แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 655


    ครั้งที่ ๖๕๕


    แม้พระสาวกก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเรื่องการรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ท่านก็คงไม่ปรารถนาที่จะสร้างสมกุศลทั้งหลายที่จะให้เป็นบารมีที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    บุคคลที่มีความเชื่ออย่างอื่น มีความเห็นอย่างอื่น มีความเลื่อมใสอย่างอื่น ก็มีมาก แม้ว่าได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทำทานกุศล แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกต่างๆ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นก็มีทาน มีศีล แต่ว่าบุคคลเหล่านั้นหรือที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ตราบใดที่ยังไม่บำเพ็ญกุศลต่างๆ เพราะมีความเห็นว่า กิเลสเป็นสิ่งที่ดับยาก สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับเป็นสิ่งที่ประจักษ์ยาก ถ้าไม่เจริญกุศลทุกประการให้เป็นเครื่องประกอบ ก็ย่อมยากแก่การที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็ย่อมเกิด และสะสมเพิ่มขึ้น การที่จะดับกิเลสเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยากขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ในสิงคาลกสูตร พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงธรรมแก่คฤหัสถ์ เพราะทราบว่าชีวิตของคฤหัสถ์จะต้องอบรมเจริญกุศลอีกมากกว่าที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งความเป็นอยู่ของบุคคลทั้งหลายที่จะอยู่โดยลำพัง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นๆ โดยฐานะต่างๆ กัน และเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นๆ โดยฐานะต่างๆ กันแล้ว จิตของท่านเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลอย่างไร

    การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ก็เปรียบเสมือนทิศทั้งหลาย เพราะไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องมีทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ในขณะนี้มีทุกทิศ เพราะฉะนั้น การอยู่กับบุคคลทั้งหลายโดยฐานะต่างๆ เปรียบเสมือนบุคคลใดเป็นทิศใด และท่านจะอยู่กับบุคคลเหล่านั้นด้วยกุศลจิต หรือด้วยอกุศลจิตอย่างไร

    สำหรับผู้ที่อบรมปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ย่อมต้องเจริญกุศลทุกประการ แม้แต่ในการที่จะปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ร่วมกับท่าน ซึ่งเสมือนทิศต่างๆ

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสกับสิงคาลกมาณพว่า

    ดูกร คฤหบดีบุตร ก็อริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ อย่างไร ท่านพึงทราบทิศ ๖ เหล่านี้ คือ พึงทราบมารดาบิดาว่าเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน ฯ

    ถ้าปรารถนาจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ไม่สนใจที่จะประพฤติต่อทิศทั้งหลาย คือ บุคคลทั้งหลายที่ท่านอยู่ร่วมด้วยให้ถูกต้อง อกุศลจิตก็จะเกิดมาก และเวลาที่อกุศลจิตเกิดสะสมมากขึ้น ก็ย่อมยากต่อการที่จะดับอกุศลธรรมเหล่านั้นเป็นสมุจเฉท

    สำหรับความหมายของคำว่า ปกปิด คือ ภัยย่อมจะไม่มีมาจากทิศทั้ง ๖ คือ จากบุคคลทั้งหลายที่อยู่ร่วมกับท่าน ถ้าท่านประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นด้วยกุศลธรรม

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร คฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจไว้ว่า ท่านเลี้ยงเรามาเราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑ จักรับทำกิจของท่าน ๑ จักดำรงวงศ์สกุล ๑ จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑ ก็หรือเมื่อท่านละไปแล้ว ทำกาลกิริยาแล้ว จักตามเพิ่มให้ซึ่งทักษิณา ๑ ฯ

    ทุกท่านมีมารดาบิดา ท่านทำกิจเหล่านี้หรือเปล่าด้วยกุศลจิต ถ้าประพฤติต่อมารดาบิดาโดยถูกต้อง พร้อมกันนั้น อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่าแยกการเจริญสติปัฏฐานไว้ต่างหาก และการประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลทั้งหลาย ในชีวิตประจำวันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย นี่คือบารมีในการที่ปฏิบัติถูกต่อ ผู้มีคุณด้วยกุศลจิต และไม่ได้หวังอะไร ไม่ใช่หวังผลที่จะเกิดในสวรรค์ หรือว่าไม่หวังผลของกุศลที่จะได้ทรัพย์สมบัติมากมาย แต่หวังที่จะขัดเกลากิเลส เพราะเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน และมั่นคงในการที่จะสร้างสมปัญญาในการที่จะดับกิเลส จะไม่ละทิ้งความละเอียดของสภาพธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลที่ท่านอยู่ร่วมด้วยโดยฐานะของทิศต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ต้องอาศัยวิริยะความเพียร และศรัทธาด้วย

    เช่น บุตรพึงบำรุงมารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้าด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจไว้ว่า ท่านเลี้ยงเรามาเราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑

    ทำกิจนี้หรือเปล่า ถ้าลืมก็เป็นอกุศล เพราะว่าอกุศลย่อมทำให้หลงลืมกิจที่ควรกระทำต่างๆ ท่านที่ยังอยู่กับมารดาบิดา คงจะพิจารณาเห็นได้ในชีวิตประจำวันว่า ท่านได้ปรนนิบัติตอบแทนคุณของมารดาบิดามากน้อยอย่างไร ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับพระคุณที่ท่านเคยกระทำต่อบุตร

    ขอยกตัวอย่าง ตอนเป็นเด็ก มารดาบิดาอาบน้ำให้บุตรเป็นประจำทุกวัน จนกว่าจะโต ไม่เบื่อหน่ายเลย เพราะว่าบุตรนั้นน่ารัก ท่านให้ความเมตตาเอ็นดู รักใคร่เลี้ยงดู ให้ความสุขสบายทุกอย่าง แต่เวลาที่มารดาบิดาแก่ชราลง บุตรทำกิจนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะถ้าท่านเป็นผู้ที่ชรามาก หรือว่าเป็นผู้ที่ป่วยไข้มีแรงน้อย ไม่สามารถที่จะบริหารร่างกายได้ด้วยตนเอง บุตรกระทำกิจนี้ต่อท่านหรือเปล่า

    อาจจะมองดูว่า มารดาบิดาผู้ชรานี้ไม่น่ารัก ทำกิจนี้ออกจะยาก แต่ทำไมไม่เห็นในความน่าเคารพในความชรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้สละทุกอย่างที่จะให้บุตรมีความเจริญก้าวหน้าตั้งแต่เล็กจนโต ยิ่งมารดาบิดามีความชราปรากฏให้เห็นเท่าไร ซึ่งอาจจะดูเป็นความไม่น่ารักอย่างเด็กเล็กๆ ที่มารดาบิดามีความรักต่อบุตร แต่ว่าบุตรควรจะเห็นความน่าเคารพในคุณของมารดาบิดา ที่ท่านยอมสละทุกอย่างเพื่อความสุขของบุตร และก็ควรกระทำกิจที่ท่านเคยได้กระทำต่อ

    ผู้ฟัง ลูกผมเอง ผมส่งเสียจนกระทั่งจบอักษรศาสตร์บัณฑิต จบแล้วก็ไปทำงานในกระทรวงไทยพัฒนาได้เงินเดือน ๑,๗๕๐ เขาให้แม่เขา ๕๐๐ เขาไม่ให้ผม เขาบอกว่าพ่อมีบำนาญแล้ว

    สุ. เป็นความผิดของใคร

    ผู้ฟัง เป็นความผิดของลูก

    สุ. ของอกุศล ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเลย เห็นสภาพของอกุศลธรรม ถ้าไม่มีการขัดเกลา ไม่มีการละคลายให้เบาบาง อกุศลนับวันก็เพิ่มขึ้น และเวลาที่อกุศลเพิ่มขึ้น ย่อมปรากฏให้เห็นการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควรทางกาย ทางวาจา และแม้ทางใจ

    บางทีบุตรอาจจะมีฐานะด้อยกว่ามารดาบิดา บางทีบุตรก็มีฐานะเสมอกับมารดาบิดา บางทีบุตรก็มีฐานะดีกว่ามารดาบิดา แต่ไม่ว่าบุตรจะมีฐานะอย่างไร ไม่ว่าจะด้อยกว่า หรือเสมอ หรือว่าสูงกว่ามารดาบิดาก็ตาม มีหลายอย่างทั้งทางกาย ทางวาจาที่บุตรจะกระทำได้ต่อมารดาบิดา แม้ว่าไม่ใช่เรื่องทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัติไม่จำเป็นที่จะต้องให้มากถ้ามีน้อย แต่ให้บ้างได้ไหม เพื่อเป็นการแสดงถึงความกตัญญูหรือระลึกถึงคุณของมารดาบิดา ซึ่งจะทำให้ท่านมีความสุขกายสบายใจ แม้ว่าบุตรมีน้อย แต่ควรเป็นสิ่งที่กระทำได้ ที่จะให้ท่านมีความสุขใจ

    ผู้ฟัง สมัยครั้งพุทธกาล พราหมณ์ผัวเมียคู่หนึ่ง มีลูกผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง รวม ๗ คน มีทรัพย์สมบัติแบ่งให้หมดเลย แต่งเมียให้ บ้านก็ให้ พ่อแม่อยู่ตรงกลาง ลูกล้อม ๗ คน ตัวเองไม่มีอะไร ให้ลูกหมดเลย เช้ากินบ้านนี้ กลางวันกินบ้านนี้ เย็นกินบ้านนี้ ลูกสะใภ้ก็ดี ลูกเขยก็ดี บางทีทำกับข้าวให้พ่อแม่กินไม่ได้ วันไหนทำอร่อยก็ทำซ้ำ กินเช้า กินกลางวัน กินเย็น หนักๆ เข้าลูกสะใภ้ก็ว่า ให้เท่าๆ กัน แต่ทำไมมาซ้ำบ้านนี้ตั้งหลายหน เป็นอย่างนี้ ฉะนั้น สมบัติของพวกเรามี อย่าให้ลูกหมด เก็บไว้บ้างเผื่อเจ็บไข้ ผมได้บำนาญ ๓,๐๐๐ กว่า เมียไม่เลี้ยง ลูกไม่เลี้ยง ผมไม่ทุกข์ ผมไปอยู่กับพระ จ้างคนทำปิ่นโต ๖๐๐ จ้างคนนวดก็ได้ แต่พราหมณ์คนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปขอทาน พบพระผู้มีพระภาค พอทรงทราบเรื่อง ตรัสว่า ลูกที่ไม่เชื่อฟัง ไม่อุปการะพ่อแม่ ไม้เท้ายังดีกว่าลูกที่ไม่เชื่อฟัง

    สุ. กุศลเกิดยาก อกุศลเกิดง่าย

    ผู้ฟัง ยากหรือง่ายไม่รู้ แต่โดนกะผม ลูกบอกว่า พ่อมีบำนาญแล้วไม่ต้องให้

    ผู้ฟัง ขอประทานโทษ คือ ดิฉันเป็นพวกของแม่ เรื่องของลูกที่ให้แม่ ไม่ได้ให้พ่อ เพราะความรับผิดชอบครอบครัวทั้งหลายอยู่กับแม่ ถ้าคิดเปรียบเทียบแล้ว แม่เหมือนถังขยะ ไม่ว่าอาหารมื้อไหน ใครจะรับประทาน ก็ต้องอยู่ที่แม่ พ่อน่ะยังต้องเอามาให้แม่อีก

    ขอนอกเรื่องไปนิดหนึ่ง ดิฉันไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งเป็นคนขาพิการ แกถักสวิงสำหรับช้อนขนมจีนขาย ดิฉันบอกว่า น้าจะไปถักขายทำไม ราคาก็ถูก นอนเล่น นั่งเล่นพักผ่อนอยู่ไม่ได้หรือ แกพูดคำหนึ่งทำให้ดิฉันนึกถึงคำพูดของอาจารย์ แกบอกว่า หายใจทิ้งไปเปล่าๆ ทำไม ถึงได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย ก็เลยทำให้ดิฉันนึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่สอนให้เจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ให้ทิ้งเวลาไปเปล่าๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โอกาสใด ดิฉันรู้สึกว่า ที่แกพูดเตือนใจให้นึกถึง ได้ประโยชน์มากสำหรับคำพูด หายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ รู้สึกว่า ไม่ว่าดิฉัน และใครหลายๆ คน การหายใจทิ้งไปเปล่าๆ นี่ ก็มีมากอยู่

    สุ. ขอขอบพระคุณ เป็นคำพูดที่น่าฟังมาก และก็เป็นธรรมด้วย ที่ว่า หายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ ในขณะนี้ หายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ สติควรจะเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง

    แต่ว่าแล้วแต่ขั้นของความเข้าใจ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องการประกอบอาชีพ หายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ขยันในการประกอบอาชีพ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ขั้นของความเข้าใจที่จะใช้คำที่น่าฟังว่า หายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดที่จะเป็นได้

    ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของผู้ใดก็ตาม ก็เป็นสภาพธรรมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบุตรธิดา หรือมารดาบิดา ก็เป็นการสะสมของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งปรากฏเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจาที่ควรเป็นกุศล และที่ไม่เหมาะไม่ควรก็เป็นอกุศล

    ถ้าใครมีกายวาจาที่ปรากฏเป็นอกุศล ย่อมส่องถึงการสะสมอกุศลนั้นซึ่งมีกำลัง ทำให้ปรากฏออกมาเป็นการกระทำที่เป็นอกุศลทางกาย ทางวาจา แต่ถ้าเป็นผู้ที่สะสมกุศลธรรมไว้มาก ก็เป็นปัจจัยให้เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้น

    แต่ทั้งหมดนี้ มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดมาก หรือว่าให้อกุศลจิตเบาบาง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียดโดยสมบูรณ์ทุกประการ ผู้ใดสดับมาก ฟังมาก พิจารณามาก ทรงจำมาก เห็นประโยชน์มาก น้อมนำที่จะประพฤติปฏิบัติตามมาก ก็เป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดมาก

    ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาในทางโลกมาก เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในทางโลกมาก แต่ถ้าขาดการฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะมีปัจจัยที่จะให้ละคลายอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น

    ข้อความต่อไป เป็นธรรมที่มารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตร เลือกไม่ได้ว่าจะมีอภิชาตบุตร คือ บุตรที่สูงกว่าบิดามารดาด้วยคุณธรรม หรือว่าเลือกไม่ได้เหมือนกันที่จะมีอนุชาตบุตร คือ บุตรที่เสมอกันกับมารดาบิดา หรือบางท่านอาจจะมีอวชาตบุตร คือ บุตรที่ต่ำกว่ามารดาบิดาทั้งในความประพฤติและในชีวิตการงาน หรือว่าในเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นมารดาบิดาจะเจริญกุศลอย่างไร พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ และผู้ใดประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็เป็นมารดาบิดาที่ประพฤติในฐานะที่ควร

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร คฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑ หาภรรยาที่สมควรให้ ๑ มอบทรัพย์ให้ในสมัย ๑ ฯ

    พ้นจากสภาพบุตรมาดำรงสภาพของมารดาบิดา กุศลจิตเกิดได้ไหม สำหรับผู้ที่เป็นมารดาบิดา ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน อาจจะไม่ทราบความต่างกันของความผูกพันรักใคร่ในบุตรธิดา ซึ่งเป็นสภาพของอกุศลธรรม เป็นโลภมูลจิต กับสภาพของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งเป็นกุศลธรรม

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม และไม่ได้พิจารณาโดยละเอียด ก็ถือเอาอกุศลเป็นกุศล เข้าใจว่าท่านมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อบุตร ซึ่งเป็นกุศล แต่ความจริงถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น แยกไม่ออกระหว่างโลภมูลจิต ความผูกพันรักใคร่เยื่อใยที่เป็นตัวตนในบุตรธิดา กับกุศลธรรมที่เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    ผู้ฟัง สำหรับบิดามารดาที่มีความรู้สึกต่อบุตร สมัยก่อนที่ยังไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ดูตัวเองไม่ออก

    สุ. ความรู้สึกเป็นสิ่งที่สามารถจะระลึกรู้ได้ว่า เป็นกุศล หรืออกุศล ถ้าท่านรู้สึกว่าบุตรของเรา มีความเป็นของเรา ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต เวลาที่มีความปรารถนาที่จะให้บุตรเจริญรุ่งเรืองในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถ้าเป็นความปรารถนาที่ท่านมีต่อบุคคลทั้งหลายทั่วไปไม่เลือก ไม่ว่าใคร ต้องการให้บุคคลทั้งหลายเป็นสุข จริงๆ ไม่ว่าบุตรเรา หรือบุตรเขา หรือใคร นั่นเป็นสภาพของกุศลธรรม เป็นเมตตาโดยแท้จริง แต่ถ้ามีความรู้สึกเป็นของเราโดยเฉพาะ นั่นเป็นโลภมูลจิต



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๖๖ ตอนที่ ๖๕๑ – ๖๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 43
    28 ธ.ค. 2564