พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 900


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗


    อ.คำปั่น ท่ามกลางครับจริงๆ เวลาที่ได้ยินได้ฟังคำว่าก็จะต้องมีคำมีชื่อแต่ก็ได้ฟังท่านอาจารย์ได้กล่าวเสมอว่าคำที่ได้ยินนั้นชื่อที่ได้ยินนั้นสองถึงตัวจริงของธรรมะหรือเปล่าแม้แต่ได้ฟัง ก็แสดงว่าฟังเพื่อให้เข้าใจถึงสภาพเห็นที่มีจริงตามความเป็นจริงครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    อ.คำปั่น ครับเห็นมีจริงๆ มั้ยครับว่าไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นในขณะที่ได้ยินคำว่าเห็นถูกต้อง ป้ะรู้ภาษาไทยว่าเห็นคือ เผชิญน้ำขณะที่ได้ยินคำว่า ไม่ได้คิดถึงใหญ่อีก แต่ว่าหลังจากนั้นก็คิดจี้ย เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจเห็นในลักษณะที่ และกลับมา เพียงแต่ต้องยินคำว่าเห็นรั้วหมายความถึงขนาด ผู้แสดงปรากฏไม่ใช่ขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่คิดเลยเข้าใจเพียงเท่านี้นะคะ แต่พอได้ยินคำว่าเห็นจะคิดอย่างอื่นไม่ได้เลยก็คิดถึงคำว่าเห็นแฟนๆ ที่เห็นกำลัง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ แม้ว่าได้ยินคำว่าเฮงพระธาตุเข้าใจเห็นขนาดนั้นคือไม่ใช่เราแต่เป็นท่าที่ที่กำลังเห็น อย่างงี้จริงๆ ขนาดนั้นพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังอีก เองค่ะไม่เห็น พูดถึงสีที่มีจริงที่กำลังเผ็ดแต่ขณะนั้นกำลังเข้าใจเห็นหรือว่าเพียงได้ยินคำว่าเห็นรู้ว่าหมายความถึงอะไรแล้วก็กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็นใครอยากเอ่ยเข้ามาอีกที่จะไม่คิดถึงเรื่องอื่นนะคะ พูดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ แต่ว่าเข้าถึงความเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เราเรียก เพียงแต่หุ้นให้ฟังว่าขณะนี้กำลังนี้เห็น และโปรเจเห็นไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น แต่ก็ยังไม่มีความเข้าใจจริงความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราที่จะ เพราะฉันก็พูดต่อไปอีกใช่ไหมคะเห็นขนาดนี้มีเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่แยก เอ็งเห็น อยู่ที่ไหนคะคำว่าเพลงเห็น กำลังเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นเพียงได้ยินว่าเพียงเห็น นี่ก็เป็นความแปลก กราบท่านอาจารย์ค่ะ ที่ท่านจารเก่าตรงนี้เห็นมีไม่ใช่คลิปตรงนี้ยากมาก ถูกต้องค่ะเห็นไม่ใช่คิดแล้วก็อยากมากที่จะรู้ว่าเห็นเพลงเห็น อาจารย์ครับจริงๆ เนี่ยต้องไม่ลืมว่าคือจิตเนี่ย ยังไงคะ ก็เป็นธาตุรู้ไงคะที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันเนี่ยคือเห็นบ้างดีบ้างคิดบ้างคือสภาพรู้ทั้งหมดเมื่อไหร่ที่สภาพรู้ไหม สายยังไม่ตายก็ต้องมีสภาพรู้ด้วยค่ะเกิดขึ้นเห็นบ้างได้ยินบ้างคิดบ้างสุขบ้างทุกข์บ้าง นี่คือ๗ เดี๋ยวนี้ค่ะสิ่งที่มีชั่วคราว เพลงเห็นหน้าก็โหมดได้ยิน และเกาะโหมดคลิปแรกก็หมดทุกอย่างชั่วคราวเพราะฉันจะมีเราได้ยังไงนอกจากมีปัจจัยของสภาพธรรมะได้เกิดสภาพธรรมะนั้นก็ไม่เกิด เกิดแล้วก็ต้องดับ เพราะฉะนั้นการฟังที่ยังไม่มากพอที่จะรู้ว่า เมื่อฟังเรื่องเห็นหรือได้ยิน ก็น้อมรู้ว่าใส่ใจไปถึงเห็น และได้ยิน แล้วแต่ค่ะไม่ต้องนอนไม่ต้องคำนึงถึง ทั้งหมดเป็นธรรมะ กว่าจะเข้าใจจริงๆ นะคะ จนไม่เหลือความเป็นเราก็ต้องมั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นลองพาเกิดแล้วเป็นราวไม่ได้เป็นธรรมะความไม่รู้เกิดแล้วก็เป็นเราไม่รู้เราฟังแล้วเราก็ไม่เข้าใจฟังแล้วเราก็เข้าใจเล็กน้อยนิดเดียว และก็ไม่เข้าใจอีกทั้งหมดเป็นเรา แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าถ้ามีความเข้าใจอย่างมั่นคงนะคะ ว่าเป็นธรรมะจะไม่เดือดร้อนเลยทั้งสิ้นเพราะไม่มีใครแต่มีสิ่งที่ต้องเกิดเมื่อมีปัจจัยที่ทำให้เกิดก็ต้องเกิดเกิดแล้วก็ดับไป แม้แต่ประโยคสั้นๆ นะคะ แต่ว่าถ้าไตร่ตรองแล้วก็มีความเข้าใจที่มั่นค ก็จะเห็นความไม่มีสาระของสิ่งที่เพียง กด และม ในความไม่รู้ก็ทำให้ติดคลองมากมาย เห็นหมีนะคะ เราเห็นเกิดขึ้น และสามารถจะเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่คือความจริง ผู้ใส่เป็นผู้ที่ไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ความไม่รู้มีมอบให้ฉันฟังแล้วก็ไม่รู้ฟังแล้วก็เลยฟังแล้วพยายามน้อมไปฟังแล้วก็ไปทำอะไรอีกหลายๆ อย่างด้วยความไม่รู้ ประชาชนแสดงให้เห็นว่าความไม่รู้เนี่ยมาก เพราะฉะนั้นยอมรับในความไม่รู้นะคะ ว่าอีกมากมายมหาศาลเพราะฉันฟังเนี้ยเริ่มเข้าใจเท่านั้นเองอันนี้ก็จะเป็นผู้ตรงไม่เดือดร้อนว่าขณะนี้แม้จะกล่าวว่าเห็น ในปัจจัยก็จริง จริงๆ เห็นเพลงสิ่งที่แฟนกฎเหตุใดก็จริงแต่ปัญญาน้อยมาเพราะว่าความไม่รู้ และสะสมมานาน ประจินต์ความเป็นจริง และเข้าใจไม่ใช่เธอ สั่งนิรโทษฯใจแต่ก็ยังไม่ใช่การแหละที่เริ่มรู้ในความเป็นธรรมะคือไม่ใช่เรามั้ยแต่สิ่งที่ปรากฏนะคะ ก็จะไม่ใช่คนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้เลย เป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็น ไม่เหลืออีกแล้วค่อยๆ ไปถึงความจริงถึงที่สุดว่าสิ่งที่หนูมือในถนน ชั่วคราวเก่งเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นฟังเพื่อให้รู้ความจริงเดี๋ยวนี้มั่นคงเข้มซึ่งไม่ถึงจะได้ยินได้ฟังสักเท่าไรก็ไม่สามารถที่จะไป รายการที่จำได้ว่า เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยังไม่ได้เกิดจากทั้งๆ ที่ความจริงนะคะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจความจริงกับการฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงแล้วเข้าใจขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะคลายความไม่รู้ต้องคิดถึงความไม่รู้ว่าเมมาก เอาออกไปทีเดียวทั้งหมดไม่ได้ที่จะให้เห็นถูกต้องทันทีว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เกิดระดับแปลงความจริงนะคะ ผู้ที่ได้รู้ความจริงในเมมากตั้งแต่บุคคลแรกคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้ แต่ว่าหลายๆ ชาติไปแล้ว มีความเข้าใจที่ค่อยๆ สะสม มันคงว่าชนะนี่เป็นผิวสีที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งอื่นด้วยไม่ให้เกิดเสียงก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินได้แม้แต่แขกก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่ามีแขก แม้แต่รถก็เปลี่ยนแปลงกฎให้รู้ว่ารถเมล์ปรากฏเมื่อมีแพทย์ที่กำลังเล่น ซึ่งขณะที่ไม่ได้ฟังอย่างนี้นะคะ จะเป็นราวรับประทานอาหารชนิดต่างๆ มีรถต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าไม่มีชาติที่รู้สิ่งใดก็ปรากฏไม่ได้เลย และถ้ารู้จะเกิดเองไม่ได้ทุกอย่างที่จะเกิดต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่าง เพราะฉันไม่รู้จะเป็นกุศลไม่ว่าจะเป็นอกุศลไม่ว่าจะเป็นความสุขไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดtอันนี้ที่เกิด ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแต่เพราะไม่รู้ความจริงมันนานลืมข้อนี้ไม่ได้เลยค่ะไม่ใช่ว่าฟังแล้วจะไปเข้าใจทันทีรู้ทันทีขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แต่ก็ยังมีรูปร่างสัณฐาน และจะกล่าวว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้หรือเพียงแต่เริ่มเข้าใจว่าเห็น ไม่ใช่ขณะที่กำลังนึกถึงรูปร่างสัณฐานต่างๆ ไม่ใช่ขณะที่จำก็เห็นไม่ใช่จะเห็นเพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสูญสิ้นนั้นที่กำลังปรากฏก็ไม่ใช่เสียงอื่นเป็นเสียงนั้นที่ปรากฏว่ามีเมื่อจิตนั้นเกิดขึ้นได้วินเสียงนั้นแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลยนี่คือการเวียนฝั่งที่จะค่อยๆ เข้าใจความไม่รู้ที่เคยดีไม่ไปมหาศาลนะคะ ในแสงโกรธกับ แล้วก็ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะมีความเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นก็เมื่อไหร่ที่ ความเห็นผิดเกิดขึ้นแล้วปัญญาไวมากแม่ความเห็นผิดนั้นก็ไม่ใช่ กำลังเห็นว่าเป็นคนหนึ่งคนใดยึดถือว่าเที่ยง ขณะนั้นถ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์ว่าแท้ที่จริงไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงที่เคยจำไว้แต่เป็นสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็หมด ฟังธรรมะเคเพื่อเข้าใจอย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อยค่ะ ท่านอาจารย์ค่ะแล้วส่วนละเอียดของธรรมะเนี่ยค่ะ ที่ลึกลงไปกว่านั้น แม่เรายังไม่เข้าใจเห็นว่ามีจริงๆ เห็นมีจริงหรือไม่มีมีจริงกาแฟไม่เข้าใจความเป็นจริงของเธอ ไม่ใช่เห็นมึงนี่แสดงให้เห็นว่าวิชา พูดเสร็จคำว่าไม่รู้แต่ จากเป็นปัจจัยที่เกิดสรรหาแล้วแต่เรื่องในทางที่ดีในสั่งแต่ไม่เอาวิชาก็ไม่รู้ว่ามี เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังถูกต้องจนประจักษ์แจ้งนะคะ ก็ต้องอาศัยการรู้ขึ้นจนกระทั่งความไม่รู้ด้วยค่ะค่อยๆ ลดน้อยลงไป แต่ละวันเนี่ยแต่ละคณะเนี่ย เพิ่มขึ้นหรือว่าน้อยลง กำลังเข้าฝักอีกหรือว่ากำลังรื้ออีกข้อความในอัฏฐสาลินีนะคะ คือฟังสิ่งที่ยากแล้วเราไม่เข้าใจ ทำยังไงยังไงก็ไม่เข้าใจค่ะค่อยเปลี่ยน ยังเหลืองมากวีโอ๘มากเพราะว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วก็จะไปเข้าใจมากได้ยังไงคะแต่เริ่มต้นด้วยคำว่ามากคืออะไรเข้าใจไหม แล้วจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก่อนอื่นนะคะ มันคืออะไรถ้าไม่รู้ไม่มีทางค่ะแล้วก็ยังคิดว่ายากอยู่นั่นแหละเพราะว่าไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ถ้าเริ่มรู้ว่าคืออะไรนะคะ แล้วค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นจะไม่ยากอย่างที่คิดว่ามีจริงๆ เรื่องวิปัสสนาวิปัสสนาคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็ต้องแยกแน่ค่ะแต่ถ้าวิปัสสนาไม่รู้ว่าคืออะไรไม่มีทางที่จะเข้าใจวิปัสสนาได้แต่ถ้ารู้ว่าวิปัสสนาคืออะไรลืมเข้าใจวิปัสสนา เข้าใจนะคะ แต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นลิขสิทธิ์ คือในความคิดก็มีความรู้สึกว่าแม้เพียงเห็นกับได้ยินเนี่ยยังไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพจริงๆ ของธรรมะได้นั้นคืออวิชา แล้วไม่เข้าใจคือวิชาแล้วในสิ่งที่ยากกว่านั้น หรือกูไม่เข้าใจกี่ครั้งกี่หนที่ฟังก็ยังไม่เข้าใจ และมีสิ่งที่เป็นจริงในขณะ คือพอมาฟังก็เข้าใจนะขนาด คือพอฟังได้ยินก็เข้าใจยังปัจจัยก็เข้าใจในขณะนั้นปัจจัยคืออะไร ปัจจัยคือ ตอบไม่ได้อย่างเงี้ยค่ะ เพราะฉะนั้นก็คืออวิชชาไม่รู้ไงคะแสดงให้เห็นว่าไม่รู้มากมากๆ ยังไปต้องคิดว่าจะไปเข้าใจโน้นเข้าใจที่ว่ายากแต่เริ่มเข้าใจทีละเล็กที่ละน้อยสามารถเข้าใจได้ แต่ต้องไตร่ตรองต้องละเอียด มีอย่างงั้นจะไม่มีคำว่าธัมมะวิจะยะ เธอจะตอบท่านอาจารย์ก็คือเปิดตำราไม่ใช่ค่ะ ตำรามีอะไรในตำรา ก็มีคำอธิบายว่าปัจจัยคืออะไร และนั่นเลยถ้าปัจจัย ไม่ใช่ค่ะเพราะฉันก็ต้องรู้ค่ะ ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เองตามลำพังหรือเปล่าไม่ใช่ไม่ใช่เริ่มเข้าใจคำว่าปัจจัยแล้วใช่ไหมคะ ถ้าไม่มีตาเห็นขณะนี้เกิดไม่ได้ เพราะฉันเห็นขณะนี้ต้องอาศัยตา กล่าวได้ไหมว่าตานั่นแหละเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะถ้าไม่มีตาเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเข้าใจปัจจัยแล้วสภาพธรรมะที่อาศัยสนับสนุนเกื้อกูลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น และดำรงอยู่ จะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้เลยไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็นไม่รู้จักเห็นไม่รู้เห็นเกิดจากปัจจัยอะไรแต่ว่าพอรู้ว่าเห็นเนี่ยเกิดเองไม่ได้ แต่ถ้ามีสีที่อาศัยเป็นปัจจัยสนับสนุนเกื้อกูลให้เห็นเกิดขึ้น ทุกคนรู้ค่ะถ้าไม่มีตาเห็นไม่เกิด เพราะฉะนั้นแค่นี้ก็รู้ว่าเห็นเป็นปัจจัยแน่ๆ หนึ่งที่ทำให้เห็นขณะนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เฉพาะตาต้องมีปัจจัยอื่นอีกเพราะฉันเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าปัจจัย และก็รู้ด้วยว่าปัจจัยคือสิ่งที่มีจริงๆ ท่านอาจารย์ค่ะพอขณะฟังแล้วก็มีความเข้าใจพอเดินออกจากห้องไปก็ลืมทันทีวิชาอยู่ในเกาะอยู่ตรงลืมเอาไปทิ้งหมดเลยได้มั้ยค่ะมากมายมหาศาลที่มีอยู่ในจิต ยืนจิตอวิชชานุสัย วิชาความไม่รู้ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งดับไปนะคะ สะสมอยู่ในจิตโดยฐานะความเป็นอนุสัยกิเลส นี่เป็นพืชเชื้อให้กิเลสที่เกิดแล้วดับไปด้วยไหมคะสามารถจะเป็นปัจจัยเป็นเชื้อให้ กิเลสนั้นเกิดขึ้นอีกได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถดับอนุสัยทิต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้องเพราะว่ากิเลสทั้งหลายด้วยการเกิดจากอวิชา ถ้าไม่มีอวิชาไม่มีกิเลส แต่เพราะมีความไม่รู้จึงมีกิเลส เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ นี่รู้ว่าวิชามากจะค่อยๆ ละคลายหมดไปได้ก็เช่นกันผู้ชายสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ที่ระลึก จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งนะคะ ตอนนี้ก็จะได้ยินคำว่าวิปัสสนา และก้อนนั้นก็จะได้ยินสติปัฎฐานก่อน ก็คือสภาพธรรมนั้นๆ ตามลำดับถ้าขณะนี้ไม่มีสติปัฎฐานแต่มีการเข้าใจเพราะมีสติขั้นเข้าใจยังไม่ใช่สติแบบไทย แต่ทั้งหมดที่มีจริงๆ นะคะ เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ครับอาจารย์ธีรวัฒน์ครับเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงขณะนี้กำลัง กอีกหรืออีกในความเป็นจริงของพม่าเป็นเช่นนั้นครับ ขณะที่เกมรับอีกนะคะ ก็ขณะที่เป็นไปกับอกุศลทั้งหลายนะคะ เราก็ไม่รู้ความจริงก็คือปูนความไม่รู้พ่อคูณอักษรธรรมเราก็ยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีชาติพบสืบต่อไปข้างหน้านะครับ มากมายก็อีกก็เหมือนกับการเขียนไทยวัดตะหรือว่าการก่อฉาบมก เพราะฉะนั้นเนี่ยนะคะ ขณะนี้เรา เป็นอกุศลมากน้อยแค่ไหนนะคะ ที่จะเป็นปัจจัยสะสมขนาดนั้นก็คือเนี่ยกำลังพ่อคูณนะคะ ก็ยังถือว่าเพิ่มวัดตัขึ้น แล้วครูสอนที่จะรักบ้าหรือว่าทำลายอีกได้ก็ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาในราคาหรือมีกำลังที่จะ เป็นปัจจัยให้ กตะนั่นเอง จริงๆ หน้าก็คือการฟังธรรมะที่ค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นไปนะคะ หรือปอดความไม่เข้าใจหรือว่าอกุศล และธรรมทั้งหลายนะคะ ค่อยๆ ที่จะลดละไปเรื่อยเรื่อย ก็เอาเป็นว่าค่อยๆ รู้จักสภาพธรรมะตามความเป็นจริงว่าอกุศลเป็นยังไงนะคะ ขนาดนั้นกุศลธรรมก็เจริญขึ้นด้วยความเข้าใจจนกว่าการจะรู้ลักษณะสภาพธรรมะตามความเป็นจริง อาจารย์แต่รู้สึกว่าเวลาที่กล่าวถึงเรื่องของวิปัสสนาญาณหรือว่ามรรคผลนะคะ ก็เป็นเรื่องที่ไกลแต่ เราควรจะเข้าใจไหมคะถ้าจารย์ว่ามีลักษณะอย่างไรยังไง ค่ะได้ยินคำอะไรนะคะ เข้าใจคำนั้นเดย์นะคะ หรือว่าได้ยินแล้วก็ไม่รู้ไม่มีคำอธิบายที่จะทำให้เราเข้าใจได้แต่ได้ยินคำไหนเนี่ยสามารถที่จะสอบถามสนทนา และก็เข้าใจคำนั้นดีกว่าที่จะผ่านไปเลยเพราะวิปัสสนาแท้จริงก็คือปัญญาแต่ว่าเป็นปัญญาระดับไหน ขณะนี้นะคะ มีสิ่งที่กำลังปรากฏอวิชาไม่รู้เลย ว่าเป็นสิ่งที่เพียงเกิดแล้วก็ดับไป แปลว่าปัญญาจากการฟัง เริ่มเข้าใจถูกว่าขณะนี้สิ่งที่มีแนะถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควรที่จะเกิดขึ้นเกิดขึ้น แม่ได้ยินเพียงได้ยินเลยค่ะถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควรคือไม่มี เราใช้คำว่าหูนะคะ คือโสตประสาทรูปรูปที่สามารถกระทบเสียง คิดดูเ๔ยงเป็นเ๔ยงแต่ก็มีรูปที่สามารถกระทบเฉพาะเสียงเป็นธรรมะซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเพียงได้ยินได้ฟังแล้วก็เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย นี่คือปัญหา จะบอกว่าไม่เข้าใจไม่รู้เป็นเราไป ได้ยินคำว่าอนัตตาเลยกลับได้ยินคำว่าอนัตตา และไม่ใช่เพียงได้ยินเฉยๆ ค่ะต้องรู้ว่าอนัตตาคือไม่ใช่อัตตาไม่ใช่สิ่งที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามที่เข้าใจกันว่าเป็นเพราะเป็นคนเป็นดอกไม้แต่ว่าแต่ละหนึ่งเป็นอัลอัสซาดที่เฉพาะสิ่งนั้น จะเป็นสีอื่นไม่ได้เช่นกลิ่นนะคะ เราจะเรียกว่ากลิ่นดอกไม้กลิ่นอาหารหรือกลิ่นอะไรก็แล้วแต่แต่กลิ่นเป็นกลิ่นจะเป็นอื่นไม่ได้เลยแข็งเป็นแข็งเสียงเป็นเสียงได้ยินเป็นได้ยิน เพราะฉะนั้นในเป็นราวสักอย่างนึงก็ไม่มีนะคะ เพื่อให้ความจริงก็เป็นเพลงธรรมะ แฟนละหนึ่งซึ่งหลาก เข้าใจอย่างนี้อ่ะค่ะภาษาไทยภาษาบาลีก็ใช้คำว่า ปัญญาได้ใช้คำว่าเทพจิ สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกได้นะคะ แต่เพราะเหตุว่าปัญญามีหลายระดับที่จะให้รู้ว่าหมายความถึงปัญญาระดับไหล่ก็ต้องมีคำที่แสดงความต่างเช่นสุตตะปัญญาปัญญาสำเร็จจัดการ ไม่ใช่แค่ได้ยิน สำเร็จจัดการฟังข่าวจ่ายสิ่งที่กำลังฟังเพราะฉันจะเปลี่ยนปัญญานั้นให้เป็นระดับเอสไม่ได้จะเป็นความไม่รู้ไม่ได้เพราะว่าเป็นการที่ได้ยินได้ฟัง และสามารถเข้าใจเพราะเชิญจากเข้าใจ และก็จะมีปัญญาที่เจริญขึ้นเพิ่ม จากการฟังละเอียดขึ้นเข้าใจขึ้นนะคะ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะที่เพียงได้ยินเรื่องของสภาพธรรมะนั่นแหละสภาพธรรมะนั้นเกิดระดับนี้คือได้ยินแต่เวลาที่สภาพธรรมะเกิดระดับจริงๆ อวิชารู้ไม่ได้ แต่ปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งได้สืบเนื่องมาจากปัญญาขั้นฟังปัญญาขั้นไตร่ตรองปัญญาขั้นที่สติสัมปชัญญะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพ ขณะที่สภาพธรรมะนั้นปรากฏไม่ใช่เพียงคิดเรื่องเห็นขณะที่เห็นขณะนี้ก็เกิดดับไปเรื่อยๆ นั้นแค่คิดนะคะ แต่ว่าขณะใดที่สามารถไม่มีสิ่งอื่นแต่มีเห็นให้เข้าใจไม่ใช่ต้องคิดแต่เห็นขนาดนั้นนะคะ เมย์ลักษณะของเห็นซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เราไม่ค่ะเป็นสภาพธรรมะที่ที่เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น และก็มีสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่เห็นเมื่อสภาพธรรมะสองอย่างนี้ปรากฏต่าง ทำให้ปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งความจริงว่าที่ได้ฟังมา และเป็นความจริงสามารถพิสูจน์ได้สามารถถึงความจริงนั้นได้ เพราะฉะนั้นปัญญาระดับนั้นก็เป็นวิปัสสนา เพราะฉะนั้นได้ยินคำไหนต้องเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ และต้องรู้ด้วยว่า ขั้นฟัง และไม่ใช่วิปัสสนา แต่เป็นปัญญาซึ่งอาศัยการฟังเกิดขึ้น จึงสามารถที่จะเริ่มเข้าใจถูกต้องเพียงรู้ และเข้าใจถูกต้องไหมตั้งแต่ยังไม่ใช่การประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมะซึ่งขณะนี้เป็น ไม่ใช่ปัญญาที่อบรมแล้วในการสามารถจะเข้าใจ ได้ก็ได้ขนาดนี้ที่กำลังเกิดแบบแต่ไม่ใช่เรานะคะ เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง และก็อบรมจนกระทั่งละคลายความไม่รู้ซึ่งมีมากจนกระทั่งความไม่รู้นั้นน้อยลงน้อยลงนะคะ จนกระทั่งปัญญาสามารถที่จะมีกำลัง แม้วิชาหรือติความเห็นผิดหรือสภาพธรรมะใดๆ ทั้งสิ้นที่กำลังมีในขณะนี้โดยไม่ต้องเรียกชื่อเลยแต่ว่าคุ้นหูกับชื่อที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนไม่ว่าจะเป็นวิจิกิจฉาความสงสัย เกิดแล้วขณะนั้นมีลักษณะใหญ่นั้นไม่ใช่ แต่ไม่ใช่ ติดตามเรียกชื่อว่ามีวิจิตรกิจฉาหรือสงสัยว่ามีวิจิกิจฉาหรือเปล่านี่คะก็คือการที่ปัญญาต้องรู้ตามที่ได้ฟังตามที่ได้พิจารณาแล้วว่าเป็นความจริง ขณะนี้ใครไม่รู้ว่าสภาพธรรมะเกิด จากขั้นการฟัง จริงใช่ไหมคะ สามารถประจักษ์แจ้งได้ ด้วยปัญญาที่อบรม แต่ไม่ใช่ด้วยความเพียงแค่ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    30 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ