พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 853


    ตอนที่ ๘๕๓

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ แข็งเป็นแข็ง เปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นไม่ได้เลย แล้วแข็งนั้นเราทำให้เกิดขึ้นหรือ หรือว่าเป็นของเราจริงๆ หรือ หรือว่าเกิดขึ้นเป็นแข็ง จะไปทำอะไรได้ เปลี่ยนแข็งให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ จับหูเคยเป็นหูของเรา แต่ความจริงที่เข้าใจว่าเป็นหู เมื่อกระทบสัมผัสก็แข็งอีกแล้ว หรืออาจจะอ่อน หรือนิ่มกว่าบางส่วนของร่างกาย เพราะฉะนั้นที่กายทั้งหมดที่มีที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะมีลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริงๆ แต่ๆ ละหนึ่งนั้นจะเป็นของเราไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง และถ้าศึกษาต่อไปก็จะรู้ได้ว่าเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น เพราะเกิดจากอะไรด้วย นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รู้ความจริงทุกอย่างถึงที่สุด เปลี่ยนอีกไม่ได้แล้วเพราะเหตุว่าถึงที่สุดของความจริง จึงเป็นการตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่กายที่กระทบสัมผัสเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเข้าใจว่าเป็นผม เป็นแขน เป็นหู เป็นตา เป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด เลือดออกมา หรือว่าเป็นเนื้อ หรือว่าเป็นผิว หรือว่าเป็นกระดูก เป็นอะไรทั้งหมด ความจริงก็คือเป็นลักษณะที่แข็งหรืออ่อน ซึ่งเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรม เมื่อสิ่งที่มีจริงนั้นเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยจึงเป็นธาตุซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ธา-ตุ" แต่ละหนึ่งๆ ไม่ปะปนกัน เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นร่างกายของเรานี้ไม่ใช่ของเรา และที่ว่าเป็นร่างกายทั้งหมดถ้าขณะนั้นไม่ปรากฏว่ามีแข็งแต่ไปจำไว้ว่ามีร่างกายของเรา ถูกหรือผิด ให้เห็นความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้นว่ามากมายมหาศาล กว่าจะไถ่ถอนความเห็นผิดที่เคยยึดถือร่างกายว่าเป็นเรา เป็นตัวของเรา ก็จะต้องมีความเข้าใจละเอียดขึ้นและตรงขึ้น เช่น ขณะนี้ทุกคนบอกว่ามีร่างกายของเรา ที่ตัวทั้งหมดเป็นร่างกายของเรา อะไรที่เป็นของเราลองบอกมาสักอย่าง สนทนาธรรมอะไรเป็นของเราที่ตัว ทันทีที่ถามกลายเป็นไม่มี แต่เวลาที่ไม่ได้ถามกลับมีตลอดเวลา มีร่างกายของเราตลอดเวลา แต่ว่าจริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้ที่ว่าเป็นร่างกายของเราลองบอกมาสักอย่างหนึ่งว่าอะไร

    อ.อรรณพ ทั้งหมดเลย

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดไม่ได้ ทั้งหมดคือจำ ที่ตัวเดี๋ยวนี้มีอะไร อะไรบ้างที่เป็นตัว

    อ.อรรณพ แข็ง

    ท่านอาจารย์ แข็ง ไม่ต้องไปเป็นอย่างอื่น เท่านี้ทีละหนึ่ง แข็งมีเมื่อไหร่

    อ.อรรณพ มีตอนที่รู้แข็ง

    ท่านอาจารย์ ตอนที่แข็งปรากฏเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ความเป็นผู้ตรงจะกล่าวว่ามีโดยไม่ปรากฏเพราะจำว่าเคยมี แต่อยู่ไหนที่ว่าเคยมี ไม่มีแล้ว หมดแล้ว ก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่าสิ่งนั้นไม่มีหายไปไม่กลับมาอีกเลย เพียงชั่วปรากฏว่ามีแล้วก็หายไป จะใช้คำว่าเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไปคือว่าไม่กลับมาอีกก็ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องพิสูจน์ด้วยความไตร่ตรองว่าจริงหรือเปล่า อย่างคุณอรรณพกล่าวว่ามีแข็งปรากฏ หมดแล้วไม่มีแล้ว ในขณะที่มีเสียงปรากฏแข็งก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นยังคงมีแข็งเหลืออยู่หรือเปล่าที่บอกเมื่อครู่นี้ ไม่เหลือ เพราะว่าไม่เหลือจึงไม่ปรากฏใช่ไหม ก็ตรงที่สุดว่าสิ่งนั้นปรากฏแล้วหมดไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    อ.อรรณพ แต่ถ้ากล่าวถึงสภาพของฐานะของผู้ที่ฟัง ที่ยังไม่ได้ประจักษ์อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องประจักษ์เพราะเราประจักษ์อย่างนั้นไม่ได้ถ้าไม่เข้าใจ ใครจะไปประจักษ์โดยไม่เข้าใจเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นกว่าที่จะประจักษ์ ความเข้าใจต้องเพิ่มขึ้นมากขึ้น ละคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมที่เหมือนว่ายังมีอยู่แต่ความจริงไม่ได้มีเลย ให้เป็นผู้ที่ตรงจริงๆ จึงสามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ แต่แม้ว่าเพียงในขั้นการฟัง สามารถเริ่มที่จะเข้าใจพระพุทธพจน์ในความเป็นธรรมซึ่งสั้น เล็กน้อย ชั่วคราว เกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไปและไม่กลับมาอีก แต่เมื่อไม่รู้เช่นนี้แม้ขั้นการฟังก็ไม่เคยได้ยิน แล้วจะให้ไปประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการฟังพระพุทธพจน์ ปริยัติหมายความว่าไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ต้องพิจารณาจนเข้าใจจริงๆ ในทุกอย่างที่มีจริงๆ ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเราจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ที่รอบรู้ในคำที่ได้ฟัง เช่น รอบรู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีต้องเมื่อปรากฏเท่านั้น ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏแล้ว "ยังคิดว่า" เห็นไหม คิดว่า ไม่ใช่มีจริงๆ แต่คิดว่ายังมีอยู่ โดยที่สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ และตามความเป็นจริงก็คือ สิ่งที่เคยมีที่ปรากฏหายไปเลย เพียงแค่เกิดปรากฏรู้ว่ามีแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย ถ้าอย่างนี้ก็จะเข้าใจพระพุทธพจน์ว่า การตรัสรู้ ตรัสรู้ความจริงซึ่งเป็นจริง แต่ว่าผู้ที่ไม่ได้ฟังก็หลงยึดถือเข้าใจผิดว่าแม้สิ่งที่ไม่ปรากฏก็ยังมีอยู่

    ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ไม่มีการที่จะละคลายว่า ยังมีเราจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินทั้งหมด ทั้งๆ ที่ไม่มีรูปลักษณะใดๆ ปรากฏเลยก็ยังยึดถือว่า ยังมีเรา และกำลังนั่ง กำลังนอนบ้าง เดินบ้าง ยืนบ้าง แต่ว่าที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าไม่ใช่เราก็ต่อเมื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมคือมีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะของธาตุ หรือธา-ตุแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเพราะไม่มีใครไปทำให้เกิดได้

    ขณะนี้ทุกอย่างมีแล้วเกิดแล้วปรากฏในขณะนี้เพราะเกิดแล้วโดยที่ไม่ได้มีใครไปทำเลยสักคนเดียว แต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด และเมื่อไม่รู้ความจริงก็ยึดถือสิ่งที่เกิดเข้าใจว่าเป็นตัวของเรา เป็นร่างกายของเรา และจะละการยึดถือการที่เคยเข้าใจว่า มีเรา มีตัวเรา มีร่างกายของเรา ก็ต่อเมื่อได้ฟังไตร่ตรองตั้งแต่ขั้นฟังปริยัติจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง จึงสามารถที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะซึ่งปรากฏตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ แม้เดี๋ยวนี้แข็งก็ปรากฏ เห็นไหม แต่ความเข้าใจก็ไม่พอที่ละคลายว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรม" ก็ได้ เป็นธาตุ หรือธา-ตุอย่างหนึ่ง คือ แข็งเป็นแข็งไม่ใช่เสียง แสดงให้เห็นว่ากว่าเราจะเข้าใจธาตุแต่ละหนึ่งๆ ที่ปรากฏจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจ และเริ่มเห็นความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งกว่าจะละได้ ดับได้ จนไม่เหลือเลยก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ ในสิ่งที่มีตั้งแต่ขั้นการฟัง

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจและได้เตือนด้วยว่า ไม่ใช่ให้เราไปตามคำ ตามข้อความ ตามจำนวน แต่อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์ก็ได้อนุเคราะห์ได้อธิบายให้เราเข้าใจไปโดยพื้นฐานที่ท่านถามว่า ร่างกายจริงๆ คืออะไร และจิตใจจริงๆ คืออะไร อันนี้ในประเด็นแรก ร่างกายจริงๆ ที่เราเคยจำไว้คืออะไรกันแน่ อยากให้เป็นการสรุปความเข้าใจโดยท่านผู้ร่วมสนทนาเองด้วย ซึ่งทางคุณอธิปก็จะมาเรียนถามคำถามแต่ว่าอยากจะให้เป็นผู้แทนสนทนาตรงนี้ด้วย สรุปแล้วร่างกายจริงๆ คืออะไร

    ผู้ฟัง ร่างกายจริงๆ แล้วในความเข้าใจของผมก็คงจะเป็น ธาตุ ๔ มหาภูตรูปรวมทั้งอุปาทายรูป

    อ.อรรณพ สั้นดีท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็พูดภาษาบาลีแต่ว่าเมื่อครู่เราไม่ได้ใช้คำภาษาบาลีเลยนอกจาก ๒ คำ คือ ธรรม กับ ธา-ตุ เพราะเหตุว่าเราได้คุ้นกับคำว่าธรรม และคุ้นกับคำว่าธาตุ คุ้นหูแต่เข้าใจแค่ไหนอันนี้สำคัญกว่า ไม่ใช่คุ้นหูอ่านแล้วเจอคำว่า ธาตุ รูปธาตุเท่าไหร่ นามธาตุเท่าไหร่อะไรอย่างนั้น แต่ว่าความเข้าใจแม้ธาตุ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจะน้อยจะมากสำคัญไหม สำคัญตรงไหน สำคัญที่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแม้น้อยแต่เข้าใจจริงๆ เข้าใจละเอียดขึ้น เข้าใจลึกซึ้งขึ้น แต่ถ้ามีแต่ชื่อมากๆ แต่ไม่เข้าใจจะมีประโยชน์อะไร

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ถ้าฟังอย่างนี้แล้วทุกคนเข้าใจอย่างนี้ และพิจารณาอย่างนี้ก็คงไม่ต้องสอบถาม เพราะเหตุว่าฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้ จริงๆ แล้วที่เข้าใจว่าเป็นร่างกายของเรามีอะไรบ้าง ถ้าตอบว่าแข็ง แข็งเมื่อไหร่ ในขณะที่แข็งไม่ได้ปรากฏแล้วยังเป็นร่างกายของเราหรือเปล่า นี่คือการที่จะหยั่งลงไปถึงการที่สภาพธรรมใดก็ตามเกิดแล้วดับแล้วแสนเร็ว คำพูดทั้งหมดก็อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่ว่าปรากฏแล้วหมดแล้วไม่เหลือ

    เพราะฉะนั้นไปจำว่ายังมีอยู่ ก็แค่จำแต่ว่าจำด้วยอัตตสัญญา จำว่ายังมี ไม่ใช่จำว่าหมดแล้วไม่เที่ยง ดับแล้วไม่เหลือเลย ต้องเน้นบ่อยๆ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ไม่มีทางที่จะทำให้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวเรามานาน เพราะฉะนั้นแต่ละคำแม้แต่คำว่าแข็ง หรือต่อไปจะถึงคำอื่นอีกให้ครบ ครบไม่ใช่หมายความว่าครบตามคำที่ทรงแสดง แต่ครบตามที่มีและทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ชื่อ เพราะฉะนั้นมีหลายคำที่เป็นภาษบาลี เข้าใจทุกคำให้ถูกต้อง

    การที่ได้ฟังอย่างนี้ประโยชน์สูงสุดที่จะมีได้ก็คือ เวลาใดที่แข็งปรากฏจากการที่ได้ฟังแล้วไม่ลืม เริ่มรู้จักแล้วใช่ไหม ไม่อย่างนั้นที่เราฟังมาทั้งหมดไร้ประโยชน์ แต่ที่เราฟังแล้วเริ่มเข้าใจขึ้นทีละน้อยๆ แต่ละหนึ่งให้ชัดเจนขึ้นเพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แข็งปรากฏมานานแล้วบ่อยๆ ด้วย เดี๋ยวก็แข็ง เดี๋ยวก็แข็งปรากฏแต่ไม่เคยมีความรู้ไม่เคยมีความเข้าใจในความเป็นแข็งว่าไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของใครเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นประโยชน์ต่อจากนี้ไปที่สูงกว่านี้ก็คือว่า เวลาแข็งปรากฏมีความเข้าใจถูกในแข็งนั้นได้ แต่ว่าแล้วแต่ว่าจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ หรือเหมือนเดิมเพราะเหตุว่า การฟังเพียงเล็กน้อยก็มีความจะเพียงเล็กน้อยแล้วไปจำเรื่องอื่นอีกเยอะแยะ แต่ว่าถ้าฟังด้วยความเข้าใจจริงๆ ก็รู้ว่าแข็งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้จะไม่ไปปรากฏที่ไหนอีกเลย

    เพราะฉะนั้นเวลาที่แข็งปรากฏที่กายข้างหน้าต่อไปที่จะเกิดเพราะยังมีปัจจัยที่จะให้แข็งเกิด ที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา เป็นร่างกาย เป็นของเรา ก็จะเริ่มมีความเข้าใจแข็ง เห็นไหมประโยชน์อยู่ตรงที่ว่า เหตุใดเราจึงพูดเรื่องสติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะ ปัญญาระดับต่างๆ แต่ถ้าเราไม่มีความเข้าใจจริงๆ ในแข็งอย่างนี้ว่าเป็นธรรมเป็นธาตุเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วเวลาที่แข็งปรากฏจะเอาความเข้าใจอย่างนี้มาจากไหน ถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ ว่า ปัญญาที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็รู้แข็งนี้แหละ แต่เพียงขั้นฟังยังไม่ถึงเวลาแข็งปรากฏก็ลืมแล้ว ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้สนใจว่าแข็งก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นการฟังประโยชน์คือให้เข้าใจจริงๆ และมีความที่มั่นคง และรู้ประโยชน์ว่า จากการฟังเข้าใจจะนำไปสู่ปัจจัยที่จะให้ปฏิปัตติคือ ปัญญา และสติที่ถึงลักษณะที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งเวลาที่แข็งปรากฏก่อนที่จะได้ฟัง แข็งมีจริงปรากฏจริงแต่ไม่มีความเข้าใจในแข็ง จะกล่าวว่ามีปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจไม่ได้เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงธาตุรู้แข็ง ภาษาบาลีจะใช้คำว่า "กายวิญญาณ" เกิดแล้วรู้เฉพาะสิ่งที่กระทบคือ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง แข็งบ้าง ใครๆ ก็รู้ นั่นคือไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งที่ปรากฏที่กาย แต่ยังไม่ใช่ความเห็นถูก จนกว่าจะมีความเข้าใจจากการฟังโดยความเป็นอนัตตาว่าไม่มีความจงใจที่จะรู้เมื่อไหร่ ขณะนั้นจึงจะเป็นความเข้าใจความเป็นอนัตตาของธาตุ ซึ่งเป็น สติและปัญญา ซึ่งนี่ก็กล่าวเลยไปมาก ซึ่งความจริงก็อยากจะให้เพียงแต่เข้าใจว่าที่เคยว่าเป็นตัวเรานั้นก็คือ ธาตุ ได้แก่แข็งที่กำลังปรากฏ ให้รู้ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธาตุ

    ผู้ฟัง สภาพแข็ง หรือความแข็ง และอารมณ์แข็ง และความจำที่แปลว่า "แข็ง" มีความต่างกันอย่างไร และการเกิดดับของทั้ง ๓ คำนี้ สภาพอะไรที่แสดงถึงการเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ทีละคำ อารมณ์คืออะไร

    ผู้ฟัง อารมณ์คือสิ่งที่จิตไปรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าจิตไม่เกิดจะมีอารมณ์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นในขณะที่แข็งปรากฏ ขณะนี้มีธาตูรู้แข็ง หรือเปล่าแข็งจึงปรากฏได้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้แข็งไม่ใช่แข็ง และแข็งไม่ใช่ธาตุรู้แข็ง ธาตุรู้เป็นเรา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แข็งเป็นเรา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งสามารถที่จะรู้อะไร หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้แข็งไหม สภาพรู้แข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่แข็ง

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจแล้วว่าอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ ขณะนั้นแข็งปรากฏ หมายความว่า มีธาตุรู้คือจิตกำลังรู้แข็ง แข็งจึงเป็นอารมณ์ของจิตที่รู้แข็งไม่ใช่จิตอื่น เดี๋ยวนี้ยังมีแข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เกิดมีเป็นแข็งแล้วหายไปไหน นั่นคือดับไม่กลับมาอีกเลย มีอะไรที่ยังเหลืออีกบ้าง ความจำเกิดจำ แล้วดับไหม เพราะฉะนั้นความจำดับไปแล้วยังมีอะไรเหลืออีกไหม มีแต่สิ่งที่เกิดใหม่สืบต่อจนไม่ปรากฏการเกิดดับของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ

    พระ เจริญพร เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเรื่อง โผฏฐัพพารมณ์ คือความแข็ง ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องจิตที่รู้แข็งกับสภาพที่แข็ง ขออาจารย์ให้ความเข้าใจ อย่างเช่น ตามที่ได้ศึกษามาในพระวินัยปิฎก เห็นมีภิกษุในสมัยพุทธกาล ท่านมาเดินจงกรม ในที่นั้นท่านจะเดินดูอาการแข็งในลักษณะการอบรมเจริญสติปัฏฐานอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เราเจริญสติปัฏฐานได้ไหม

    พระ ถ้ามีเรา ไม่สามารถที่จะเจริญได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานคืออะไร ก่อนอื่นไม่ใช่เพียงได้ยินชื่อแล้วเราก็จำแล้วเราก็พูดแต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าเป็นการศึกษาธรรมแต่ละคำให้เข้าใจชัดเจน เช่น เราตั้งต้นด้วยคำว่า "ธาตุ" แล้วเราก็ไปถึงอย่างอื่น แต่เราเข้าใจจริงๆ หรือเปล่าว่าเรากำลังพูดเรื่องแข็ง เพราะว่าแข็งมีจริงจึงเป็นธาตุแข็งซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ว่าธาตุแข็งแม้แข็งแต่ไม่มีสภาพที่กำลังรู้แข็งก็ไม่ปรากฏว่ามี

    เพราะฉะนั้นในขณะที่แข็งปรากฏก็มีธรรม ๒ อย่าง สิ่งที่มีจริง ๒ อย่างคือ อย่างหนึ่งเป็นแข็ง ใครจะเปลี่ยนแข็งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ธาตุที่กำลังรู้เฉพาะแข็ง รู้อื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในขณะที่แข็งปรากฏต้องมีธาตุรู้ ซึ่งเคยเป็นเรารู้ว่าแข็ง แต่ความจริงเพราะไม่รู้ความจริงว่ามีธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นรู้แข็งแล้วดับไปเลย จะไปได้ยินไม่ได้ จะไปคิดนึกไม่ได้ เป็นแต่ละธาตุแต่ละหนึ่งแสดงให้เห็นว่า กว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ก็ต้องมีความเข้าใจอย่างละเอียดในแต่ละหนึ่งๆ เช่น แม้แต่แข็ง ผ่านไปไม่ได้เลย ก็มีแข็งปรากฏทุกวันเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งว่า เป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง และไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดขึ้นแล้วดับไป

    พระ สิ่งที่ควรรู้จริงๆ หมายถึงรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องเจ้าค่ะ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ควรรู้ ควรรู้ในลักษณะที่เป็นธรรม ในลักษณะที่เป็นธาตุ ในลักษณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ในลักษณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ในลักษณะที่บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเกิดแล้วทั้งหมดขณะนี้

    พระ ถ้ารู้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็ไม่สามารถที่จะเรียกว่ารู้จริงได้

    ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ ถ้ามีแต่แข็ง แข็งกำลังปรากฏ มีอย่างอื่นปรากฏไหมเจ้าคะ

    พระ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แม้แต่ที่ตัวที่เข้าใจว่าแข็งตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแต่ว่าแข็งไม่ได้ปรากฏตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแน่นอน แข็งปรากฏเฉพาะส่วนที่จิตกำลังรู้แข็งตรงนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นส่วนอื่นไม่มี ถ้ายังมีอยู่ก็เป็นร่างกายของเราก็ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้นการที่จะสามารถละการยึดถือสภาพธรรมใดๆ ได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจเฉพาะลักษณะนั้นที่ปรากฏทีละหนึ่งว่า ไม่ใช่อย่างอื่น และทีละหนึ่งนั้นก็มีการเกิดขึ้น และดับไปด้วย ถ้าหลายๆ อย่างรวมกันไม่สามารถที่จะปรากฏการเกิดดับของสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เจ้าค่ะ

    พระ ขออนุโมทนา

    ท่านอาจารย์ กราบท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ได้ถามว่าร่างกายคืออะไร ก็พอเข้าใจไปเบื้องต้นว่าก็คือสภาพของรูปแต่ละอย่างๆ ที่ประชุมกัน ยกตัวอย่าง แข็งก็คือสิ่งที่มีจริงที่กายนี้ และท่านอาจารย์ก็ถามว่า จิตใจจริงๆ คืออะไร ก็ขอความกรุณาท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจพื้นฐานว่า จิตใจที่เราคิดกันว่าเรามีจิตใจ จิตใจจริงๆ คืออะไร กราบท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็นไม่ต้องเรียกจิตได้ไหม

    อ.อรรณพ ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริงๆ หรือเปล่า ทำไมว่าเห็น

    อ.อรรณพ เพราะกำลังเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่กลิ่น แต่สิ่งนี้กำลังปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นในขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏก็รู้ได้ว่าถ้าไม่มีธาตุที่กำลังรู้เฉพาะสิ่งนั้น ขณะนั้นสิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ อย่างเสียง เสียงปรากฏแล้วแต่ที่ว่าเสียงปรากฏ ปรากฏเพราะว่ามีธาตุที่กำลังรู้คือ ได้ยินเสียง ถ้าได้ยินไม่มีจะมีเสียงปรากฏได้ไหม ไม่ได้ และที่ว่าได้ยินไม่ใช่เราแต่เป็นธาตุชนิด ๑ ซึ่งเกิดขึ้นขณะนั้นรู้เฉพาะเสียง เสียงขณะนี้เป็นอย่างหนึ่งเสียงอื่นก็มีแต่ละหนึ่งๆ ก็คือธาตุได้ยินเกิดขึ้นเฉพาะเสียงนั้นๆ แต่ละหนึ่ง และธาตุได้ยินก็ดับด้วย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหลายก็ตามเรายังไม่ต้องไปจำได้ไหมว่า นี่เป็นนามธรรม นั่นเป็นรูปธรรม แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เข้าใจลักษณะที่ต่างกัน ยังไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่อย่างเดียวกัน ก็จะปรากฏลักษณะที่ต่างกัน คือ อย่างหนึ่งสามารถรู้ อีกอย่างหนึ่งไม่สามารถรู้ โดยที่ยังไม่ต้องใช้ชื่อเลย อย่างขณะที่แข็งกำลังปรากฏแล้วเริ่มเข้าใจแข็งกับขณะนั้นที่รู้แข็งต้องมีแน่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปรากฏชัดเจนออกมาว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แข็ง หรืออ่อน หรือเปล่า แต่รู้มีแน่ๆ แข็งจึงได้ปรากฏได้ เพราะฉะนั้นแข็งปรากฏกับธาตุ ๑ ที่สามารถรู้แข็ง ไม่ลืม เดี๋ยวนี้แข็งปรากฏกับธาตุ ๑ ซึ่งสามารถรู้แข็ง ถ้าธาตุรู้แข็งไม่เกิดแข็งก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นต่อไปเราก็จะรู้ได้ว่า เสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือแข็ง หรือเย็น หรือร้อน ก็ต่างกับเห็น ต่างกับได้ยิน ต่างกับโกรธ ต่างกับโลภะความติดข้อง ต่างกับความพากเพียร หรืออะไรก็ตามแต่ในชีวิตประจำวันซึ่งเรามี และเราก็รู้ว่ามี เช่น ความเกียจคร้านมีไหม ความขยันมีไหม เมื่อต่างๆ กันออกไปก็จะประมวลได้ว่า ธาตุที่ไม่รู้นั้นแหละเป็นส่วนหนึ่งไม่ใช่ธาตุรู้ ส่วนธาตุรู้ก็ไม่ใช่ธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เมื่อหลากหลายอย่างนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติคำว่า "นามธรรม" สำหรับสภาพที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และ "รูปธรรม" หมายความว่า สิ่งนั้นมีจริงแต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    17 พ.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ