนอยู่ในความมืดสนิท พูดถึงสิ่งที่มองไม่เห็นใช่ไหม และไม่เข้าใจเหมือนยิงลูกศรไปในความมืดใครเห็นลูกศรที่ยิงไปบ้าง ไม่เห็น เพราะฉะนั้นกำลังพูดถึงเรื่องจิต พูดถึงเรื่องเจตสิก พูดถึงเรื่องธรรมที่กำลังเกิดดับ แต่ต้องเป็นความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยที่จะคลายความไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกคนพอบอกว่าคิดก็จะมุ่งไปที่วิตกเจตสิก แต่ความละเอียดก็คือว่าหลังจากจักขุวิญญาณซึ่งทำกิจเห็นดับแล้ว จิตที่เกิดต่อรับรู้อารมณ์ที่จักขุวิญญาณเห็น บาลีเรียกจิตนั้นว่า “สัมปฏิฉันนจิต” มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ได้คิดเป็นคำอย่างที่คุณสุกัญญาใช้คำว่า”คิดถึง” ใช่ไหม ขณะนั้นวิตกไม่ได้นึกคำว่าคิด แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏที่ยังไม่ดับซึ่งรู้ต่อจากจักขุวิญญาณ เพราะฉะนั้นลักษณะของวิตกเจตสิกก็คือจรดในอารมณ์ที่ผัสสะกระทบ และที่จิตรู้แจ้ง

    การศึกษาธรรมที่จะละคลายความเป็นตัวตนได้ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจยิ่งเห็นว่าเป็นอนัตตามากขึ้น ก็จะทำให้มีปัจจัยที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ผูกจิตไว้กับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังที่กำลังปรากฏไม่ไปที่อื่น เวลานี้กำลังฟังเรื่องนี้ใจใครไปไหนบ้าง ใจใครไปไหนบ้าง หรือไม่ไป อยู่ที่เห็น อยู่ที่แข็ง อยู่ที่คิดอยู่ที่สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดไปกับเรื่องที่ได้ยินก็ยังดี คือว่าไม่ได้ไปที่อื่น แต่ว่าขณะนั้นก็ยังไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ลักษณะที่กำลังกล่าวถึง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงฟังด้วยดี ทำให้เกิดความเข้าใจ ด้วยดีคือไม่เผิน ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยิน แต่ไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ละเอียดขึ้น กว่าจะรู้ความจริงว่าคิดก็เป็นธาตุที่เกิดขึ้น ขณะนั้นกำลังรู้คำที่คิด ไม่ใช่รู้คำอื่นแต่รู้คำที่คิด เมื่อคิดเป็นคำ แต่คิดก็ไม่ได้มีแต่คำอย่างเดียว เห็นดับไปแล้วคิด หรือไม่ คิดถึงสิ่งที่ปรากฏรูปร่างสัณฐานยังไม่มีชื่อ แต่มีนิมิตปรากฏให้จำ และคิด ไม่ต้องเรียกอะไรก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันในสังสารวัฏฏ์อย่างละเอียดยิ่ง จะฟัง หรือไม่ฟังดีละเอียดอย่างนี้

    ผู้ฟัง ต้องฟัง

    ท่านอาจารย์ หรือว่ายากนักกว่าจะรู้ได้ ยากนักแต่ว่าไม่ยากเท่ากับคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เพราะว่าได้ยินได้ฟังมาพอสมควรใช่ไหม จากชาติก่อนด้วย ชาตินี้ด้วย และต่อไปด้วยเพื่อละ ต้องไม่ลืมว่าเพื่อละ จะถึงเมื่อไร จะเข้าใจเมื่อไร จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเมื่อไร ตามเหตุตามปัจจัย นั่นคือเป็นผู้ที่มั่นคงในความเข้าธรรมว่าเป็นธรรม และเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดแล้วทั้งหมดแต่ไม่สนใจสิ่งที่เกิดแล้ว สนใจสิ่งที่ยังไม่มาถึง จะทำอย่างนี้ใช่ไหม แต่สิ่งที่ปรากฏแล้วไม่ได้ทำเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ทำไมไม่รู้ให้ถูกต้องว่าทำไม่ได้

    ผู้ฟัง แล้วจิตที่คิดต่างจากจิตที่เห็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ หลับตาแล้วคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังคิดได้

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าถ้าไม่มีตาเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีตาเห็นไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือความต่างของจิตเห็นกับจิตคิด คนละขณะด้วย ทำกิจคนละอย่างด้วย

    ผู้ฟัง อย่างนั้นทางกายกับจิตคิด

    ท่านอาจารย์ กำลังถืออะไรอยู่

    ผู้ฟัง ถือไมโครโฟน

    ท่านอาจารย์ กระทบอะไรอยู่

    ผู้ฟัง แข็ง

    ท่านอาจารย์ แล้วแข็งเป็นอะไร

    ผู้ฟัง แข็งเป็นรูป

    ท่านอาจารย์ ไมโครโฟนเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ไมโครโฟนก็เป็นรูป เป็นวัตถุ

    ท่านอาจารย์ เพราะคิด เวลาแข็งปรากฏไม่ต้องคิด ถูกต้องไหม จิตกำลังรู้แข็ง ไม่ต้องคิด แต่แข็งนั้นเป็นอะไรคิดแล้วจึงเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ความจริงก็เป็นแข็ง แล้วอะไรจริง แข็งเกิด แข็งดับ หมดไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ว่าความคิดตามสิ่งที่มีโดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงคิดถึงสิ่งที่เคยปรากฏ และคิดก็ดับไปด้วย ชาติก่อนคิดอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง จำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานคิดอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ก็จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ เสียเวลาใช่ไหม จำไม่ได้ คิดแล้วหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ

    ผู้ฟัง แต่คิดก็มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ยืนยันแล้วใช่ไหม เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น แล้วสิ่งที่คิดคือไม่จริง หรือ

    ท่านอาจารย์ คิดว่าอะไร

    ผู้ฟัง ก็คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว

    ท่านอาจารย์ คิดว่าอะไรที่จะกล่าวว่าไม่จริง

    ผู้ฟัง ก็อย่างไมโครโฟน ไม่ใช่แข็ง

    ท่านอาจารย์ ไมโครโฟน จำได้ทั้งๆ ที่เพียงแค่กระทบแล้วมีสิ่งที่ปรากฏทางตาก็รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    24 ธ.ค. 2566