พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 849


    ตอนที่ ๘๔๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจเห็นแล้วจะมีสติไปรู้ และเข้าใจเห็นได้อย่างไร เพียงเท่านี้ก็เป็นคำตอบแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างในขณะนี้มีจริงๆ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ แล้วสติอะไรจะเกิดขึ้นไปเข้าใจสิ่งนั้นได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นคือมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ด้วยเหตุนี้การฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ให้เราไปทำอะไรเลยทั้งสิ้นเพื่อเข้าใจขึ้นๆ และขณะที่เข้าใจก็ละความไม่รู้ ไม่ใช่ขณะอื่นไปเอาอะไรไม่รู้มาละความไม่รู้ แต่ในขณะที่กำลังเข้าใจนั้นเองจะไม่มีความไม่เข้าใจ ที่สำคัญที่สุดคือ ขอให้แต่ละคนที่ได้ฟังธรรมมีความเข้าใจจริงๆ ตั้งแต่ต้นตามลำดับว่าเป็นสิ่งที่ยากไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย มีจริงๆ แต่ว่าวันหนึ่งถึงได้ เพราะมีโพธิปักขิยธรรมซึ่งมาจากสัทธรรม ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ พูดอย่างนี้ไม่ใช่หมายความว่า ให้ไปจำ และลำดับเป็นเรื่อง แต่ให้เห็นความถูกต้องตามความเป็นจริงว่าต้องเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นการเอ่ยชื่อแต่ละชื่อคือความเข้าใจที่ถูกต้องว่าขณะนี้ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อที่จะรู้ความต่างของขณะใดที่เป็นเพียงเข้าใจคำ กับขณะใดที่เริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ต้องมีสภาพธรรมนั้นแต่ต้องอาศัยความเข้าใจขั้นฟัง แต่ถ้ายังไม่มีความเข้าใจขั้นฟัง ปัญญาสติระดับไหนก็เกิดไม่ได้เลย

    อ.คำปั่น กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างยิ่งที่กล่าวถึงสัทธรรม ซึ่งก็คือธรรมของผู้สงบ หรือว่าธรรมที่ทำให้ถึงความเป็นผู้สงบ ซึ่งจะขาดความเข้าใจที่ถูกต้องไม่ได้เลย มีข้อความหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าเหตุที่จะทำให้พระสัทธรรมดำรงมั่น หรือลบเลือนเสื่อมสูญเพราะเหตุ ๒ ประการคือ เพราะอาศัยความไม่ประมาทก็ทำให้พระสัทธรรมดำรงมั่น แต่ถ้าประมาทเมื่อใดก็เป็นเหตุให้พระสัทธรรมลบเลือนเสื่อมสูญ กราบเรียนท่านอาจารย์ต่อเนื่องในประเด็นนี้ด้วย

    ท่านอาจารย์ พระธรรมดำรงอยู่จนถึงวันนี้โดยอาศัยความเข้าใจ ถ้ามีแต่เพียงตำรับตำรา มีพระไตรปิฎก ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจข้อความนั้นเลย ก็เท่ากับว่า เสื่อมสูญจากความเข้าใจ มีประโยชน์อะไรที่จะมีหนังสือตำรามากมายแต่ว่าไม่มีความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจถูกก็คือการดำรงพระศาสนา แต่ถ้าเข้าใจผิดก็คือการทำลายพระพุทธพจน์และพระศาสนา

    อ.คำปั่น อาจารย์อรรณพจะมีสาระสำคัญจากการสนทนาธรรมในส่วนของพระสัทธรรมอย่างไร

    อ.อรรณพ สาระสำคัญคือ เป็นปัจจัยให้ความเข้าถูกเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น เช่น คำว่า ธรรม คำเดียว ศึกษาธรรมไม่พอหรือ เหตุใดพระองค์ท่านถึงแสดงคำว่าสัทธรรม หรือพระสัทธรรม ศึกษาธรรม ธรรมนั้นเป็นสัทธรรม หรืออสัทธรรม ทุกคนพูดว่า ควรศึกษาธรรม แต่ธรรมที่ศึกษานั้นเป็นคำสอนเพื่อถึงความหมดกิเลสที่จะสงบจริงๆ คือ สู่ถึงสัทธรรมจริงๆ สูงสุดสัทธรรมจริง ก็ต้องเป็น โลกุตตรธรรม ใช่ไหม แต่ก่อนจะถึงโลกุตตรธรรมต้องมีการศึกษาในขั้นฟัง ขั้นพิจารณา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจถูกก็ไม่เป็นสัทธรรม ไม่ถึงสัทธรรม

    เพราะฉะนั้นถึงมีการแสดงว่าการฟังพระสัทธรรมยากยิ่ง เพราะฉะนั้นท่านใช้คำว่า สัทธรรม คือ ธรรมที่สงบ หรือธรรมของผู้สงบ หรือธรรมที่จะทำให้ถึงความสงบ ก็ต้องเป็นตัวธรรมจริงๆ ที่จะมีการศึกษาตั้งแต่การศึกษาเป็นปริยัติ ปฏิปัตติ จนถึงปฏิเวธจึงจะเป็นสัทธรรม ๓ ซึ่งต้องอาศัยตัวธรรมคือ ศรัทธา ใช่ไหม ศรัทธาในการที่จะศึกษา ศรัทธาในการที่จะระลึกรู้ ศรัทธาในการที่จะประจักษ์ก็ต้องมีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีการสดับตรับฟังมากตั้งแต่เริ่มต้น จนมีความเพียรเพิ่มขึ้น มีสติ มีปัญญา

    เพราะฉะนั้นเหล่านี้ คือ สภาพธรรม ตัวสัทธรรมคือ โสภณธรรม ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตั้งแต่ขั้นการฟังเป็นปริยัติสัทธรรม จนมีสังขารขันธ์ปรุงแต่งพอเพียงที่ปฏิปัตติสัทธรรมคือ สติปัฏฐาน สตินั้นแหละเป็นตัวสัทธรรม วิริยะนั้นแหละเป็นสัทธรรม ปัญญา และโสภณธรรม มีศรัทธา หิริโอตตัปปะ ซึ่งเนื่องจากการมีการฟังมากก็เป็นสัทธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้สัทธรรมจะดำรงพระสัทธรรมได้อย่างไร พระสัทธรรมก็จะลบเลือนเสื่อมสูญไป

    ขอโอกาสกราบเรียนท่านอาจารย์สนทนาเรื่องการดำรงอยู่ของพระสัทธรรม และการที่พระสัทธรรมจะเสื่อมไป มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคพระองค์ท่านได้ตรัสกับท่านพระมหากัสสปะ ซึ่งพระมหากัสสปะเป็นผู้ที่ได้ดำรงพระสัทธรรมโดยการเป็นพระเถระที่กระทำหน้าที่สังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งมีข้อความที่ท่านแสดงก็จะเป็นประเด็นว่า อะไรที่ทำให้พระสัทธรรมเสื่อม มีข้อความสั้นๆ ในสัทธัมมปฏิรูปกสูตรว่า "ดูกร กัสสปะ ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหากเกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะอัปปางก็เพราะต้นหนเท่านั้น"

    ท่านอาจารย์ มีคำที่คุณคำปั่นต้องแปลไหม "โมฆบุรุษ"

    อ.คำปั่น "โมฆบุรุษ" คำนี้หมายถึงบุคคลผู้ว่างเปล่า ว่างเปล่าจากอะไร จากคุณความดี เพราะว่าไม่ได้เข้าใจธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อไม่ได้มีความรู้ที่ถูกต้องแล้ว ความประพฤติเป็นไปตั้งแต่ในขั้นของการคิด การกระทำ ฯลฯ ก็ผิดไปหมด แม้แต่การกล่าวธรรมก็กล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเพราะไม่ได้เข้าใจธรรมอย่างถูกต้อง อันนี้เป็นเบื้องต้นของโมฆบุรุษ

    ท่านอาจารย์ มีผู้สงสัยว่าเหตุใดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า "โมฆบุรุษ" ซึ่งเหมือนกับว่ากล่าวคนอื่น แต่ตามความเป็นจริงเพื่อให้เข้าใจถูกว่า เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ใช่ไหม เพราะเหตุว่าบางคนก็หลงเข้าใจว่าตัวเองรู้ คิดว่าได้เข้าใจธรรมแล้วตั้งหลายท่าน แม้แต่พระภิกษุก็ยังตรัสว่า "โมฆบุรุษ" เพื่อให้ระลึกได้ สำนึกได้ถึงความจริงว่า ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ถ้าไม่ตรัสคนนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าเป็นบุรุษว่างเปล่าจากประโยชน์ แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้วท่านก็มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จากโมฆบุรุษก็ไม่เป็นโมฆบุรุษได้ แต่โมฆบุรุษบางคนก็เป็นโมฆบุรุษไปตลอด ก็แล้วแต่เพราะแต่ละบุคคลก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ เพียงข้อความนี้ก็แสดงอยู่แล้วว่า แล้วเป็นใครที่จะทำลายพระพุทธศาสนา หรือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพทุธเจ้าได้ บุคคลอื่นนอกนั้นไม่สามารถทำได้นอกจากพุทธบริษัท คือผู้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นพุทธบริษัท นับถือคำสอนของพระสัมมาสัมพทุธเจ้า แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วกล่าวคำที่ตรงกันข้ามกับการที่จะให้เข้าใจธรรมด้วย

    อ.อรรณพ ชื่อของพระสูตรนี้คือ สัทธัมมปฏิรูป ซึ่งพระองค์ทรงแสดงสั้นๆ ว่า สัทธัมมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป และสัทธัมมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป เรียนเชิญอาจารย์คำปั่นได้กล่าวถึงคำว่า "สัทธัมมปฏิรูป" และกราบเรียนท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจเพิ่มเติม

    อ.คำปั่น คำว่า "ปฏิรูป" หมายถึงเทียม ไม่ใช่ของแท้ เพราะฉะนั้นเมื่อมารวมกับคำว่า "สัทธรรม" ก็หมายถึง ไม่ใช่สัทธรรมนั่นเอง คือไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากการศึกษาพระธรรมต้องเข้าใจความหมายในภาษาบาลีด้วยว่าหมายความถึงสิ่งที่ไม่จริงแท้ "ปฏิรูป" คือ เดิมเป็นอย่างนี้แล้วไปเปลี่ยนเป็นอีกอย่างหนึ่ง อาจจะคิดว่า เร็วดีถ้าทำอย่างนี้ หรือว่าไม่ต้องศึกษาเพราะเหตุว่า ปฏิบัติเลยจะเสียเวลาไปศึกษาทำไม อย่างนี่ก็คือปฏิรูป

    อ.อรรณพ พระองค์ทรงตรัสด้วยพระองค์เอง และทรงเปรียบเทียบเหมือนกับทองเทียมยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่หายไป และเมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรมชาติจึงหายไป

    ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง คนก็ไม่รู้ว่า ทองเทียมหรือทองแท้ เมื่อไม่รู้ก็นิยมทองเทียม ทองแท้ก็หายไป

    อ.อรรณพ ถ้าเช่นนั้นพุทธบริษัทจะรู้ความต่างด้วยอะไร อย่างไร

    ท่านอาจารย์ "วาจาสัจจะ" การสนทนาธรรมด้วยความจริงใจจะทำให้รู้ว่าเป็นเหตุเป็นผลถูกต้องหรือไม่ ถ้าจะบอกว่า ไม่ต้องศึกษาธรรมแล้วปฏิบัติ ชัดเจนเลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่ออะไร ถ้าปริยัติไม่สำคัญ และใครเป็นผู้ที่จะมีปัญญายิ่งกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเข้าใจว่า แม้ไม่ต้องศึกษาธรรม ไม่ต้องข้าใจธรรมก็ปฏิบัติได้ หรือเพราะเหตุว่าไม่ปฏิบัติจึงไม่รู้ธรรม ทั้งหมดไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าแม้แต่ปฏิบัติคืออะไรก็ไม่รู้ และปฏิบัติคืออะไรก็ไม่บอกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผล เป็นการหมิ่นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ และเป็นการทำลายสิ่งซึ่งมีค่าที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ชาวโลก เพราะเหตุว่าถ้ามีการเผยแพร่ความเห็นที่ผิดก็ทำให้พระธรรมลบเลือนไป

    อ.อรรณพ ในลักษณะที่ตรงข้าม คือมีผู้ที่มีลักษณะที่คล้ายจะเห็นประโยชน์ของการที่จะรักษาพระพุทธพจน์เอาไว้ แล้วก็มุ่งที่จะยึดในพระพุทธพจน์เท่านั้น อย่างนี้จะถือเป็นการรักษาพระพุทธพจน์ไว้อย่างถ่องแท้ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วยึดอย่างไร

    อ.อรรณพ ยึดว่าต้องป็นคำที่เป็นพระพุทธพจน์โดยตรงเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เช่นนั้นลองบอกมาว่ายึดอย่างไร เข้าใจ หรือไม่เข้าใจที่ยึด เช่น คำว่า ธรรม จะยึดไหมคำนี้ และธรรมคืออะไร เข้าใจรึเปล่าที่จะยึด ถ้าบอกว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างเป็นธรรม ต้องเปลี่ยนไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่มีเราที่จะไปทำให้เกิดขึ้น เห็นขณะนี้เกิดแล้ว คิดขณะนี้เกิดแล้ว ทุกอย่างเกิดแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วเพราะปัจจัยตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจะยึดพระพุทธพจน์อย่างไร ยึดคำไหน ไม่ได้เข้าใจแล้วก็ยึดผิดๆ ใช่ไหม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถูกหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ตรัสรู้ธรรมคือ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ถูก หรือไม่

    อ.อรรณพ ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไปยึดอย่างไรเป็นคำๆ ถ้าไม่เข้าใจ

    อ.อรรณพ คือโดยสรุปก็จะมีอยู่ ๒ ประเภทๆ หนึ่งคือ นิยมคำคม หรืออาจะเป็นคำสอนของบุคคลต่างๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะเป็นวาจาสัจจะที่จะลึกซึ้งได้อย่างที่พระผู้มีพระภาค หรือพระสาวกแสดง และส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คิดว่า จะต้องเฉพาะพระพุทธพจรน์ที่พระองค์ทรงแสดงเท่านั้น ถ้าเป็นคำอื่นแม้เป็นคำจริงก็ดูเหมือนจะปฏิเสธ

    ท่านอาจารย์ คำอื่นเป็นคำจริงหรือไม่

    อ.อรรณพ คำที่เป็นผู้ที่รู้ตาม ก็คือพระสาวกท่านที่รู้ตามก็เป็นคำที่มีประโยชน์ทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นคำจริง ถ้ารู้จริงแล้วจะพูดไม่จริงได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได

    ผู้ฟัง การที่จะไม่ให้พระสัทธรรมอัตรธานไป ก็คงจะต้องศึกษาสิ่งที่ถูกต้องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเริ่มที่ถูกต้องก่อน ถ้าเริ่มผิดไปก็เป็นอสัทธรรมแน่นอน เมื่อพูดถึงพระสัทธรรม ความสงบ ก็ต้องเข้าใจความสงบก่อน ประเด็นนี้ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความสงบที่ถูกต้อง ช่วงก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ก็อธิบายความสงบแล้วแต่ว่ายังไม่แจ่มแจ้ง

    ท่านอาจารย์ เมื่อเช้าพูดถึงเรื่องความสงบ คือความสงบจากกิเลส ดับกิเลสหรือเปล่า เมื่อเช้านี้พูดถึงเรื่อง ไม่ใช่สงบเฉยๆ ไม่ใช่สงบที่คนอื่นคิด แต่สงบจากกิเลสคือดับกิเลส และถ้าสงบถึงที่สุด ดับการเกิด อันนี้สงบแท้จริง

    ผู้ฟัง แต่ว่าประเด็นที่ยังมีความสงสัย คือ เรายังไม่รู้จักความสงบ

    ท่านอาจารย์ เรายังไม่รู้อะไรเลย

    ผู้ฟัง ใช่เรายังไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ ฟังก่อนให้เข้าใจขึ้น ศึกษาตามลำดับให้เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ก็ต้องรู้จักความสงบก่อนในเบื้องต้น

    ท่านอาจารย์ ว่าความสงบที่นี่ไม่ใช่ความสงบที่พอใจจะอยู่คนเดียว แต่สงบจากกิเลสด้วยปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ อย่างอื่นดับกิเลสไม่ได้นอกจากปัญญา ต้องเคารพอย่างยิ่ง คือ ศึกษาพระธรรมที่ทรงแสดง ตั้งแต่ขั้นต้น

    ผู้ฟัง เพราะว่าถ้าเริ่มผิด ก็ผิดหมด

    ท่านอาจารย์ ถ้าผิดแล้วก็คือว่า จะนำไปสู่ความเห็นที่ผิดต่อไป

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นต้องเริ่มให้ถูก ณ ตรงนี้ เริ่มไตร่ตรอง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ฟังแล้วไตร่ตรองว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงหรือไม่ เราเอาความเข้าใจของพระพุทธเจ้ามาไม่ได้เลย แต่ทรงแสดงให้เริ่มฟังคำจริงเพื่อที่จะได้เริ่มพิจารณาว่า จริง หรือเปล่าแล้วค่อยๆ เข้าใจความจริงนั้นยิ่งขึ้น

    อ.คำปั่น แม้แต่คำที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่เสมอนั่นก็คือ คำแรก และคำสุดท้ายที่ต้องฟังต้องศึกษาคือคำว่าธรรม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีจริง ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้ เกิดแล้วปรากฏแล้วก็หมดไป

    อ.คำปั่น แม้จะมีสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปแต่ถ้าหากไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้เลย

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมเมื่อครู่นี้เข้าใจจริงๆ ขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ปรากฏแล้วก็หมดไป เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ ถ้าไม่ลืม สิ่งนั้นมีจริงๆ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วหมดไป นี่คือ ความเข้าใจจริงๆ เวลานี้กระพริบตาจริงไหม เกิดแล้วหมดแล้ว ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็คือสิ่งที่มีจริงชั่วขณะนั้นเกิดแล้วดับไปทั้งหมดเลย กำลังพูด กำลังคิด กำลังชอบ กำลังโกรธ กำลังดีใจ กำลังเสียใจ เกิดแล้วทั้งวัน รู้จริงๆ รึเปล่าว่า สิ่งนั้นที่เป็นอย่างนั้นเกิดจริงๆ แล้วก็หมดไปจริงๆ แล้วไม่กลับมาอีก นี่คือความรู้จริงความเข้าใจจริง เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้ก็จะรู้ได้ว่า จะรู้จริงได้อย่างไร เพียงแค่คำสองคำไม่พอ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่า อัธยาศัยของแต่ละคนต่างกัน อย่างคำที่ "โดนใจ" อาจารย์คำปั่น คนอื่นเป็นอย่างนั้นรึเปล่า หรือว่าเฉพาะอาจารย์คำปั่นฟังแล้วไม่ลืม และยังเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่น แต่ว่าคำอื่นก็ยังมีอีกสำหรับอัธยาศัยอื่นๆ ต่างๆ กันไป

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าพระธรรมจะหลากหลายมากแต่ก็เป็นความจริง ถ้าไม่ลืม และเข้าใจจริงๆ ทุกอย่างที่ปรากฏเดี๋ยวนี้จะเป็นทีละ ๑ ที่ไม่เหมือนกันเลย อย่างเช่นเสียงเป็นเสียง สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ลืม คือกำลังปรากฏเพราะเกิดแล้วแล้วดับไป ไม่ลืมจริงๆ เข้าใจจริงๆ คืออย่างนี้ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อให้อัธยาศัยต่างๆ ที่ฟังแล้วไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย แค่ฟังจริงใช่ไหม ขณะนี้เสียงเกิดปรากฏแล้วหมดไป เสียงเท่านั้นหรือที่เกิดปรากฏแล้วหมดไป คิดก็เกิดเป็นคิดแล้วหมดไป ถ้าเป็นอย่างนี้ทั้งหมดก็คือ รู้จริง ในเพียงไม่กี่คำ แต่ว่ากว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ อกุศลที่สะสมมาเป็นปัจจัยก็เกิดมากมายกั้นไม่ให้สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า อะไรทำให้ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่เคยได้ฟัง ได้ฟังแล้วเข้าใจแล้วเป็นจริงทุกอย่าง แต่การที่จะรู้ว่าแต่ละ ๑ ขณะนี้เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ยังไม่ถึงเวลานั้นเพราะอะไรก็จะต้องรู้เหตุด้วย เพราะสะสมความไม่รู้มานานมาก ความไม่รู้อย่างเดียว หรือความติดข้อง ความยึดถือ ความพอใจ มากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นไม่ทำให้รู้ความจริง เพราะเวลาโกรธเกิดโกรธเป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ประทุษร้ายในขณะนั้น จะไปรู้ความจริงได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกับสภาพธรรมอื่นก็คือ สภาพที่สามารถเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มี และไม่จำกัดด้วยว่าเฉพาะสิ่งนี้เท่านั้นไม่ใช่สิ่งอื่น หรือว่าไม่จำกัดเฉพาะที่นี่เท่านั้นไม่ใช่ที่อื่น ความจริงต้องเป็นความจริงทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้นคำเดียวที่มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ก็จะทำให้เตือนว่า เพราะอะไรได้ยินแล้วจึงไม่ได้เข้าใจตามที่ได้ฟัง แม้ว่าคำนั้นก็เป็นคำจริงซึ่งรับว่าเป็นความจริง แต่ว่าขณะนี้ก็มีเห็นเกิดแล้วดับ เสียงเกิดแล้วดับ คิดเกิดแล้วดับแต่ละ ๑ ยังไม่สามารถที่จะปรากฏตามความจริงว่าเกิดจริงๆ แล้วดับจริงๆ สืบต่ออย่างรวดเร็ว
    เพราะฉะนั้นความเข้าใจจริงๆ ก็คือความเข้าใจที่มั่นคง

    อ.คำปั่น ความเข้าใจจริงๆ คือ ความเข้าใจที่มั่นคง แล้วจะเข้าใจจริงจนกระทั่งเข้าใจอย่างมั่นคงก็ต้องไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษาพระธรรมซึ่งแต่ละคนแต่ละท่านที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมก็มีโอกาสได้สะสมเหตุก็คือได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมปัญญา คือ ชีวิตประจำวัน ก็เป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐที่สุดที่ได้ฟังพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ก็มีสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็ดับไปเพราะว่า อวิชชา ความไม่รู้ และความติดข้องไม่สามารถที่จะเห็นความจริงนี้ได้ แต่ก็ยังมีธาตุ หรือธรรมอีกอย่าง ๑ คือ สติที่แม้ฟังแล้วไม่ลืมคือระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมแน่นอน แต่ละ ๑ ที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีปัญญาความเห็นถูกอย่างนี้ สติที่จะระลึกก็เกิดไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระศาสนาเลือนค่อยๆ เสื่อมไปจากความเข้าใจถูก และไม่เกิด เมื่อใดที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ คือลบเลือนถึงกาลสูญสิ้น แต่ถ้ายังมีเหลือก็คือ มีการได้ยินได้ฟัง และรู้ความละเอียด และรู้ว่าเพราะอะไรจึงไม่สามารถที่จะเป็นอย่างที่เข้าใจ เพราะว่าเป็นการสะสมเพียงเล็กน้อยซึ่งจะต้องสะสมต่อไปอีก จนกว่าสติและปัญญาจะมากขึ้น และเจริญขึ้นซึ่งเป็นโพธิปักขิยธรรม เป็นพระสัทธรรมที่เป็นสัทธัมมปฏิปัตติ หรือว่าไม่ใช่ปริยัติสัทธรรม แต่เป็นปฏิปัตติสัทธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    15 พ.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ