พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 865


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๖๕

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    จิตอีกประเภทหนึ่งนะครับ เป็นประเภทใหญ่ๆ นะครับ คือจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารได้เลยในการรู้อารมณ์เรียกว่าวิธีมุตตะจิต หรือบางครั้งนะครับ ก็จะมีคำยาวทีเดียวนะครับ ทวาระวินิมุตตะจิตโดยความหมายก็คือจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารใดๆ เลยในการรู้แจ้งอารมณ์ซึ่งก็มีเพียง๓ประเภทนะครับ ก็คือปฏิสนธิจิตภวังคจิตแล้วก็อยู่จิตเท่านั้นนะครับ กราบแทบอาจารย์ครับก็มีคำเพิ่มเยอะแยะเลยครับพระอาจารย์อย่างเช่นเรื่องของจิตอาศัยทวารหนักทวารคืออะไร มีทั้งจิตที่ไม่อาศัยทวาร ศึกษาทำมาจากตัวหนังสือแล้วนะคะ ตอนนี้ศึกษาจัดตัวจริงจริง เมื่อกี้เราพูดถึงปฏิสนธิจิตเข้าใจแล้วนะคะ ถ้าไม่มีก็จะไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย แล้วก็พูดถึงเพราะหวังค่ะจิตด้วยหมายความว่าเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น โลกนี้ปรากฏหรือเปล่าเก่งขนาดแรกซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีการที่จะเห็นขนาดนั้นได้ไหมถ้าเห็นก็ไม่ใช่ปฏิสนธิจิตแล้วถ้าได้ยินก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นจิตที่ทำกิจ ไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ลิ้มรสไม่คิดเน็ต รูปนี้ไม่ปรากฏพปฏิสนธิจิตดับไป จิตที่เกิดต่อเป็นผลของกรรมเดียวกันทำให้จิตประเภทเดียวกันอีกร์เก็บไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจแต่ทำภวังกฤตโลกนี้ปรากฏไหม ไม่ค่ะจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตเกิดแต่ไม่ได้ทำกิจนั้นแต่เป็นประเภทเดียวกัน เพราะฉะนั้นโลกนี้ก็ไม่ปรากฏแบบแล้วมาถึงเดี๋ยวนี้ข้ามไปเลย เจ็บไหมไม่รู้กี่ปี แต่มาถึงเดือนนี้ค่ะมีอะไรค่ะ เลยค่ะนะคะ มีเห็นทุกคนไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่เกิดนะคะ เป็นผลของเก่า เพราะฉะนั้นเลิกเห็นไม่ได้ แน่นอนเลือกเวลาที่จะเห็นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าการทำให้เกิดจิตนี้เมื่อไหร่จิตนี้จึงจะเกิดขึ้นได้ แล้วก็ก่อนเห็นเนี่ยมีจิตไม่มีแน่ๆ นะคะ จิตอะไร ค่ะ เดี๋ยวนะคะ ชาช่าแล้วก็ตามความเป็นจริงคือศึกษาธรรมะจากธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจคำว่าปรากฏเดี๋ยวนี้ด้วยนะคะ เดี๋ยวนี้มีเห็น ก่อนเห็นมีจิตรึเปล่า แน่นอนนะคะ ต้องมีจิตเกิดก่อนจิตเห็นจิตที่เกิดก่อนเห็นหรือเปล่า นี้ค่อยๆ ขยายความชัดเจนออกมาทีละหนึ่งขณะจิตนะคะ เดี๋ยวนี้มีจิตเห็นแน่นอนก่อนจิตเห็นต้องไม่มีเห็นต้องไม่มีจิตที่เห็น เพราะฉะนั้นก่อนที่จิตเห็นจะเกิดเนี่ยมีจิตเกิดแน่นอนจิตที่เกิดก่อนเห็นเห็นไหม เห็นได้ไม่ชัดเจนดีนะคะ มันคงดีค่ะว่าจิตก่อนเหตุได้เห็นไม่ได้นะคะ แต่ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นจิตอะไรจริงรึเปล่า ด้วยใครบอกได้ บอกไม่ได้เลยแปลกมีใช่ไหมคะ มีจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นแน่ๆ แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นจิตอะไร ก่อนจิตเห็นต้องมีจิตเกิดแต่จิตที่เกิดก่อนเห็นไหมเห็นไหมจิตที่เกิดก่อนไม่เห็นแล้วเป็นจิตอะไรคะลองคิดลองตอบ ก็ไม่รู้นิใช่ไหมคะใครจะรู้ล่ะก็เห็นแต่เห็นเดี๋ยวนี้ และก็เรียนรู้เพิ่มเติมว่าก่อนเห็นก็มีจิตด้วยแต่ไม่รู้ว่าจิตอะไรนี่เป็นความจริง ซึ่งต้องศึกษาจึงจะเข้าใจได้แต่ก่อนจะศึกษารู้แน่ๆ มั่นคงจริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลงการศึกษาเพื่อเข้าใจจริงๆ นะคะ ถึงการที่ไม่เปลี่ยน เป็นสัจจะจริงๆ ว่าก่อนจิตเห็นต้องมีจิตเกิดก่อนแน่ๆ และจิตที่เกิดก่อนก็ไม่เห็นแต่ไม่รู้ว่าเป็นจิตอะไรถูกไหมคะ ลองตอบ อาวัชชนะจิตไปเอามาจากไหนเห็นไหมคะ ต้องเป็นผู้ที่เคยฟัง แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่รู้ค่ะถ้าเผื่อผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง จิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้นะคะ เหมือนเห็นแค่ว่าเห็นเห็นเกิดดับนับไม่ถ้วนพร้อมทั้งจิตอื่นนับไม่ถ้วนเช่นเกิดสลับนับ การศึกษาเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่ ก็จะมีผิดมากนะคะ คือที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความเป็นจริงโดยละเอียดของสิ่งนั้นให้รู้ว่ากรจิตเห็นจะเกิดขึ้นนะคะ ใครก็ไม่รู้ ว่าจิตที่เกิดก่อนไม่ใช่ภวังคะจิต เห็นมั้ยคะใครรู้ จิตที่เกิดก่อนจิตเห็นไม่ใช่เพราะหวังค่ะจิตไม่รู้แต่เริ่มฟังเพื่อที่จะเห็นความเป็นอนัตตานะคะ เพื่อที่จะจำได้แต่ถ้าให้จำชื่อเดี๋ยวก็ลืมเดี๋ยวก็ลืมใช่ไหมคะแต่จำว่าด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่าก่อนจิตเห็นต้องมีจิตเกิดก่อนซึ่งจิตนั้นไม่เห็น และจิตนั้นไม่ใช่เพราะวันค่ะจิตเพราะอะไรคะ ทำไมไม่ใช่เพราะหวังค่ะจิตเห็นมั้ยคะเนี่ยค่ะการศึกษาถ้าเข้าใจจริงๆ และเราไม่ลืมแน่นอน ทบทวนอีกครั้งนะคะ ก่อนจิตเห็น ต้องมีจิตอื่นเกิดก่อนซึ่งไม่ใช่จิตเห็น และไม่ใช่ถวัลย์ขจี เพราะอะไร บอกไปแล้วต้องคิดค่ะคิดเพื่อที่จะได้ ในความเป็นจริงในเหตุในผล ก่อนจิตเห็นมีจิตซึ่งเกิดก่อน จิตที่เกิดก่อนไม่เห็น และก็ไม่ใช่ภวังคะจิ ถ้าคนที่ไม่รู้ก็คิดว่าจากเพราะหวังค่ะจิตมาเป็นเห็น แต่ผู้ที่ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของจิตหนึ่งขณะเซลล์ต่างกันนะคะ ทรงแสดง จิตเห็นขณะนี้มีจิตที่เกิดก่อนซึ่งไม่เห็น และไม่ใช่ภวังจิต ยิ่งช่วยกันอีก และ แล้วเจ็บแต่ถามว่าเพราะอะไรคะไม่ได้ถามถึงชื่อแต่ถามว่าเพราะอะไร เพราะว่านะคะ ถ้าเป็นภวังค์แล้วไม่มีทางที่จะรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจจะเป็นจิตเห็นจิตได้ยินไม่ได้เลย เป็นภวังค์เพราะกรรมทำให้เป็นจิตที่ดำรงรักษาทุกชาติไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยินอะไร ๑๐ต่อไปเรื่อยๆ เป็นผลของกรรมแต่ผลของกรรมเพียงแค่เกิดมาแล้วก็เป็นภวังไปเรื่อยๆ เนี่ยไม่เพียงพอต่อกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถามกรรมแค่นั้น ได้แค่ไหนก็ตามแต่นะคะ ให้ผลเพียงแค่เกิดแล้วไม่รู้อะไรเลย สบายดี เหมือนกันรับสนิท มีเดือดร้อนไม่เป็นทุกข์ใช่ไหมคะแต่ว่าเมื่อเป็นผลของกรรมต้องไม่ใช่เพียงแค่มีการเกิดขึ้น และเป็นห่วง เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นแต่ไม่ใช่ภวังนะคะ ไม่ใช่ภวังจึงรู้อารมณ์ที่ไม่ใช้อารมณ์ของภวังค์ จึงเป็นภวังไม่ได้ ตราบใดที่เป็นภวังค์ต้องมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิตจิตที่จะเกิดโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ค่ะเพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพรู้ต้องรู้สิ่งที่ถูกรู้นะคะ ก็สามารถที่จะปรากฏว่ามีจริงๆ รู้ได้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจประเภทหนึ่งที่ใช้คำว่า วิถีจิตแต่จิตที่เป็นปฏิสนธิจิตเรียกว่าจุติจิตหรือภาวะจิตซึ่งเป็นจิตประเภทเดียวกันนะคะ เป็นผลของกรรมเดียวกันด้วยไม่ได้รู้อารมณ์ใดๆ ของโลกนี้เลยทั้งสิ้นแต่มีอารมณ์เดียวกันเหมือนกัน ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์อะไร วันอาทิตย์ก็มีอารมณ์เดียวกันไปตลอดทั้งชาติจนถึงจิตขณะสุดท้ายซึ่งจากโลกนี้ไปไม่น่ากลัวเลยค่ะเหมือนภวังค์ ไม่มีการรู้สึกที่จะเจ็บปวดอะไรเลยนะคะ เพราะว่าเหมือนพวันเหมือนขณะที่หลับสนิทค่ะแต่ว่าไม่ได้ทำกิจของภวังค์อีกต่อไปทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคล เพราะฉะนั้นมีจิตประเภทเดียวกันนะคะ คือปฏิสนธิจิตภวังคจิต และจุติจิตซึ่งมีอารมณ์เดียวกันด้วย เพราะฉะนั้นการที่จิตที่เกิดก่อน จิตเห็นไม่ใช่เพราะว่ะบอกแล้วว่าไม่ใช่เพราะว่ะเพราะว่าถ้าเป็นภวังค์จะเห็นไม่ได้ จะรู้อารมณ์อื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่เป็นผู้วันก็เป็นจุด๔ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นจะเป็นจิตอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่ใช่จิตเห็น แต่ไม่ใช่เพราะว่า มีสิ่งที่สามารถกระทบตาซึ่งเมื่อกี้นี้คุณวิชัยยกตัวอย่างเฉพาะเห็นก่อนนะคะ จีนหนึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบจากคู่ปรับ ตารูปพิเศษที่ตัวที่มองไม่เห็นเลยแต่นี่มีแน่ๆ แต่ว่ามองไม่เห็นเลย แล้วก็รู้ว่าอยู่ที่กลางตาด้วยแต่ถึงจะมองสักเท่าไหร่ก็เห็นเพียงแค่สิงห์ที่สามารถ จะใช้ทำซึ้งศูนย์๔เหรียญสีแดง อืมเห็นจากพวกประชาธิรูปไหม รูปพิเศษที่สามารถ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นในขณะ เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่สามารถ ต์มีปรากฏทางตาสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้นขณะที่สามารถกระทบจักขุประสาทถ้ารูปนั้น เป็นปัจจัยให้ถึงเวลาที่กรรมให้ผลจิตเห็นจึงเกิด ถ้าไม่ถึงเวลาจิตเห็นก็เกิดไม่ได้เพราะเหตุว่าสิ่งที่กระทบตาด้วยนะคะ ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นโอกาสที่กุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วจะให้ผลคือเกิดขึ้นเพียงเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นผลของการเล็กน้อยมากแต่ก็อยากได้กันเหลือเกิน ไม่รู้ว่าความเล็กน้อยเล็กน้อยเหลือเกินค่ะแค่กระทบตาปรากฏให้เห็นแล้วดับไปแล้วก็ไม่กลับไปอีกก็อยากได้ และเกิด นี่เป็นความไม่รู้อย่างยิ่งใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าขณะเห็นต้องมีจิตเส้นเกิดก่อนจิตเห็นแม้ว่าจิตนั้นไม่เห็นแต่ก็ไม่ใช่เพราะหวังเพราะจิตนั้นเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาททั้งนั้นแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตนั้นเทียนรู้แต่ไม่เห็น มี๔ที่กระทบ จึงใช้คำว่าอาวัชชนะรู้ว่ามีสิ่งที่กระทบภาษาบาลีdแปลเป็นไทยแวะรำพึงถึงคนไทยชินกับคำว่ารำพึงว่าต้องคิดสนานรำพึงขณะเดียวคงไม่ได้ใช่ไหมคะแต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าถ้าจะกล่าวถึงจิตนั้นโดยเก็บก็คืออาวัชชนะจิต เพราะเหตุว่าต่อเมื่อมีอารมณ์ซึ่งเป็นรูปที่๔ ประสาน๕ จึงจะเป็นปัจจัยให้จิตนี้เกิดขึ้นเพียงรู้ว่าอารมณ์ การจะวันหนึ่งถ้าวัน เช่นในขณะนี้นะคะ ก่อเหตุ มีจักขุทวาราวัชชนะคือจิตที่อาศัยตารู้สิ่งที่กำลังกระทบก่อนดับไป และจิตเห็นขณะนี้จึงเกิดได้ นี่คือความไม่ใช่ตัวตนค่ะถ้าจะจำชื่อก็ต้องรู้ว่าเกิดเมื่อไหร่แล้วก็ทำกิจอะไร และก็เป็นชาติอะไรด้วยว่าจิตนี้สามารถที่จะ ที่ดีก็ได้ไม่ดีก็ได้จึงไม่ใช่วิบาดเจ็บ แค่เป็นวิบากจิตนะคะ ต้องรู้แต่อารมณ์ของกรรมนั้นๆ เช่นถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมวิบากจิตก็ต้องเป็นอกุศลวิบากจะรู้อารมณ์ที่ดีไม่ได้ที่น่าพอใจก็ได้แต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่ดีนะคะ ก็เป็นการล่ะของกุศลกรรมที่ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นในเมื่อจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นก็เกิดก่อนจิตได้ยินก็เกิดก่อนจิตได้กลิ่นเกิดก่อนจิตลิ้มรสเกิดก่อนจิตที่รู้สิ่งที่กระทบตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นจิตนั้นทำหน้าที่ได้หาทางจึงใช้คำว่าปั่นจะทวาร และขณะที่กำลังรู้ว่ามีสิ่งกระทบเท่านั้น คืออาวัชชนะจิต เพราะฉะนั้นจิตนั้นจึงชื่อว่าอันจะทวาราวัชชนะจิตแต่ถ้ากล่าวเพียงหนึ่งทางตาก็เป็นจักขุทวาราวัชชนะจิตเพราะว่าขณะนั้นไม่ได้ไปทำกิจทางทวารเองทำกิจเฉพาะทางจักขุทวารจึงเป็นจักขุทวาราวัชชนะจิต และขณะที่ได้ยินนะคะ มีจิตเกิดก่อนนะคะ มีภวังคจิตรึเปล่าไม่ใช่ไม่ได้ทำกิจภวังค์เพราะอะไรก็รู้ว่าต้องมีเสียงซึ่งสามารถกระทบโสตประสาถ้ากระทบตาไม่ได้แล้วค่ะรูปนี้ไม่สามารถจะกระทบตาแต่ต้องกระทบรูปที่สามารถกระทบหูเทโสตะสาธารณะค่ะ ทันทีที่กระทบรูปยังไม่ดับเลยว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ๑๗ขนาดนี้เพียงแค่คณะเจรกระทบเอาวัน๓คณะก่อนที่จิตจะเปลี่ยนอารมณ์ ก่อนที่จะเป็นอันจะเทวาราวัชชนะจิตเป็นภวังค์ แอร์โฮหวังนะคะ ชื่อ เป็นสวรรค์สุดทั้งหมดพวกเขาหวังจะฟ้า วัน๗ต่ออีกไม่ได้เลยก็เป็นจิตที่เกิดเพราะการกระทบกันของรูปที่กระทบกัน เพราะฉะนั้นวันนี้นะคะ ก่อนจิตเห็น ไม่ลืมจิตนี้ค่ะถ้าเลยเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าใครจะรู้จิตนั้นใช่ไหมคะแต่เห็นแม่กำลังเห็นแน่ๆ ค่ะ และก็มีจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นด้วย และก็ก่อนจิตแสนก็ต้องเป็นภาวะ และก่อนเพราะวันสุดท้ายก็ต้องมีภวังค์ภวังค์อีกนี่ก็เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เข้าใจไปทีละเล็กทีละหน่อยนะคะ สำหรับการสนทนาครับก็พอที่จะทราบถึงว่าจิตก็มีหน้าที่ที่ว่าเป็นกิจของจิตโดยคณะแรกเป็นจิตที่ทำกิจอะไรครับปฏิสนธิในภูมินี้ซึ่งไม่มีบุคคลใดที่จะให้ปฏิสนธิแก้ไขได้เลยแต่ว่าการเกิดขึ้นในภูมิที่ดีหรือไม่ดี เพราะมีกรรมนั่นเองที่จะเป็นปัจจัยให้bบาดจิตทำกิจปฏิสนธิในภูมิต่างๆ ตามกรรมที่ได้กระทำไปแล้วเป็นสุคติก็มีเป็นผู้คติก็มีแต่ไม่ใช่เฉพาะมีปฏิสนธิจิตอย่างเดียวหลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับแล้วจิตให้เกิดต่อครับ ภวังคะจิตซึ่งทำภวังคกิจคือยังเป็นบุคคลนั้นอยู่ และก็ไม่ใช่เฉพาะปฏิสนธิจิตภวังคจิตแต่ต้องมีการที่จะมีการรู้อารมณ์ตามทวารต่างๆ ด้วย จิตขนาดแรกที่รู้อารมณ์ทางตาคือจิตอะไรครับก็คือจากคู่ถวายปลาวัชชนะจิตเป็นจิตที่ ใช้คำว่ารำพึงหรือว่านึกถึงเพราะเห็นว่ามีอารมณ์มีรูปซึ้งมากระทบกับภาษาไทยรูปเมื่อมีการกระทบกันนะครับ ก็มีเป็นปัจจัยที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่มากระทบนั่นเองเรียกว่าเป็นอ่าวัจนะจิตนะครับ เพราะว่าจิตนั้นทำอาวัชชนะกิจท่าทางปั่นจักรยานทวารทั้ง๕ก็เป็น มันจะทวาราวัชชนะจิตหลังจากนั้นก็จะเป็นจิตเห็นบ้างได้ยินบ้างซึ่งก็เป็นแต่ละคณะตามทวารนั้นๆ นะครับ แล้วสัมปฏิฉันนคือจิตที่อะไรครับรับอารมณ์ตสันติรนะคือพิจารณาอารมณ์โหวตชนะคือ กาซีนหรือว่าเป็นจิตที่จะทำทางให้ชาวนาจิตเกิดขึ้นก็จะสืบต่อเนื่องกันจนถึงชวนเป็นจิตที่มี ก็เป็นสิทธิที่สำคัญมากนะครับ ชาวนาจิ เวลาที่มีโอกาสได้ฟังความจริงเนี่ยนะครับ ก็จะทำให้ได้เข้าใจธรรมมาศซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ เพราะเห็นว่าทุกขณะเป็นธรรมะมีแต่ธรรมะเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไปแต่ถ้าหากว่าไม่มีโอกาสได้ฟังความจริงที่เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเลยนะครับ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกแสนถูกตามความเป็นจริงได้ ซึ่งก็น่าพิจารณานะครับ ว่าแม้จะมีธรรมะอยู่ทุกขณะแต่ไม่รู้ แล้วจะรู้ความจริงได้อย่างไรนะครับ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัย พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเพราะเห็นว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง และก็ทรงแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงนะครับ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติฟังก่อน จึงทำให้ผู้นั้นน้อมมาสู่การฟังพระธรรม และทุกครั้งที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมนั้นนะครับ จะเป็นผู้ประมาทในคำที่ได้ยินได้ฟังไม่ได้เลยนะครับ เพราะเห็นว่าพระธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งนะครับ เพราะฉะนั้นวันนี้จะนำเข้าสู่การสนทนาธรรมะจากคำคำเดียวครับคือคำว่าเจตสิก เจตสิกเป็นคำไทยแต่บาหลีก็คือเจตสิกะก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์เลยครับซึ่งส่วนใหญ่ชาวพุทธหรือว่าสังคมไทยก็จะได้ยินคำว่าจิตบ้างได้ยินคำว่าลูกบ้างแต่เจตสิกรูปเหมือนว่าจะเป็นคำใหม่ ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ครับว่าจุดเริ่มต้นในการที่จะเข้าใจสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ในขณะนี้เป็นอย่างไรนะครับ และก็ยกตัวอย่างเมื่อได้ยินคำว่าเจตสิกจะนำไปสู่การเข้าใจสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ในขณะนี้อย่างไรครับกราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ค่ะ ธรรมะก็คือชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมะก็คือว่าไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงๆ ทุกขณะในชีวิตประจำวันภาษาบาลีใช้คำว่าถ้า ศูนย์ถ้าเราไม่เอาคำธรรมะมาขวางหรือมากันเอกสารเลยนะคะ เราก็ใช้ภาษาไทยธรรมดาว่าสิ่งที่มีจริงนี้ และเรารู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงหรือ ถ้ายังไม่รู้นะคะ คุณรู้หรือว่าควรที่จะปล่อยผ่านไปโดยที่ว่าก็ไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายไปก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีในชีวิต ก่อนอื่นนะคะ ก็คือว่าให้ทราบว่าเพราะมีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏด้วยแต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงสิ่งที่มีจริง และหลากหลายมากนะคะ ขณะนี้เห็นก็มีจริงๆ ได้ยินก็มีจริงๆ คิดนึกก็มีจริงๆ ลมพัดเย็นๆ ก็มีจริงๆ ด้วยจะใช้คำว่าเย็นก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเลยค่ะเป็นอะไร ต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่งนะคะ แล้วก็ไม่เปลี่ยน ถ้าได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้นก็ต้องเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นอย่างนั้นเช่นเย็นนะคะ เป็นวานได้มั้ย เป็นแข่งได้ไหมไม่ได้เธอจะเย็นเป็นสิ่งที่มีจริงพอได้ยินคำว่าธรรมะตอนนี้ก็รู้ได้ใช่มั๊ยคะว่าผ้าซามะพีซึ่งเป็นภาษาบาลีเนี่ยก็ใช้คำว่าธรรมะหมายความถึงสิ่งที่มีจริงจริง เพราะฉะนั้นฟังธรรมะศึกษาธรรมะต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมะที่อะไร มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่ากำลังศึกษา เฉินในขณะนี้พอรู้ว่านะคะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงทุกคนเข้าใจแล้วนะคะ กำลังฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทำไมทั้งๆ ที่ปรากฎแนะเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เพราะเหตุว่าไม่เคยสนใจใส่ใจในความจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเช่นเห็นเป็นเห็นได้ยินเป็นได้ยินนะคะ คิดคือคิด เพราะฉะนั้นแต่ละคำเลยค่ะจะต้องเข้าถึงความจริงว่าเราได้เข้าใจคำนั้น เช่นสิ่งที่มีจริง เห็นนะคะ เข้าใจหรือยัง เข้าใจเพียงแค่ว่ามีจีนถูกต้องไหมคะแต่เห็นๆ ตลอดไปหรือเปล่าเห็นทั้งวันทั้งคืนไม่มีอย่างอื่นเลยมีแต่เห็นเท่านั้นหรือเปล่าก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ คือเห็นบ้างได้ยินบ้างนะคะ แล้วแต่ละอย่างก็ไม่ปะปนกัน เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นเป็นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นไม่ใช่ได้ยินเสียงไม่ใช่คิดนึก เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจความหมายความหลากหลายของสิ่งที่มีจริงนะคะ ว่าถ้าจะศึกษาสิ่งที่มีจริง เอ่อใจแฟนลั่นเให้ถูกต้องเพราะว่าความจริงนะคะ ปรากฏได้เพียงทีละหนึ่งอย่าง ในขณะที่กำลังเสียงปรากฏอย่างอื่นปรากฏไม่ได้เลยในขณะที่คิด กำลังคิดนะคะ อย่างอื่นก็ปรากฏไม่ได้นอกจากคิดนี่คือการศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็มีแต่สิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นเป็นจริงดังนั้นดังนั้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นในขณะนี้นะคะ เรายังไม่ใช่คำปรึกษาบาลีเลย ขณะนี้มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    29 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ