พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 866


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๖๖

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ขณะนี้มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะนี้มีเสียงปรากฏแล้วมีท่าทีกำลังได้ยินเสียงที่ภาษาไทยเราใช้ทำให้ได้ยิน และเราไม่รู้ ที่ได้ยิน และต้องเป็น ไม่ใช่เราแน่นอนอยู่ดีๆ จะมีเราแล้วจะมีได้ยินเกิดขึ้นได้อย่างไรแต่ว่าที่ได้ยินไม๊กำลังมีได้ยินกำลังมีเสียงกำลังมี เพราะฉะนั้นในขณะที่เสียงปรากฏป๊ามี่ได้ยินซึ่งได้ยินนะคะ ก็คือธรรมะคือสิ่งที่มีจริงชนิดนึงนะคะ ซึ่งไม่ใช่คิดไม่ใช่เห็น แต่กำลังรูเซียนเฉพาะเสียงที่ปรากฏขณะ มีเสียงแฟกตไหมคะ เข้าใจได้เลยใช่ไหมคะว่ามีได้ยิน และได้ยินเนี่ยก็คือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งเกิดได้ยิน นี่คือการฟังสิ่งที่มีจริงค่ะที่จะใช้คำว่าจะศึกษาธรรมะ จริงๆ ยาก และลึกซึ้งที่จะเข้าใจความจริง กำลังศึกษาซิงขึ้นในจริงให้ละเอียดขึ้น เพราะขณะนี้ค่ะเมธาที่สามารถจำเลยได้ยินเสียง เราหายไปหรือยังคะ อย่างเพียงแต่เริ่มรู้ว่าแท้ที่จริงในขณะที่ได้ยินเนี่ยไม่ใช่เราแต่เป็นสิ่งหนึ่งซินสามารถเกิดขึ้นได้ยินเสียง ยากจริงๆ ค่ะแม้แต่จะพูดถึงสิ่งที่มีจริงนะคะ ก็ให้รู้ว่าเริ่มจากการที่รู้ว่าไม่มีเราแต่มีสิ่งที่มีจริงสิ่งที่มีจริงที่เป็นได้ยินกำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ทำไมต้องคิดต้องไตร่ตรองนะคะ ได้ยินขนาดนี้เกิดขึ้นได้ยินเป็นสภาพที่เกิดขึ้นทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้นนอกจากเกิดขึ้นแล้วได้ยินเท่า เดี๋ยวนี้จีคนหนึ่งได้ยิน และเป็นทาสที่เกิดขึ้นแล้วได้ยินเท่านั้น ไม่ใช่เห็นไม่ใช่คิด ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ก่อนไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะเลย ไม่มีทางที่รู้จักธรรมะเลยค่ะเพราะแม้แต่เริ่มต้นก็เป็นสิ่งซึ่งเราไม่คิดว่าศึกษาธรรมะก็คือสองเรื่องสิ่งที่มีจริงค่ะ เพิ่งเข้าใจขึ้น เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแค่นี้ค่ะเริ่ม เริ่มต้นฟังในสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันนะครับ ธรรมะไม่พ้นจากชีวิตประจำวันเลยนะครับ ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดนะครับ ก็เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายเป็นต้นครับอาจารย์ครับก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดอาศัยชื่อก็คือเป็นธรรมะแต่ว่าแม้จะไม่ใส่ชื่อความเป็นจริงของธรรมะก็ไม่เคยเปลี่ยนเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น สถานีดูแลนะคะ เห็นมีจริงได้ยินมีจริงเห็นแล้วชอบสิ่งที่เห็นไหมคะ เห็นแล้วไม่ชอบสิ่งที่ปรากฏบ้าง มีจริงอีกแล้ว ชอบก็มีจริงไม่ชอบก็มีจริงไม่ใช่มีแต่เห็นเห็นเป็นเห็นไม่ใช่ชอบ เห็นเป็นเห็นไม่ใช่ไม่ชอบ และชอบก็ไม่ใช่ไม่ชอบด้วยแต่ชอบก็มีจริงไม่ชอบก็ไม่จริงเพราะฉันชอบไม่ชอบไม่ใช่เห็นแล้วก็ชอบไม่ชอบก็ไม่ใช่ได้ยินนะคะ แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วจึงชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่ปรากฏแม้ในขณะนี้เองค่ะ เพราะฉะนั้นให้เห็นความหลากหลายของสิ่งที่มีจริง และเห็นไม่ใช่ชอบ และเห็นก็ไม่ใช่ไม่ชอบเห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือว่านะคะ บางครั้งเห็นแล้วชอบแต่เห็นเป็นเห็นบางครั้งเห็นแล้วไม่ชอบเพราะฉันชอบ และไม่ชอบเนี่ยต้องไม่ใช่เห็น ชอบไม่ชอบก็คือสภาพธรรมะที่มีจริงๆ นะคะ ซึ่งเกิดกับจิต ถ้าจิตไม่เกิดธาตุรู้ไม่เกิดจะชอบอะไรได้ค่ะ เพราะฉะนั้นที่จะใช้คำว่าจิตเนี่ยไม่ใช่รีบร้อนที่จะพูดเรื่องจิตว่าเป็นจิตหรือเจตสิกเป็นเจตสิกนะคะ แต่ชีวิตประจำวันไม่ต้องเรียกชื่อเลยค่ะมีเห็น และก็หลังจากเห็นแล้วก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง รับประทานอาหารนะคะ มีรถต่างๆ และก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้างอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างทั้งหมดเป็นธรรมะซึ่งหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นธรรมะประเภทที่เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้นะคะ ไม่เหมือนกับสิ่งที่ไม่รู้อะไรเนี่ยก็มีสองอย่างไม่ใช่ยา คืออย่างหนึ่ง สิ่งที่กำลังปรากฏรู้ลักษณะรู้แจ้ง เพียงเกิดขึ้นนะคะ ยังได้ยินขนาดนี้ค่ะเสียงเป็นยังไงไม่สงสัยเลยเพราะเหตุว่าขณะนั้นกำลังได้ยินเสียงนั้นไม่ใช่สิ่งอื่น เพราะฉะนั้นเวลาเห็นอะไรก็ตามนะคะ ไม่สงสัยว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นยังไงเฮ้ยว่ากำลังเห็นสิ่งนั้นชัดเจนด้วยเหตุนี้สภาพที่เห็นสภาพที่ได้ยินคือสภาพที่กำลังรู้แจ้ง ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏลักษณะนั้นเป็นจิตเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น ชนะเห็นเดี๋ยวนี้นะคะ เป็นจิตไม่ใช่เราไม่ใช่อย่างอื่น แต่เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ นอกจากนั้นแล้วนะคะ สภาพรู้อื่นๆ เป็นเจตสิกทั้งหมดไม่แยกใช่ไหมคะ ขณะใดก็ตามที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปราบ มีท่าทีรู้แจ้งลักษณะของสิ่งนั้นเฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้นนั่นคือจิตแต่ลักษณะอื่นทั้งหมดนะคะ ความขยันความง่วงนอนด้วยอะไรในชีวิตประจำวันที่ เป็นเจตสิกเป็นสภาพธรรมะที่เกิดกับจิตโดยจิตเกิดขึ้นแล้วรู้แจ้งลักษณะที่ปรากฏเท่านั้นแต่ว่าเจตสิกทั้งหลายในชีวิตประจำวันจิตแต่ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เทคนิคที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ครับท่านอาจารย์ก็กำลังกล่าวถึงสภาพสมาธิเป็นเจตสิกในชีวิตประจำวันนะครับ โดยไม่ได้เรียงตามตัวนะครับ แต่มุ่งให้เข้าใจสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ อาจารย์ยกตัวอย่างในเรื่องของความชอบหรือไม่ชอบเป็นธรรมะที่มีจริงๆ ครับ เมื่อวานถ้าใครได้ฟังการสนทนาพระสูตรก็จะมีข้อความหนึ่งที่ได้ฟังจากท่านอาจารย์นะครับ ว่าโพะเกิดเหตุสลดชอบนู่นชอบนี่โทสะเกิดก็โกรธนู้นโกรธนี้น่ะครับ และขณะที่อกุศลเกิดก็จะมีอวิชาตามมาด้วยนะครับ อันนี้ก็เป็นการกล่าวถึงสภาพ๓นาที มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ ทั้งหมดเป็นธรรมะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่มีเราเลยนะครับ มีแต่ธรรมะเท่านั้นครับ ก็ขออนุญาตกราบเรียนท่านอาจารย์อีกต่อไปครับท่านอาจารย์ครับเพราะว่าจริงๆ แล้วในการฟังในการศึกษาพระธรรมนี่ก็ส่วนใหญ่ก็จะไม่พ้นไปจากการมีชื่อมีคำขึ้นมาครับท่านอาจารย์ครับแล้วศึกษาธรรมะที่จะไม่เป็นการเพลิดเพลินไปกับชื่อไปกับเรื่องราว จะเป็นในลักษณะอย่างไรครับ ค่ะเพราะเหตุไรกำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง โดยไม่มีชื่อ แต่ว่าใช้ชื่อเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งไหนที่มีจริงๆ เพราะว่าสิ่งที่มีจริง และหลากหลายมากยังโกรธเนี่ยไม่ได้หมายความถึงเห็น จำเป็นต้องใช้ชื่อให้รู้ว่าคำนี้หมายถึงลักษณะใด ถ้าพูดถึงเห็นก็ไม่ใช่ขยัน ใช่ค่ะเห็น ค่ะเพราะฉันใช้ชื่อเพื่อให้รู้ว่าในชีวิตประจำวันจริงๆ อะไรบ้างมีจริงๆ และสิ่งที่มีจริง และก็เป็นธาตุรู้นะคะ ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าซึ่งไม่เห็นไม่ได้ยินไม่คิดหนักเลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะที่รู้ ก็มีสองอย่างคือจิต และเจตสิกอันนี้ใช้คำบางทีก็รวบรัดนะคะ บางทีก็พูดถึงเรื่องอื่นให้เข้าใจจริงๆ และที่ชัยจิตรได้ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้นะคะ ว่าจิตเนี่ยคือกำลังเห็นจริงๆ ภาพที่เห็นเท่านั้นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และรู้แจ้งในลักษณะของสิ่งที่เห็ ภาพนั้นคือที่เราใช้คำว่ามโนมัน ก็ได้นะครับ แต่หมายความถึงแพทย์ที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏเพราะมีท่าทีกำลังรู้สิ่งนั้นสิ่งนั้นจริง เสียงกำลังปรากฏเพราะมีท่าทีกำลังรู้เฉพาะเสียงนั้นที่กำลัง ไม่ใช่สีอื่นเท่านั้นวันนึงวันนึงนะคะ อะไรปรากฏ มากมายแต่มีใครรู้บ้างว่าอะไรที่ทำให้สิ่งนั้นปรากฏถ้าไม่มีจิตอะไรก็ปรากฏไม่ได้เลยแต่ที่ทุกอย่างปรากฏลื้มจิตซึ่งเป็นธาตุที่กำลังรู้เฉพาะแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ นะคะ มีโลกภายนอก กับโลกภายในโลกภายนอกกำลังเป็นคนเป็นโต๊ะเป็น๙อี้นะคะ โลกภายในคือจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็สภาพธรรมะที่จำก็มีจริงๆ วิจารณ์ก็จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นขึ้น หนึ่งวันหนึ่ง เนียนละเอียดยิบไม่มีใครมองเห็นเลยนะคะ เห็นแต่สิ่งที่เป็นผล ผลงานก็ได้คนผลิตก็ได้นะคะ ของจิต และเจตสิกแล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏได้ว่าถ้าจิตไม่เคยขึ้นเห็นสิ่งที่ยังปรากฏขณะนี้ไม่มีไม่ปรากฏว่ามีเพราะจิตเห็นไม่ได้เกิดขึ้น ขณะนี้นะคะ ถ้าเสียงไม่ปรากฏก็แสดงว่าจิตไม่ได้ยินเสียงนั้นจึงไม่ได้ปรากฏแต่ขณะใดที่เสียงปรากฏนะคะ โลกภายนอกเพราะจิตเป็นภาพที่กำลังได้ยินเฉพาะเสียง นี่คือธรรมะเป็นธรรมะคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งฟังแล้วก็จะเข้าใจได้ว่าไม่ใช่เราแน่นอนเพราะจิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้น และดับไปเป็นอะไรค่ะเป็นเราเลยค่ะ ไม่กลับมาอีกเลยกลับไม่ได้ค่ะจะย้อนกลับไปสักหนึ่งคณะก็ไม่ได้จะย้อนกลับไปถึงชาติก่อนก็ไม่ได้พระเอกว่าแต่ละหนึ่งขณะนี้คาดเกิดจริงดับ และก็ไม่กลับไปอีก นี่คือความจริงของชีวิตนะคะ ไม่ใช่เพียงแค่เกิดมาแล้วก็ตายแต่ว่าแม้เกิดมายังไม่ตายสภาพธรรมะก็เกิดดับสืบต่อเปลี่ยนแปลงทุกวัน และทุกคณะ เสียงเมื่อกี้นี้ไม่มีแล้วเกิดอีก และหมดไปอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะนี้คือความจริง เพราะฉะนั้นก็จะเริ่มเข้าใจได้นะคะ ก็คือ ที่เราเรียกว่าชีวิตก็เกิด และก็ดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นมา แม่แจ๊คโลกนี้ไปแล้วนะคะ ก็เกิดค่ะ เพราะว่าไม่ใช่เรานะคะ แต่ธาตุนี้เกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตซึ่งเกิดแล้วด้วยค่ะอีกประเภทหนึ่งอีกคณะหนึ่งอีกไม่ใช่ซ้ำกันนะคะ เกิดขึ้น และดับไปสืบต่อ ก็ไม่พ้นจากขนาดนี้เลยนะครับ ทำมาที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ มีธรรมะเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดไม่ขาดสายเลยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสภาพสมาธิเป็นสภาพรู้ธาตุรู้คือจิตกับเจตสิตครับ ค่ะแล้วบางคนก็บอกเฮ้ยทำไมต้องพูดบ่อยๆ ๓ ๘ทุกวันเลยเพื่อให้รู้จักจิตย้ายออกไม่ใช่เพียงแค่ให้ฟังคำว่าเจ็บแต่เพื่อให้รู้จักจิตเร็วนี้ ที่กำลังเห็น ๗เดี๋ยวนี้ที่ได้ยินจิตเดี๋ยวนี้ที่รู้แพงแข็งจึงปรากฏ เวลาแข็งแกร่งกดนะคะ ลืมอีกแล้วว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แข็งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพูดบ่อยๆ เพื่อที่จะให้รู้จักจิบในขณะที่กำลังมีในขณะนี้ไม่เช่นนั้นไม่มีหนทางเลยนะคะ อ่านเรื่องจิตไปตั้งหลายเล่มจบไปละ๗ประเภทต่างๆ แต่ก็ไม่ได้เกิดความเข้าใจว่าขณะนี้ค่ะ เป็นจิตซึ่งกำลังรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏรู้แจ้งลักษณะนั้นทีละหนึ่งเพราะฉันก็มีผู้ที่จำได้รูปร่างสัณฐาน และตวัดเห็นอะไร เราไม่รู้แจ้งในสิ่งที่กำลังกราบกดแต่ว่าไม่ใช่จิตเท่านั้นนะคะ ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพราะจิตไม่จาม จิตไม่ชอบจิตไม่ใช่จิตเกิดขึ้นรู้เท่านั้นเอง จำได้เลยนะคะ เจ็บเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเท่านั้นจริงๆ หมดเป็นเจตสิกที่เกิดพร้อมจิต เดี๋ยวนี้ค่ะ คราวหน้าพูดอีกได้มั้ยคะจนกว่าจะรู้จักจิตซึ่งกำลังเห็นบ้างกำลังได้ยินบ้างกำลังรู้แข็งบางกำลังคิดไหนบ้างไหมขาดจิตเลยตั้งแต่เกิดจนตายตั้งแต่ชาติก่อนนานมาแล้วซะคะจิตเกิด จิตถ้าจะกล่าวถึงโดยละเอียดนะคะ พระผู้มีพระภาคตรัสถึง๓อนุพันธ์ ว่าจิตเรียกแม่เกิดดับยังเร็วสุดที่จะประมาณได้นะคะ แต่ขณะเกิดก็ไม่ใช่ขณะดับ นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ เพราะฉะนั้นขณะเกิดภาษาบาลีใช้คำว่าอุปาทาคะนะคะ นะดับก็เป็นพังค่ะขนาด และระวังที่เกิดกับเสบียงมีคณะซึ่งไม่ใช่เกิดไม่ใช่ดับด้วยนะคะ ขณะนั้นก็เป็นผิดขณะนี้คือหนึ่งขนาดของจิตซึ่งเกิดดับอย่างเร็ว แต่ก็ยังสามารถที่จะกล่าวถึงความต่างกันของขณะเกิดขณะดับ และคณะที่ไม่ใช่เกิดไม่ใช่ดับเพราะทรงแสดงความละเอียดยิ่งว่ารูปซึ่งเกิดเพราะจิตเกิดในขณะ รูปขนาดนี้นะคะ ซึ่งเข้าใจว่า ใช่แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่รู้ได้เข้าใจทั้งหมดเมื่อมีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งนะคะ ก็คือว่าทุกคนอ่านได้ทุกคนฟังได้แต่ทำไมเข้าใจไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน และก็ต่างกัน วันนี้แวะแต่ละคำเนี่ยบางคนไม่พิจารณาผ่านไปเลย จิตเข้าใจแล้วค่ะเป็นธาตุรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูก ในสิ่งที่ถูกก็ภาษาบาลีใช้คำว่าอารมณ์มานะหมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ ซื้อก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการไตร่ตรองพิจารณาแต่ละคำให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นถึงความเป็นสภาพธรรมะซึ่งเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้นเพียงมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉันความที่จะเข้าใจลักษณะของจิต และจะมีมาก และกว้างขวางนะคะ เช่นแสดงโดยความเป็นอายตนะแสดงให้เห็นว่า๗เกิดเองไม่ได้แต่ต้องมีปัจจัย และต้องมีสภาพธรรมะอื่นในขณะที่จิตหนึ่งเกิดขึ้นเช่นจิตเห็น เพราะขณะนี้กำลังเห็นกล่าวถึงเห็นเพื่อที่จะให้ค่อยๆ สะสมความมั่นคง ไอ้เรื่องมั่นคงขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่จะสลัดการยึดถือสภาพเหตุเมื่อเป็นราวเนี่ยยากมากทั้งๆ ที่เห็นอยู่ตลอดเวลาแต่ความรู้ความเข้าใจไม่พอเพราะฉันต้องฟังแล้วฟังอีกนะคะ แล้วก็เข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยไม่ลืม และเข้าใจมั่นคงขึ้น ฉันเห็นขณะนี้เกิด แต่ถ้าไม่มีตาจักขุประสาท ไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ จิตจะเกิดขึ้นเห็นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นตาต้องมียังไม่ดับสิ่งที่กระทบตาได้คือที่กำลังปรากฏขณะนี้นะคะ ต้องยังไม่ดับ จิตที่เกิดขึ้นรู้ พร้อมเจตสิกต้องมีในขณะนั้นที่ยังไม่ได้นี่คือความหมายของอายตนะ เสพต่ออย่างไรคะทันทีที่จะไปก็มีอายตนะใหม่แบบเกิดดับสืบต่อทุกขณะเนี่ยเรื่อยๆ นะคะ ช่วงใจไปเรื่อยๆ สะสมความเห็นถูกไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจความจริง ต์สามารถที่แทงตลอดเมื่อปัญญา และความเข้าใจเพิ่มขึ้นแต่ถ้ายังไม่มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะ ฟังแต่ชื่อจำแต่ชื่อ คิดแตกชื่อนะคะ แต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ และยังไม่ได้เริ่มเข้าใจเลยนั่นก็คือว่ายังไม่ถึงการณ์ที่สามารถจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังกล่าวถึงเวลานี้อยู่ พูดถึงเห็นคิดเลขเองเห็นอยู่ในค่ะ ไม่ได้อยู่ที่เห็นแต่ความเข้าใจไม่ได้อยู่ที่เห็นพูดถึงความสงสัยความสงสัยอยู่ที่ไหน ไม่ดื่ม สงสัยสิวอยู่ที่ที่กำลังสอง น่าจะพูดถึง ไม่ดีรู้จบหมู่ที่กำลังพูดถึง จึงได้ยิน คิดเรื่องอื่น ไม่ได้โดยตรงได้เห็นที่ได้ยินน่าจะรู้จักได้ เนื่องจากคุณหนูดูดีจริงๆ ยิ่งจริงๆ ต์อีกหลงนี้ ต์เห็นผมอยู่ตรงนี้ กินอยู่ต์ อยู่ตรงนี้จะแบ่งไปอยู่เมื่อไหร่จะเป็นกูตอนนี้ต้อง หยุด ซิ้งค์ จิ นี่คือการที่จะ ที่จะถึงจะสังสรรค์แตก ต์เพิ่มขึ้นจึงเก็บที่ทำอยู่คงไม่ออกเลยคะแต่ไม่คนนั้นเข้าใจนะอีกคนเข้าใจ ต์ที่เป็นแบบนี้จริงๆ ในขณะที่อบต จริงๆ ต์ได้ฟังถึงสิ่งที่คุณไม่ได้มีในครรภ์ อยากจะมีอยู่จริงจีนแบบฝั่งนี้ก็เป็นฤดูของจริงสิ่งที่ดีพวกไม่ได้ หนูเป็นเทพที่ใจแล้วนะคะ อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่อื่น ต์แอชหนึ่งนะคะ ไม่ใช่เราทานตัวอยู่ที่หนึ่งแต่ว่าอะไรอยู่ตรง เด็กมันก็ต้องอยู่ตรงเผง ได้ยินก็ตั้งอยู่ตรงได้ยินจะไปอยู่ที่อื่นได้ ฯลฯ ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างยิ่งเลยนะครับ ที่ได้กล่าวถึงความละเอียดลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้นะครับ เพราะว่าเวลาฟังพระธรรมฟังความจริงก็ฟังสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาพระธรรมเนี่ยนะครับ ก็จะไม่พ้นไปจากทางตา ทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย และทางใจเลยนะครับ ไม่พ้น๖ทางนี้เลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะก็ฟังซ้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อประโยชน์ก็คือความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมะว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เราครับ ครับอาจารย์คุณวิไลครับจากที่ได้เริ่มศึกษาพระธรรมก็เข้าใจนะครับ ว่าทำไม่ได้อยู่ในตำราเลยไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มีจริงๆ ในขณะนี้ธรรมาสน์เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งไม่ง่าย และก็ไม้สั่นด้วยเพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตลอด๔๕พรรษาซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมากทีเดียวนะครับ จุดประสงค์ทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงธัมมก็คือเพื่ออุปการะเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจธรรมะนั้นก็คือค่อยๆ รักคลายการยึดถือ สภาพธรรมะว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคลครับก็กราบเรียนอาจารย์คุณวิไลได้ช่วยสนทนาในประเด็นนี้ด้วยครับ ก็อย่างที่อาจารย์คำปั่นได้กล่าวมานะคะ ว่าถ้าธรรมที่ทรงแสดงแสดงความจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเนี่ยก็ไม่พ้นธัมมะที่มีในขณะนี้ สภาพธรรมะทั้งหมดเนี่ยไม่ได้อยู่ในตำราแน่นอน คือชีวิตจริงในขณะนี้ สิ่งที่มีจริง จนกว่าที่เราจะรู้ตามความเป็นจริงได้แต่คันสะสมความเห็นถูกนี้สำคัญมากนะคะ เพราะว่าขั้นฟังเนี่ยก็ถ่ายถอนความเห็นผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็สะสมไป เพื่อความมั่นคงในความเป็นธรรมะเพราะว่าตัวจริงของธรรมะมีแน่นอนแม้แต่แข็งก็มีจริง ทำไมครูถึงแข็งทุกท่านคงไม่คิดถึงแข็งแน่นอนดังนั้นที่แข็งก็มีจริง ที่ใกล้เราเนี่ยก็ต้องมีรูปที่ปรากฏได้ไม่พ้นรูป๓รูปคือธาตุดินอ่อนหรือแข็งถาดไปเย็นหรือร้อนธาตุลมตึงหรือ นี่คือความจริง แล้วแข็งนี่หรือคือเรา ยังเป็นแข็งแข็งทุกตัวก็มีแผนที่รูปภายนอกก็มีเรื่องนี้คือการสะสมความเห็นถูกนั่นเองดังนั้นเราก็ยึดถือธรรมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นเราแต่พระธรรมที่ทรงแสดงจริงถึงที่สุดถ้าจริงถึงที่สุดแล้วจะมีเราตรงไหนก็เป็นธรรมะที่เกิดขึ้นทีละหนึ่ง ครับนี่ก็ยิ่งฟังก็ยิ่งละเอียดนะครับ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงจริงใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีจริงนะครับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    29 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ