แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 641


    ครั้งที่ ๖๔๑


    สุ. ไม่ต้องหวังที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมฌานสมาบัติ นั่นเป็นผลเลิศ แต่ขั้นที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเพิ่มขึ้นบ้างหรือยัง เพราะนี่คือหนทาง ถ้าปัญญาไม่เพิ่มขึ้น ไม่เกิด ไม่มีทางที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือบรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมฌานสมาบัติเลย

    เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะกังวลถึงการที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมฌานสมาบัติหรือไม่ แต่ควรที่จะรู้ความสามารถของการสะสมของท่านเองว่า ท่านจะบรรลุปฐมฌานในชาตินี้ไหม ถ้าได้ บรรลุได้ ในขณะที่เจริญสมถภาวนาที่จะบรรลุปฐมฌาน นั้น ก็ไม่ได้สะสมปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะว่าไม่ได้สังเกต สำเหนียก ศึกษา รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มศึกษา สังเกต สำเหนียก ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแต่ละขณะไป เพื่อละคลายความหวังหรือความปรารถนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการบรรลุฌานสมาบัติ หรือว่าบรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมด้วยฌานสมาบัติ เพราะว่านั่นเป็นเรื่องของผล ซึ่งจะต้องมาจากเหตุ ข้อสำคัญที่สุด คือ ธรรมใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท นอกจากปัญญาที่ได้อบรมและเพิ่มความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยละเอียดขึ้น

    เรื่องที่จะต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีมากทีเดียว ตราบใดที่ไม่ว่าเห็นขณะใดก็ยังคงเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ ก็แสดงว่ายังไกลมาก ขณะใดที่ได้ยิน ก็ยังเป็นเรื่องต่างๆ คนนั้นคนนี้มากมาย เป็นเรื่องของคนนั้นที่กำลังพูดถึงคนนี้ ขณะที่กำลังได้กลิ่น กำลัง ลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก ก็ยังเต็มไปด้วยสัตว์บุคคลมากมาย นั่นก็ยังไกลมากนัก

    ซึ่งปัญญาจะต้องรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่จะปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้จริงๆ นั้น จะต้องเป็นปัญญาที่สามารถรู้ชัดในลักษณะของ สภาพธรรม

    ในความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน มีคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง มากมายเหลือเกิน มิตรสหายเพื่อนฝูง วงศาคณาญาติ แต่สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปัญญาจะ ต้องรู้ คือ หามีไม่สักคนเดียว คนอื่นก็ไม่มี แม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่มี เพราะว่าเป็นเพียงสภาพธรรมของจิตที่คิดเท่านั้นเอง

    ทุกขณะนี่ดูเหมือนว่า เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงมิตรสหายมากมาย แต่ให้ทราบว่า แต่ละขณะที่มีความคิดว่า เป็นคน เป็นสัตว์มากมายนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นเพียงจิตที่คิด เกิดขึ้นและก็ดับไปเท่านั้นเอง รู้จริงๆ อย่างนี้ไหม

    ถ้ายัง ก็ยังอีกไกลนักกว่าที่จะได้ประจักษ์แจ้งความไม่เที่ยง ความเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม เพราะยังมีความเห็นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ เป็นมิตรสหาย เป็นเพื่อนฝูง เป็นวงศาคณาญาติอยู่

    แม้ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ แท้ที่จริงเป็นการคิดถึงคำหรือความหมาย เป็นสภาพจิตของท่านเองเดี๋ยวนี้ ของแต่ละคนที่กำลังคิด คิดว่าได้ยินอย่างนี้ แต่ความจริง ถ้าจิตไม่คิด ความหมายหรือความเข้าใจในเรื่องนั้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เป็นจิตของแต่ละคนซึ่งเกิดขึ้นคิดต่อจากที่ได้ยิน คิดตามที่ได้ยิน ตามที่เห็น หรือต่อจากที่เห็น ต่อจากที่ได้ยิน ต่อจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตราบใดที่ยังแยกสภาพธรรมที่ได้ยินออกจากสภาพธรรมที่คิดถึงคำแต่ละคำไม่ได้ ยังแยกไม่ออก ยังแยกไม่ได้ การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ไกลมาก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดถึงการที่จะบรรลุมรรคผลพร้อมทั้งฌานสมาบัติเลย เป็นเรื่องที่ห่างไกลมาก

    แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาจริงๆ และมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม พร้อมทั้งเคยสะสมการบรรลุผลของสมถภาวนาในอดีตชาติมามากจนกระทั่งมีกำลังแล้ว บุคคลนั้นจะบรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมฌานสมาบัติในขณะที่บรรลุ ชื่อว่า มรรคสิทธิฌาน โดยที่ไม่ต้องหวัง โดยที่ไม่ต้องห่วง โดยที่ไม่ต้องกังวลเลย เพราะว่ามีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ที่จะให้เป็นผลทั้ง ๒ ประการ ผลนั้นก็เกิดขึ้น

    ถ. ดิฉันอ่านพบ บางครั้งมีคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญญํ แต่บางครั้งมีคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ๒ อย่างนี้ต่างกันอยู่

    สุ. สุขในที่นี้ ต้องหมายความถึงสงบจากการเกิด คือ ไม่เกิดอีกเลย ทุกข์ที่เป็นอริยสัจ คือ เกิดดับ เพราะฉะนั้น สุขก็ต้องเป็นการไม่เกิดขึ้นและไม่ดับไป

    ถ. ทำอย่างไรถึงจะรู้ความสุขของพระนิพพาน พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อย่างนี้ยังมีความยินดีต้องการอยู่ ยังมีความยินดีพอใจอยู่

    สุ. ต้องการความดับไม่เกิด หรือต้องการความสุข

    ถ. ยังไม่ทราบเหมือนกัน เพราะยังไม่เคยพบพระนิพพาน

    สุ. ยังไม่ถึง จนกว่าจะเข้าใจในเหตุผลเสียก่อนว่า ที่กำลังต้องการในขณะนี้ ต้องการอะไร ต้องการความรู้สึกเป็นสุข หรือว่าต้องการสภาพธรรมที่ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลยของจิต เจตสิก รูปใดๆ ทั้งสิ้น

    ถ. รู้สึกว่ากลัว ทั้งๆ ที่ก็อยากได้ความสุข โลภมูลจิตของคนมีได้ถึงขนาดนี้ อยากได้ความสุข แต่ก็กลัว เพราะพระนิพพานสูญ ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลย

    สุ. ผู้ที่จะเจริญปัญญา ต้องเป็นผู้ที่อาจหาญร่าเริงจริงๆ และสิ่งที่ท่านกลัวคงจะมีมาก ก่อนที่จะได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม กลัวอย่างอื่น กลัวทุกข์ กลัวประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ กลัวการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจต่างๆ นี่เป็นภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ยังมีความยึดมั่นในนามธรรมและรูปธรรม ย่อมกลัวการพลัดพราก หรือการประสบกับธรรมที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ถ้าได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงโดยลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย กลัวไหม

    หายไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ และทีละลักษณะเท่านั้น ไม่มีตัวตนที่กำลังรู้ในสภาพของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏด้วย ไม่มีคนอื่นเลย ไม่มีใครทั้งนั้น เพราะว่าในขณะนั้นมีแต่ลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏให้รู้ และสภาพรู้ ธาตุรู้ที่กำลังรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ที่ปรากฏในขณะนั้น ก็ไม่เป็นตัวตน ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นบุคคลเลย เป็นแต่เพียงธาตุรู้ สภาพธรรมที่รู้เท่านั้นในขณะนั้น กลัวไหม

    ถ. ดิฉันเคยได้ยินคนพูดว่า ไม่อยากไปนิพพานเพราะไม่มีอะไร นิพพานไม่สนุกเหมือนสวรรค์ แสดงให้เห็นว่า ความยินดีพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจของคนยังมีมาก ไม่สามารถจะดึงเอากิเลสออกจากจิตใจ ไม่มองเห็นความทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็เลยกลัวพระนิพพาน เพราะคำว่า สุญฺญํ กลัวกันจริงๆ แต่ก็อยากได้ หากว่า พระนิพพาน ปรมัง สุขัง ชอบคำนี้

    สุ. ชอบสุข แต่ไม่ชอบสูญ

    ถ. ใช่ ชอบสุข แต่ไม่ชอบสูญ แสดงว่ายังติดหลงอยู่ในกามคุณ

    สุ. ถ้ากลัวนิพพาน ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย เพราะว่าแสนไกล

    ถ. สุขอื่นเสมอด้วยนิพพานไม่มี คำนี้ก็เคยได้ยิน เป็นความจริงใช่ไหม

    สุ. คำถามนี้ทำให้คิดถึงท่านผู้ฟังอีกท่านหนึ่ง ที่ขอเกิดร่วมกับคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็ยังคงเป็นสภาพของจิตใจของแต่ละคน ซึ่งถ้าเจริญสติจะได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ยังมีความผูกพัน ยังมีความปรารถนา ยังมีความต้องการอยู่ แม้แต่จะเกิดร่วมกับผู้ที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ฟังดูเหมือนจะดี คือ หมู่คณะที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็ปรารถนาที่จะเกิดร่วมกันต่อไปอีก

    แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันนั้นยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ก็เกิดในอบายภูมิได้ เวลาที่ผลของอกุศลกรรมให้ผล เพราะฉะนั้น ถ้าบังเอิญผู้ที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันไปเกิดเป็นนก หนู ปู ปลา และมีการอธิษฐานขอให้เกิดร่วมกันกับผู้ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน จะเป็นอย่างไร ยังคงมีความผูกพันกับนก หนู ปู ปลา ว่าได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันหรือเปล่า ถ้ามีการจุติและปฏิสนธิเป็นบุคคลใหม่ตามบุญตามกรรมที่ได้กระทำมา ไม่ควรที่จะไปผูกพันว่า คนนี้เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน หรืออะไรอย่างนี้ เพราะไม่ทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วขณะที่คิดอย่างนั้นเป็นสภาพของจิตอย่างไร

    แม้แต่ม้ากัณฐกะ ท่านสะสมอบรมเจริญสติปัฏฐานมานานก่อนที่จะได้บรรลุมรรคผล แต่ว่าก่อนที่จะได้บรรลุมรรคผลเกิดเป็นม้ากัณฐกะก่อน ซึ่งผู้ที่เคยปรารถนาที่จะทำบุญร่วมกันกับผู้ที่เคยปฏิบัติธรรมมาด้วยกันจะเป็นอย่างไร ในเมื่อชาตินั้นเป็น ม้ากัณฐกะเสียแล้ว และหลังจากจุติจากชาตินั้นจึงได้บังเกิดในสวรรค์ ได้บรรลุมรรคผลเมื่อได้มาเฝ้าฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาค

    เพราะฉะนั้น เรื่องของการติด ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้วจะเห็นได้ว่า มากมายเหลือเกิน และอันตราย คือ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งที่มีอยู่แล้วก็มากมายเกินที่จะรู้ได้ว่า แค่ไหน และก็เป็นปัจจัยให้หลงลืมสติอยู่เรื่อยๆ ทำให้ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทำให้มีความปรารถนา ความต้องการต่างๆ กันไป นี่คือ สภาพของอกุศลที่ได้สะสมมามากและอันตราย คือ เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ถ้าไม่อบรมปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง

    เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่จะต้องอาจหาญร่าเริง ต้องเป็นบุคคลที่กล้าที่จะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

    ท่านผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐาน และท่านก็บอกว่า ยิ่งเจริญสติปัฏฐานก็ยิ่งเห็นกิเลสของตัวเองมากเหลือเกิน ถูกหรือผิด ไม่ผิดเลย ถ้าไม่เจริญสติปัฏฐาน ก็คิดว่า ดีแล้ว ใจบุญใจกุศล ทำบุญทำกุศลมากมาย เป็นคนที่โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่เวลาที่สติระลึกรู้สภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง บางท่านบอกว่า ท่านเป็นบุคคลประเภทโทสจริต เห็นแต่ความโกรธ ความไม่แช่มชื่น ความไม่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังท่านก็บอกว่า ท่านเป็นราคจริต เต็มไปด้วยความพอใจ มีแต่ความต้องการพอใจ ไม่ว่าจะพูด จะทำ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ต่อไปอีกท่านก็บอกว่า ท่านเป็นโมหจริต เพราะว่าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ

    โดยมากทุกท่านไม่ชอบโทสะ เห็นโทษ เห็นภัย เห็นอันตรายของโทสะ จิตใจในขณะนั้นไม่แช่มชื่น เร่าร้อนด้วยความไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่ปรารถนาที่จะมีโทสะเลย แต่ลืมโทษภัยของโลภะว่า มีมากและเป็นปกติ และเวลาที่โลภะเกิดไม่เห็นเดือดร้อนใช่ไหม เพราะไม่เห็น จึงยังคงพอใจและเพิ่มกำลังของโลภะให้มากขึ้น มีความยินดีพอใจอยู่ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    แต่โมหะใครเห็นโทษบ้าง ร้ายยิ่งกว่าใคร และละเอียดมาก เพราะว่าตราบใดที่ปัญญาไม่เกิดขึ้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ตราบนั้นไม่สามารถที่จะละ อกุศลธรรมใดๆ ได้เลย แม้แต่มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มุ่งที่จะละโลภะหรือโทสะ ในการที่จะดับกิเลส ต้องอบรมสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา อวิชชาเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่อะไรจะละอกุศลได้ ตราบใดที่ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกๆ ขณะ

    บางท่านบอกว่า ท่านไม่คิด สบายดี ไม่เป็นโลภะ ไม่เป็นโทสะ เฉยๆ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จิตจะปราศจากการตรึก หรือการนึก หรือการคิด เพียงแต่ท่านไม่ทราบเท่านั้นเองว่า ท่านคิดอะไร

    นั่งเฉยๆ ลองถามว่า คิดอะไร ตอบถูกไหมว่า กำลังคิดอะไร คิดก็รู้ว่าคิด แต่ถามว่าคิดอะไร ตอบไม่ถูกใช่ไหม แต่ที่จะบอกว่าไม่คิด นี่เป็นไปไม่ได้ ท่านบอกว่าคิดมากหลายเรื่อง คิดเรื่อย เมื่อมีปัจจัยที่จะให้ความคิดนึกเกิดขึ้น ความคิดนึกก็เกิดขึ้น แต่เมื่อปัญญาไม่เกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ยังคงเป็นความไม่รู้ทั้ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น อย่าพอใจเพียงแค่นั่งเฉยๆ เห็นอะไรก็ไม่คิด เพราะว่านั่นไม่ใช่ปัญญาซึ่งศึกษา สังเกต สำเหนียก รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ชัดในสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นเพียงสิ่งที่สามารถจะปรากฏทางตาเท่านั้น กับเป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่รูปร่างสัณฐานอะไรเลย เป็นธาตุรู้ อาการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น

    ในขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ เป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อไม่ระลึกเลย ไม่ศึกษาเลย ไม่สังเกตสำเหนียกเลย ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ใช่ธาตุรู้เสียง หรือไม่ใช่ธาตุรู้กลิ่น ไม่ใช่ธาตุรู้รส ไม่ใช่ธาตุรู้โผฏฐัพพะ ไม่ใช่ธาตุที่รู้คำหรือคิดเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้ามีการระลึกได้ สังเกต สำเหนียก ศึกษา ก็จะชินขึ้นในลักษณะของธาตุรู้ซึ่งกำลังเห็น กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา และขณะที่กำลังศึกษา สังเกต สำเหนียก ก็จะรู้ได้ว่า ในขณะนั้นไม่ใช่เพียงเห็นเฉยๆ แล้วไม่รู้

    บางท่านอาจจะพอใจว่า เห็นผ่านไปแล้วไม่รู้ ดีที่ไม่ต้องคิด ไม่ต้องมีความยินดียินร้ายในสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าผ่านไปแล้ว และไม่ทันได้คิด แต่ความจริงไม่ใช่ อย่างนั้น อย่าพอใจในความไม่รู้

    ลักษณะของธาตุที่เป็นปัญญา ตรงกันข้ามกับสภาพธรรมที่เป็นอวิชชา อวิชชาไม่รู้ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ แต่ลักษณะของปัญญานั้นตรงกันข้าม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าได้อบรมก็สามารถที่จะรู้ทันทีว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และธาตุรู้ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา และถ้ามีการรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร ก็จะรู้ว่า นั่นเป็นการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏแล้ว เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เพียงการเห็นหรือธาตุรู้สี แต่เป็นการตรึกนึกถึง

    ถ้ามีความยินดีหรือยินร้ายในสิ่งที่ปรากฏ ปัญญาก็รู้ในลักษณะที่ยินดีว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ถ้ามีความไม่แช่มชื่น ปัญญาก็รู้ในลักษณะสภาพที่ไม่แช่มชื่นนั้นว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ขณะที่กำลังฟัง ปัญญาก็รู้ชัดในธาตุรู้เสียง ปัญญารู้ชัดในธาตุที่คิด กำลังคิดตาม

    เพราะฉะนั้น เป็นโลกภายในของจิตและเจตสิกของผู้ที่กำลังอบรมเจริญ สติปัฏฐานที่จะรู้ชัดว่า ไม่มีบุคคล ตัวตน สัตว์ วัตถุใดๆ นอกจากเป็นสภาพที่คิดและแยกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจออกได้ตามความเป็นจริง ถ้าปัญญาไม่รู้อย่างนี้ จะรู้อะไร จะให้ปัญญารู้อะไรที่จะว่าเป็นปัญญาได้ ถ้ารู้อื่น นั่นไม่ใช่ปัญญาแน่นอน



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๖๕ ตอนที่ ๖๔๑ – ๖๕๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 43
    28 ธ.ค. 2564