พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 842


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๔๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ แต่ละคำอย่าเพิ่งข้ามไปถึงคำอื่น แม้แต่ตรัสรู้ที่จะรู้จริงๆ ว่า ฟังธรรมจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ ผู้ที่ทรงตื่นจากกิเลสก็แสดงว่ากว่าจะตื่นได้จะข้ามธรรมใดๆ ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะโดยพระพุทธพจน์ซึ่งเป็น "วาจาสัจจะ" ก็จะนำมาสู่ "ญาณสัจจะ" ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงจนกระทั่งเป็น "มัคคสัจจะ" สามารถที่จะประจักษ์แจ้งแทงตลอด ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงมหาภูตรูป ๔ และมีความที่ว่า เพียงจำกับความเข้าใจ เมื่อสักครู่ฟังท่านอาจารย์ก็รู้ว่า ขณะนี้มีแข็ง อะไรจะเป็นความต่างที่จะรู้ว่า ผู้ที่ฟังแล้วย่อมรู้ว่ากล่าวถึงอะไร แต่ความเข้าใจที่จะเข้าใจในสิ่งที่ฟังคืออย่างไร ไม่ใช่เพียงจำ

    ท่านอาจารย์ ฟังเพราะไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกล่าวว่า "มหาภูตรูป" แต่ยังเป็นคุณวิชัย

    อ.วิชัย ก็ยังเป็นอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า แข็ง อ่อน ธาตุดินไม่ใช่คุณวิชัยแน่ๆ สิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่ใช่แข็ง หรืออ่อน แต่ที่แข็ง หรืออ่อนก็มีรูปที่สามารถกระทบตาปรากฏเมื่อจิตเห็น เห็นไหมเมื่อความเข้าใจในสิ่งที่มีเป็นปรกติจะค่อยๆ ทำให้คลายความไม่รู้ และการยึดถือ ต้องอาศัยการฟัง และเข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นขณะใดก็รู้ว่า เพียงอาศัยระลึกว่า ลักษณะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่มีอะไรในสิ่งนั้นเลยทั้งสิ้น ไม่มีคุณอรรณพ ไม่มีคุณวิชัย ไม่มีคุณคำปั่น ไม่มีคุณธีรพันธ์ ไม่มีคุณธิดารัตน์ ไม่มีใครทั้งนั้น โต๊ะ เก้าอี้ อะไรก็ไม่มีเพราะว่า เป็นสิ่งที่เกิดพร้อมมหาภูตรูปแต่ไม่ใช่มหาภูตรูปเพราะเป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท ในขณะที่มหาภูตรูปกระทบจักขุปสาทไม่ได้ และเมื่อสิ่งนี้เกิดกระทบจักขุปสาทซึ่งเกิด และยังไม่ดับ เป็นปัจจัยให้ขณะนี้เห็น นี่คือ ธรรม สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใครแล้วดับ เห็นไม่ได้รู้เลยว่า เห็นสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เห็นเพียงเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่มีจริงที่กระทบตาแล้วดับ เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงการตรัสรู้ต้องเป็นปัญญาจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นตราบใดที่ฟังธรรมแล้วยังไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างนี้แล้วจะไม่มีการตรัสรู้เลย เพราะว่าการรู้ความจริงต้องแต่ละทางด้วย ทางตาเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ปรากฏว่ามีเพราะกำลังเห็น ทางหูก็มีความจริงอีกอย่างหนึ่ง เสียงปรากฏว่ามีเมื่อได้ยิน กลิ่นปรากฏว่ามีเมื่อมีการรู้กลิ่น รสมีแน่ๆ เวลาที่กำลังลิ้มรส เย็น ร้อน อ่อน แข็งก็มีในขณะที่กำลังกระทบ และคิดนึกทั้งวัน เพราะฉะนั้นคือ ธรรมทั้งหมดตรงกับคำที่ได้ยินคำแรก "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ไม่ใช่เรา แค่ได้ยินอย่างนี้อย่าเพิ่งพอใจว่ารู้แล้วเพราะไม่ได้รู้อะไรเลย แค่ได้ฟังว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งประชุมรวมกันทำให้ยึดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือการรู้จักคำว่า "พุทโธ" การเข้าใจความหมายของ "ตรัสรู้" การเข้าใจความจริงที่ว่า "ตื่นจากกิเลส" จะได้รู้ความจริงว่ายังหลับอยู่ ฟังแล้วก็ยังคงเข้าใจได้ทีละน้อย แต่ในเมื่อเป็นความจริงเปลี่ยนความจริงไม่ได้ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ "วาสนาภาวนา" การอบรมความรู้ถูก ความเห็นถูก แต่วาสนามีความหมายทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี เพราะฉะนั้นในขณะนี้สิ่งใดที่เกิดแล้ว เช่น ความติดข้อง และความไม่รู้เกิดแล้วที่ไหน กับจิตในจิตไม่ได้ออกไปเลย แม้ว่าจิตดับความไม่รู้ สิ่งที่เกิดพร้อมจิตคือ เจตสิกทั้งหลายก็ดับไปพร้อมกันแต่สะสมสืบต่อ เพราะฉะนั้นแต่ละขณะใหม่หมดในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีอันเก่าในแสนโกฏิกัปป์ที่จะกลับมา หรือแม้แต่ขณะเมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว หมดแล้ว ของใคร อยู่ที่ไหน ฟังอย่างนี้จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้มีเพียงสิ่งที่อาศัยระลึกให้รู้ว่ามีเพราะว่า ตามความเป็นจริงสิ่งที่ปรากฏ และระลึกได้ในลักษณะนั้นก็ดับแล้ว นี่คือ ความเป็นจริงที่เป็นสังสารวัฏฏ์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยเกิดแล้วดับไป

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงอย่างเช่น พระผู้มีพระภาคทรงประทับที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงพิจารณาพุทธวิปัสสนา จะมีคำมากมาย เช่น พิจารณาปฏิจสมุปบาท เพราะฉะนั้นการเริ่มที่จะเป็นความเข้าใจปัญญาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ได้ยินคำมากมายแต่การเริ่มที่จะเข้าใจ รู้ความหมายของคำต่างๆ เช่น ปฏิจสมุปบาทคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ตรัสรู้มีคำอะไร หรือเปล่า มีคำว่า "ปฏิจสมุปบาท" หรือกำลังจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่มีคำใดๆ เลย

    อ.วิชัย ไม่ต้องมีคำใดๆ ก็รู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องมีแต่ว่า ถ้าไม่ใช้คำจะเข้าใจไหมว่า หมายถึงสภาพธรรมอะไรเพราะเหตุว่า สภาพธรรมแต่ละ ๑ จริงๆ เกิดแล้วดับแล้วท้งนั้นเลย แต่ก็ต้องใช้คำเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า หมายความถึงสภาพธรรมอะไรแม้แต่ตรัสรู้ ขณนั้นกำลังเข้าใจประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีในขณะนั้น และสิ้่งที่มีในขณะนี้ไม่ใช่อย่างเดียวเท่านั้น เกิดดับสืบต่อนับไม่ถ้วน เช่น เวลานี้เสียงปรากฏ ใครรู้บ้างว่า เกิดเพราะเหตุปัจจัยถ้าไม่มีปัจจัยที่เสียงจะเกิดเสียงเกิดไม่ได้ และถ้าไม่มีธาตุรู้ที่กำลังได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้ และในขณะที่กำลังเข้าใจเพราะฟังมาแล้วทันทีที่เสียงปรากฏ รู้ถึงความไม่ใช่ตัวตน และไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้นเพียงเกิดปรากฏแล้วหมดไป สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นปัจจัยว่า แม้แต่ได้ยินก็เกิดเพราะปัจจัยถ้าเสียงขณะนั้นไม่มีได้ยินก็เกิดไม่ได้ แม้เสียงก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยถ้าไม่มีได้ยินเสียงก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทันทีที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ปัญญาที่ได้อบรมแล้วก็สามารถละความไม่รู้ และการยึดถือในได้ยิน และเสียง แล้วพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะยิ่งกว่านี้สักเท่าไหร่ เพราะเหตุว่า ในขณะนี้ดูเหมือนว่ามีเห็น มีได้ยิน และมีคิดนึก ความจริงมีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อมากมายที่คนอื่นไม่รู้ เช่น "ปัญจทวาราวัชชนจิต" เห็นไหม ชื่อคล่องเลยเป็นวิถีจิต หมายความว่า ขณะใดก็ตามจิตเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจ จะมีอารมณ์ปรากฏไม่ได้แต่จิตเกิดแล้วต้องมี เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมีการได้ยินต้องมีวิถีจิตแรกที่อาศัย "ทวาร" หรือทางนั้นๆ เป็นปัจจัยทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเห็นความละเอียดยิ่ง ปัญญาส่วนที่แสดงน้อยกว่าปัญญาของพระองค์มากมายเท่าไหร่ที่ทรงรู้ความจริงของจิตนั้นในขณะนั้นว่า เกิดเพราะอะไร มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ นี่คือ การที่จะรู้ในความเป็น "พุทธ" และความหมายของการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องการเข้าใจถูกตามลำดับ หรือตามกำลังของแต่ละคน คนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ถึงอย่างนี้ได้ไหม แม้แต่ขณะนี้มีจิตเกิดดับเป็นวิถีจิตเท่าไหร่ ชื่อต่างๆ ตามกิจหน้าที่ของแต่ละจิตก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ก็ทรงแสดงความจริง และให้เรารู้ตามอย่างนั้น หรือเปล่า

    อ.วิชัย รู้เท่าที่สามารถจะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ เท่าที่สามารถจะรู้ได้ นี่คือ ความต่างกันของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกซึ่งเป็นอนุพุทธ

    อ.วิชัย เรียนถามอาจารย์อรรณพ ความเป็นผู้ตื่นคือ ตื่นจากการหลับคือ เป็นไปในกิเลสอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ที่ตื่นบางครั้งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องการเป็นผู้ที่ปรารภความเพียรในการขัดเหลาอกุศล หรือกิเลสต่างๆ

    อ.อรรณพ ตื่นต้องเป็นลักษณะของปัญญา ตื่นจริงๆ คือ ตื่นจากอวิชชา ตื่นจากความไ่ม่รู้ เมื่อได้รู้ความจริงจึงจะตื่น เพราะฉะนั้นขณะนี้อยู่ในโลกของอะไร อยู่ในโลกของความจริง หรืออยู่ในโลกของความไม่จริง ถ้าตื่นคือ รู้ความจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ อยู่ในโลกของสมมติ บัญญัติ นิมิตเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่ตื่นเพราะว่า ความจริงมีสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ไม่รู้ความจริงก็ยังไม่ตื่น แต่ผู้ที่ยังไม่ตื่นโดยการที่สติปัญญายังไม่รู้ และระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่รู้ว่า สิ่งที่เคยคิดว่าเป็นจริงนั้นกลับเป็นเท็จ แต่สิ่งที่คนที่ไม่รู้ไม่มีการที่จะรู้อย่างนั้นได้จริงๆ ปัญญากลับรู้ได้ว่า ขณะนี้ความจริงที่แท้คืออะไร เพราะฉะนั้นก็ตื่นจากโลกของความฝันว่าไม่จริงเป็นบัญญัติ เรื่องราวต่างๆ

    อ.วิชัย กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ในการอบรมที่จะให้ถึงการดับกิเลส ลักษณะของการเบิกบานของผู้ที่ดับกิเลสแล้วกับผู้ที่ดำเนินหนทางในการที่จะดับกิเลสกับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่

    ท่านอาจารย์ คนอื่นเบิกบานก็ช่างเขา หรือจะไม่เบิกบานก็เรื่องของเขาใช่ไหม พอได้ยินคำว่า เบิกบานก็ต้องรู้ว่า เบิกบานจริงๆ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถจะเห็นถูกเข้าใจถูก จากที่เคยไม่รู้เป็นความรู้แค่นี้เบิกบาน หรือเปล่า ถ้ายังไม่เบิกบานก็ไม่ต้องไปทำให้เบิกบาน ไม่ใช่เป็นเรื่องต้องไปทำแต่เป็นเรื่องความจริง เมื่อไหร่ฟังความจริง และเข้าใจความจริง รู้ว่าไม่ใช่ความเท็จ และมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่จริงอย่างนี้ซึ่งยากไหมลองคิดดู ไม่ใช่ว่าจะได้ฟังบ่อยๆ ทั่วๆ ไปที่ไหนๆ ก็พูดใช่ไหม แต่กว่าจะได้ยินได้ฟังซึ่งอยู่มานาน บางคนก็ไม่มีโอกาสจะได้ยินไดัฟังเลยเพราะไม่สนใจ หรือไม่เห็นประโยชน์ บุคคลเหล่านั้นจะเบิกบานได้อย่างไร เหมือนเดิมทุกวัน แต่นี่คือ วันพิเศษ วาระพิเศษ สมัยพิเศษ ขณะพิเศษที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริงของสื่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ต้องไตร่ตรองถึงจะรู้ว่าควรที่จะเบิกบาน หรือยังไม่ควร เป็นเรื่องของแต่ละคนซึ่งไม่ต้องไปทำให้เบิกบาน แต่ถ้าได้รู้มากขึ้นๆ จะพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนไหม เพราะฉะนั้นมีภัยตั้งแต่ภายในที่สุดคือ กิเลส ทำร้ายเลยโดยยังไม่ต้องมีใครมาอยู่ใกล้ๆ ไกลๆ ที่หนก็ตาม กิเลสทำร้ายจิตทันทีแต่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกทำร้าย เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะได้รู้ความจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรมจะเดือดร้อนไหม จากที่เคยเป็นเราถูกทำร้ายกับความจริงคือเป็นธาตุจริงๆ เป็นธรรมที่มีจริง ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ เกิดเป็นแต่ละ ๑ ปรากฏแล้วหมดไปเป็นอย่างนี้ตลอดเรื่อยมาในสังสารวัฏฏ์ หรือแม้เดี๋ยวนี้ และต่อๆ ไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังความจริงย่อมกว่าที่จะยังคงไม่รู้ และคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นของเราแต่ความจริงคือ ไม่สามารถที่จะเห็นถูกแต่ถ้าเห็นถูกแล้วก็ไม่บังคับการเบิกบาน แต่ในพระไตรปิฎกชื่นชมในพระภาษิตคือ คำที่พระพุทธฌจ้าทรงแสดงเพราะเหตุว่า ได้เข้าใจความจริงตามลำดับขั้นของปัญญาที่จะกล่าวว่า "ชื่นชมในพระภาษิต" ชื่นชมคือ คำที่ได้ยินทำให้สบายใจ ไม่ได้ทำให้เดือดร้อนเลย แต่ถ้าใครเสียดายตัวตน เสียดายรูป เสียง กลิ่น รส เคยเป็นเรา และจะไม่มีอีกต่อไป นั่นคือ ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นขณะนั้นชื่นชมไม่ได้เลยด้วยเหตุนี้เป็นความจริงว่า ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ มั่นคง ก็จะชื่นชมในคำจริงที่ได้ยินได้ฟังซึ่งขณะนั้นคือ ความเบิกบานนั่นเอง

    อ.วิชัย เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเป็นกุศล เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คำที่ทำให้สบายใจถ้าเข้าใจแต่ถ้าเห็นผิดยึดมั่น ไม่เข้าใจ ก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ แสดงถึงความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นแม้แต่เข้าใจก็รู้ได้ว่า ขณะนั้นอะไร เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่เดือดร้อนเลย กำลังฟัง และได้เข้าใจขึ้นจะเดือดร้อนอะไร ความเข้าใจไม่ได้ทำให้เดือดร้อนใดๆ เลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ถึงความไม่รู้ ความเป็นผู้กลับเพราะว่า ท่านอาจารย์ถามถึงมหาภูตรูปก็คิดถึงแต่แข็งภายนอกแต่ที่กายไม่ได้คิดถึงเลย การฟังธรรมไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดฟังเรื่องมหาภูตรูปแต่ไม่สนใจมหาภูตรูปที่กายเพราะเหตุใด

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ายังไม่เข้าใจจริงๆ ว่า มหาภูตรูปไม่ได้มีแต่เฉพาะภายนอก

    ผู้ฟัง ทั้งๆ ที่ได้ฟังปริยัติ

    ท่านอาจารย์ ฟังนิดเดียวแต่สิ่งที่ไม่รู้มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังสิ่งเดิม เรื่องเดิม แล้วค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นที่จะต้องอบรม

    อ.วิชัย มีการกล่าวถึงการเป็นผู้ที่มีความเพียรในการที่จะขัดเกลา

    ท่านอาจารย์ ลืมอีกแล้ว ลืมนี้ลืมบ่อยมากง่ายมากเป็นปรกติ ลืมว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นคนที่อ่านพระไตรปิฎกแม้ความเพียรก็ลืมว่าเป็นธรรม ทำความเพียรถูก หรือผิด แค่นี้ก็ผิดแล้ว เพียงคำเดียวก็ผิดเพราะเหตุว่า ถ้าศึกษาทุกอย่างเป็นธรรม ความเพียรมีจริงแต่ปรากฏไหมเหมือนอย่างเวทนาความรู้สึกมีจริงๆ ปรากฏ หรือเปล่า ในขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็น เห็นไหม ขณะเห็นเมื่อไหร่จะต้องมีความรู้สึก "อทุกขมสุข" เพราะฉะนั้นก็ยากที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะจิตยังมีความรู้สึกด้วยแต่สภาพธรรมจะปรากฏทีละอย่าง เพราะฉะนั้นทรงแสดงความละเอียดเพื่อให้คนที่ฟังได้เข้าใจถูกต้องตั้งแต่ต้นว่า ความเพียรเป็นธรรม และความเพียรไม่ใช่เรา เป็นสภาพนามธรรม เป็นธาตุรู้แต่ไม่ใช่จิตเพราะว่า จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ และมีเจตสิกซึ่งเป็นนามธาตุ นามธรรมซึ่งเกิดกับจิตมากมายหลากหลาย ความเพียรก็เป็นนามธาตุชนิด ๑ ซึ่งเกิดกับจิตแต่ไม่ใช่ทุกขณะ และไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจะทำความเพียรไหม เห็นไหม

    อ.วิชัย หมายถึงว่า ขณะนี้ก็มีความเพียรเกิดขึ้นแล้ว

    ท่านอาจารย์ เกิดกับจิตอะไรบ้าง เว้นไม่เกิดกับจิตที่เป็นอเหตุกจิต ๑๖ ดวง นี่คือความละเอียด ถ้าจะจำ หรือจะเข้าใจก็คือ จิตที่ไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ หรืออโลภะ อโทสะ อโมหะซึ่งเป็นเหตุ เหตุของอกุศลคือ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ยังมีจิตซึ่งเกิดโดยไม่มีเจตสิกทั้ง ๖ เกิดร่วมด้วยเลย ในบรรดาจิตทั้งหมดจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยมี ๑๘ ดวง เวลานี้รู้แล้ว ๑๐ คือ จิตเห็นกุศลวิบากอกุศลวิบาก ๒ และจิตได้ยิน ๒ จิตได้กลิ่น ๒ จิตลิ้มรส ๒ จิตรู้กระทบสัมผัสกาย ๒ สิบแล้วใช่ไหมเหลืออีกเพียง ๘ ไม่ต้องจำชื่อแต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ให้รู้ละเอียดขึ้นว่า ในขณะที่เห็นต้องมีนามธาตุซึ่งเป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นปัจจัยแต่ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ต้องไปทำอะไรเลย อุปปัตติ เกิดแล้วเพราะเหตุที่ได้กระทำไว้คือ กรรม จึงทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าเป็นกุศลกรรมก็เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมจะให้จิตที่เป็นกุศลวิบาก ผลของกุศล มาเกิดไม่ได้ต้องตามเหตุ เมื่อเหตุเป็นอกุศลกรรมผลก็คืออกุศลวิบากจิตเกิดขึ้นเห็น เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยใช้คำว่า "อุปปัตติ" เกิดขี้นโดยการประจวบกันของธรรมซึ่งถ้าใช้คำนี้ก็จะเข้าใจความหมายของคำว่า "อายตนะ" อีก เห็นไหมว่า ทุกอย่างคือเดี๋ยวนี้แต่ความเข้าเพิ่มขึ้นๆ ที่จะเห็นว่า ไม่ใช่ตัวตนเลยไม่ว่าจะใช้คำว่าอะไร จะใช้คำว่า "ธาตุ" จะใช้คำว่า "อายตนะ" หรือว่า "อเหตุกะ" แค่ ๑๐ ก็รู้เท่าที่สามารถจะรู้ได้ และใครไปทำเห็นให้เกิดได้ หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ ใครทำเพียรให้เกิดได้ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น และเป็นอนัตตา แต่ว่าจิตส่วนใหญ่จะประกอบด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ส่วนน้อยไม่ประกอบ เช่น จิตเห๊น จิตได้ยิน ฯลฯ ๑๐ ดวงที่ไม่ประกอบ

    อ.วิชัย ดังนั้นการอ่าน หรือการศึกษาต้องมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจพระไตรปิฎกก็ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าเข้าใจทุกคำลำ้ค่าเพราะเหตุว่า ทรงแสดงโดยละเอียด

    อ.วิชัย เรียนถามอาจารย์คำปั่น มีคำที่กล่าวถึงพุทธไว้หลายๆ คำ เช่น สัมมาสัมพุทธ หรือสัพพัญญูพุทธประการหนึ่ง และมีปัจเจกพุทธ และอนุพุทธ ขอความหมายในแต่ละคำ พุทธแต่ละอย่าง

    อ.คำปั่น สำหรับ "พุทธ" ได้ทราบตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า หมายถึงปัญญา หมายถึงผู้รู้ ถ้าหากว่าไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วจะชื่อว่า "พุทธ" ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นพุทธจึงมีหลายประเภท หลายจำพวก ตามระดับขั้นของปัญญาของแต่ละคนแต่ละท่านจริงๆ สูงสุดคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "สัพพัญญูพุทธ" ซึ่งชื่อนี้ไม่มีใครตั้งให้ แต่เป็นพระนามที่เกิดจากพระคุณธรรมความดีของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง "สัพพัญญู" หมายถึงผู้ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง นี้คือ พระพุทธเจ้าประเภทแรก ประเภทที่ ๒ คือ "ปัจเจกพุทธ" ก็ไม่พ้นจากพุทธ ไม่พ้นจากปัญญาแต่เป็นผู้ที่สะสมบารมีมา ๒ อสงไขยแสนกัปป์ที่จะได้ตรัสรูู้้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเฉพาะตน แต่ไม่ถึงพร้อมด้วยพระญาณปัญญาที่สามารถจะแสดงธรรมประกาศสัจจธรรมแก่ผู้อื่นเพราะเพียงตรัสรู้เฉพาะตนจึงมีชื่อเรียกว่า "ปัจเจกพุทธ" พุทธประการต่อมาคือ "อนุพุทธ" อนุคือตาม เป็นผู้ที่ตรัสรู้ตาม แสดงว่า ไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้โดยตนเองแต่ว่า เป็นผู้ที่ตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว มีการแสดงสัจจธรรมประกาศความจริง ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่ได้สะสมความดีมาแล้ว ก็ฟัง ก็ศึกษา เป็นผู้ที่มีปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับจนกระทั่งสามารถที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่ตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเป็นอนุพุทธ กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงธรรมที่ได้ยินได้ฟังวันนี้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ