พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 889


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้น ที่สามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยซึ่งไม่มีราวที่จะไปคิดหรือเป็นจำไว้ว่าเราทำแต่ความจริงก็คือว่าเป็นธรรมะทั้งหมด เพราะฉะนั้นกว่าจะไม่ทำว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นยังไงโหมดจะได้เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงนะคะ ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วเลือกความเป็นตัวตนที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้เพราะกลัวว่าถ้าไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วปัญญาจะเกิดไม่ได้นั่นคือกฎหรือว่าปิดหรือว่ากันหรือว่าบังคับปัญญา ไม่ให้เจริญรุ่ง แต่ถ้าตรงกันข้ามนะคะ มีปัจจัยที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้นจะรู้เลยค่ะว่าปัญญาทางนั้นที่ทำหน้าที่แม้ขณะนั้นไม่ได้คิดเลยว่าอยากจะให้ปัญญาเกิดควรจะรู้สิว่ามีเป็นธรรมะจะรู้สิว่าเป็นธรรมะก็เป็นตัวตน แต่พอไม่คิดมีปัญญาที่ได้สะสมมาเพียงพอนะคะ ขนาดนั้นสัมมาทิฏฐิเกิดท่านจีรูความเป็นธรรมมะทันที เพราะฉะนั้นอีกล้านไหมคะกว่าจะหมดเยื่อใย การยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็น ถ้าเป็นแต่อย่างอย่านะคะ จรเข้ใหญ่ในการที่เราจะเป็นคน ก็เป็นราว เพราะฉะนั้นอวิชชาดีไหม ไม่ดีครับแต่ว่าก็ยังมีอยู่ครับใช่ครับ เพราะฉะนั้นเห็นโทษของวิชา เพราะไม่รู้ทั้งหมดนี้ค่ะ การเปลี่ยนทางอาจารย์นกครับอาจารย์นกครับเมื่อกล่าวถึงความเป็นไปของธรรมะซึ่งก็กำลังเป็นไปในขณะนี้แล้วก็ยังมีเหตุที่จะให้เป็นไปอยู่นะครับ ซึ่งก็กล่าวเป็นวัดนะครับ คือการเป็นไปของธรรมะซึ่งเมื่อยังมีเหตุที่จะต้องให้ธรรมะนี้เป็นไปก็ยังต้องเป็นไปอยู่ ซึ่งก็ทรงแสดงเหตุนะครับ ก็คืออวิชชาอย่างหนึ่งแล้วก็สรรหาด้วยขอความรู้ความเข้าใจตรงนี้ด้วยครับที่ยังเป็นไปในขณะนี้ ช่วงนี้ถ้าอาจารย์ก็กล่าวบ่อยนะคะ ว่าเพราะไม่รู้ ซึ่งทุกอย่างเกิดได้ต้องเกิดจากเหตุนะคะ แต่เหตุที่เป็นก้นบึ้งจริงๆ เนี่ยเปล่าได้เลยนะครับ คือความไม่รู้ ทำไมถึงต้องเกิดมา ผู้ที่โหมดความไม่รู้แล้วนะฮะคือพระร้านเนี่ย ไม่ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้นแค่ว่าต้องเกิดมาเนี่ยก็เพราะความไม่รู้ที่สะสมไว้ แล้วก็ความติดข้องพอใจ ในความมีความเป็น เกิดเป็นคนก็พอใจในความเป็นคน เกิดเป็นนกเป็นหนูเป็นนรไปก็พอใจในสิ่งนั้นใช่ไหม สภาวะแบบนั้น เพราะฉะนั้นนี่คือความไม่รู้ และความติดข้อง ซึ่งสภาพธรรมมะทั้งสองอย่างเนี่ยนะฮะเป็นเหตุสำคัญแต่ลึกที่สุดก็คือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นแล้วแต่พระองค์ท่านจะทรงแสดงเพื่อที่จะอธิบายให้เห็นถึงสาเหตุจริงๆ ของการเกิด พระองค์เมื่อแรกตรัสรู้กทรงอุทานว่า รู้แล้วตัวเหนี่ยวนำนายช่างเรือนคือลบ แล้วก็ที่พระองค์ท่านทรงแสดงกับพระภิกษุนะว่าที่ที่พระองค์ท่านเองแล้วก็พิสูจน์ทั้งหลายคนทั้งหลายต้องเกิดมาเนี่ยก็เพราะอัดวิชาความ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาแล้วเนี่ยสารพัดจะทุกข์จะสุขจะดีจะชั่วเนี่ยก็ต้องเพราะความไม่รู้ ใช่ไหมฮะก็เกิดมาแล้วก็แล้วแต่ที่จะสะสมเป็นไป กิเลสบ้างกุศลบ้าง ในแต่ละวัน ก็ต้องมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ท่านเนี่ยตรัสรู้นะฮะจึงแสดง ธรรมะที่เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นวิชาซึ่งตรงข้ามกับวิชา ที่จะสามารถละคลายความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อสักครู่ไทยไก่ก็กล่าวว่าพอสรุปเป็นข้อความสั้นๆ ได้ว่า สะสมความเข้าใจไว้ในจิ ไม่ใช่สะสมทีละเยอะๆ นะฮะทีละนิดทีละหน่อยที่เข้าใจไปจากการฟังการพิจารณาการอบรมเจริญปัญญาเนี่ยทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าที่จะมีกำลังแล้วก็ละคลายความไม่รู้ได้แต่ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอันตะสามารถสมเด็จเจ้าไม่มีใครที่จะรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดมาเนี่ยเพราะความไม่รู้ เพราะไม่มีใครที่จะมีพระบารมีนะฮะที่จะรู้ว่าทุกข์ทั้งหลายเนี่ยมาจากการเกิดแล้วว่าสุดท้ายต้นเลยก็คือมาจากอวิชาความไม่รู้จึงแสดงความเป็นเหตุเป็นปัจจัย ของสภาพธรรมะที่เกิดขึ้น นะฮะเป็นปฏิจากสมุทรปาฐะ ภายในเมื่อพระองค์ท่านทรงแสดงแล้วนะฮะแสดงว่าต้องมีผู้ที่สามารถจะฟัง ตามส่วนในสมัยโน้นท่านสะสมมาดีท่านฟังท่านเข้าใจสามารถขจัดความไม่รู้หมดสิ้นไปเลย รวดเร็วมากเพราะว่าท่านเป็นอุคคติตัญญู จะมาในสมัยนี้เนี่ยแค่เริ่มที่จะเห็นว่ามีความไม่รู้จริงๆ มากแค่ไหน ก็พอเห็นว่าเห็นขณะนี้ก็ไม่รู้ได้ยินขนาดนี้ก็ไม่รู้แต่ว่าจากการเพียงจำเพียงเข้าใจว่าเป็นธรรมะแต่ว่าความรู้ในสิ่งที่มีจริงนะครับ ยังไม่อาจจะรู้เขายังไม่มีเหตุที่จะให้ความรู้เพจนั้นเกิดนั้นต้องอบรมต้องสะสมความรู้ความเข้าใจที่เล็กเสียน้อย แล้วก็เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้การที่จะให้ความรู้ความเข้าใจเขินนะครับ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยจริงๆ ไม่มีบุคคลตัวตนที่ใจบังคับให้ความรู้ปัญญารู้ตรงเห็นขณะนี้ได้ แต่เมื่อมีปัจจัย ให้เกิดขึ้นก็ไม่มีบุคคลใดจะ๕มได้ด้วยอันนี้ก็ถึงเห็นถึงความเป็นอนัตตาของธรรมะจริงๆ ว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัยจริง กราฟแท่งอาจารย์ครับในเรื่องของปัญหาความยินดีพอใจเนี่ยซึ่งโดยทั่วไปเนี่ยก็จะเข้าใจเหมือนกับการที่ยินดีพอใจในรูปในเซี่ยงไฮ้กลิ่นรสในสัมผัสต่างๆ ที่อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงความละเอียดการที่จะรู้ลักษณะของ ปัญหาเห็นถึงความละเอียดของปัญหาเพื่อที่จะเข้าใจถูกแล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าหนังเป็นความพอใจแม้ในการที่จะได้ยินได้ฟังแล้วก็เพียงต้องการหรือว่ามีความต้องการที่จะรู้ซึ้งขณะที่ความต้องการนั้นเกิดไม่สามารถจะรู้ถึงลักษณะของความต้องการได้เลย ด้วยเหตุนี้เราพระ เป็นตั้งแต่อนุสัย จนถึงอาสวะ โอ้ค่ะ โยคะ คั้นคะอุปทานทั้งหมดค่ะไม่ขาดหรือพลาดเลยไม่ว่าจะเป็นสัญโยชน์จะเป็นกิเลสหรือจะเป็นประการใดของธรรมะนะคะ พระครบ คือท่านอาจารย์ครับขนาดที่มีความต้องการครับในขณะนั้นแต่ว่าเขานั้นไม่สามารถที่จะรู้ถึงลักษณะของความต้องการได้เลยนะคะ เพราะฉะนั้นนะคะ ไม่ใช่ว่าพอมีความติดข้องต้องการแล้วก็บอกว่านี่เราพระเลี้ยงตอนแรกที่คุณวิชัยบอกใช่มั้ยคะพอมีอะไรนั่นถึงจะเป็นโหลผ้าไม่ใช่ตอนนี้ตอนนั้นค่ะ แต่ก็มีก่อนนั่นแหละ โดยไม่รู้เลย ยังไม่ทันจะปรากฏว่าชอบมากแล้วแบบนี้เราพระเรียกชื่อเลยคือเหมือนกับว่าฮาโรพระมานานไม่เจอแต่พอโลพระเกิดชอบมากๆ ก็เลยจับได้วันนี้เหรอคะหรือว่านั้นเราพระแต่ความจริงแล้วพระมีก้อนนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการฟังพระธรรมนะคะ จะไม่มีการรู้สภาพธรรมะแห่งความเป็นจริง แม้แต่คำว่าติดข้องเนี่ยทันทีที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปราก ไม่รู้วิชาเลยค่ะ อยู่ที่ไหนก็มีอกุศลอื่นๆ ติดตามมาเช่นความติดข้อง ความจริงของสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วดับไปแล้วไม่เลย แค่นี้ค่ะเมื่อไหร่จะค่อยๆ ซึมจะมีเพิ่งรู้ว่าจีน ไม่ว่าจะมีความพอใจในสิ่งใดเกิดขึ้นสิ สิ่งที่รู้สึก เร็วอย่างนั้นค่ะ เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งนั้นอีกต่อไปแล้วแต่ยังพอใจอยู่ยังจำได้ยังคิดถึง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าพอใจในสิ่งที่ว่างเปล่าเพราะขณะนี้ทุกขนาดดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยคะว่างเปล่าทุกขณะ ให้ความติดข้องก็ขณะใดที่ไม่รู้ความจริงนะคะ ขณะนั้นก็เกิดแล้ว อาจารย์ธิดารัตน์ครับถ้ากล่าวถึงความละเอียดของพระธรรมนะครับ ภูมิภาคทรงพระมหากรุณาคุณทรงแสดงอภิธรรมความละเอียดของจิตใจอย่างเช่นเมื่อสักครู่นะครับ จากการสนทนาก็ทราบว่าเห็นเนี่ยครับหลังจากเห็นเนี่ยก็ต้องเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ อันนี้ก็เป็นความละเอียดของจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็วถ้าไม่มี ถ้าถามคำสอนที่จะแสดงให้เห็นถึงจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็วนะครับ ว่าแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนะครับ เป็นชาติหรือว่าเกิดขึ้นนะครับ เป็นชาติอย่างใดอย่างหนึ่งข้อความเอียดตรงนี้นะครับ ว่าหลังเห็นนะครับ เป็นกุศลอกุศลยังไงครับ แหล่งที่ทราบกันนะคะ แม้กระทั่งจิตเห็นด้วยนะคะ ก็เป็นผลของการ ผลของการก็คือเป็นจิตชาติวิบากยังเกิดขึ้น และผลของกรรมนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการเห็นนะคะ หรือว่าจิตหลังเห็นที่โดยละเอียด และสัมปฏิฉันนะสันตีรณะเหล่านี้นะคะ ก็เป็นวิบากจิต ซึ่งเป็นผลของการกรรมเดียวกัน กับที่ทำให้เหตุ ละเอียดมากนะคะ ๓ดวงกรรมอะไรทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเมื่อจะขู่วิญญาณนะคะ เป็น ส่วนกุศลก็เป็นกุศลได้แบบปฏิฉันนสันติแล้วนะก็เป็นกุศลวิบาก จากครูย่านเป็นอกุศลวิบากสติชนะสาธารณะก็เป็นอกุศลวิบากอันนี้คือเป็นการรับผลของการโดยตรงนะคะ จากนั้นนะคะ ก็มีสิทธิ์ที่ ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศลไม่ใช่วิบากก็คือกริยาจิตนะคะ นี่เป็นเหตุทุกกริยาที่เกิดขึ้น กระทำทางที่จะทำให้ ติดต่อไปนะคะ จะเป็นโลภาโทสะโมหะหรือเป็นกุศลนะคะ ที่เกิดขึ้นทำ ชวนก็คือแล่นไปในอารมณ์เพราะว่าจิตเราเนี่ยนะคะ ถ้าเป็นวิถีจิตทางตาก็คือมีสีมีสีซึ่งกำลังปรากฏอยู่แล้วยังไม่ได้ พอใจแล้วนะคะ เมื่อรู้พระเกิดขึ้น บีซี เป็นอารมณ์ หลังจากที่จากครูวิญญาณทำกิจเห็นแล้วนะคะ โลภาก็รู้สิ แต่ติดข้องในสิ แล้วก็มีโมหะเนี่ยนะคะ ที่คุณวิชัยถามว่าโมหะเยอะแค่ไหนเกิดรวมแล้วกับโรมา กับโทสะไม่พอใจก็ได้นะคะ หรือถ้ามีการฟังธรรมะนะคะ จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจถึงลักษณะของสีที่ปรากฏก็เป็นมหากุศลนะคะ ย่านสรยุทธที่จะเกิดขึ้นรู้สึก ซึ่งก็เป็นความเป็นไปของเหตุปัจจัยนะคะ ที่จะ เพื่อทำให้สภาพธรรมะดันนี้นะคะ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ระหว่างที่ไปฟังพระอภิธรรมนะกูสราธรรมาก็รู้ล่ะ อะกุสะลาธัมมาก็รู้นะถ้ามาถึงอัพยากะตาธัมมา เออันนี้เป็นเจตสิกเป็นกริยาจิตรึเปล่าคือในความง่วงตรงนี้แหละครับไม่สงสัยครับ เมื่อคุณรักกล่าวถึงธรรมะที่เป็นกุศลนะครับ ธรรมะที่เป็นอกุศลแล้วก็ธรรมะที่เป็นอัพยากษัตริย์นะครับ ถ้ากล่าวถึงธรรมะเนี่ยคือสิ่งที่มีจริงๆ คงไม่ลืมนะครับ คิดว่าการฟังทั้งหมดนะครับ เผื่อเข้าใจธรรมะที่มีจริงๆ ไม่ใช่เพียงจำว่ากุศลธรรม คืออะไรได้แก่อะไรแต่ว่าขณะนี้นะครับ มีธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งใน๓เพราะเห็นว่าธรรมะเมื่อเกิดขึ้นนะครับ เป็นกุศลก็มีถูกต้องไหมครับธรรมะเกิดขึ้นเป็นอกุศลก็มีธรรมะเกิดขึ้นเป็นอัพยากตะทำก็มีคือธรรมะที่ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศลขณะนี้มีธรรมะใช่ไหมครับนี่ครับขอยกตัวอย่างสักอย่างนึงได้ไหมครับอะไรที่เป็นธรรมะขนาดนี้ก็ธรรมดาดีก็คือการฟังนะครับ การฟังธรรมะเนี่ยเป็นจิตรึเปล่าในขณะนั้น ฮิตครับ ครับจิตที่เป็นกุศลคือขณะที่ฟังธรรมะแล้วกุศลเกิดเข้าใจจิตขนาดนั้นนะครับ เป็นกุศลธรรมคือไม่มีบุคคลจะรู้ได้นะครับ แต่บุคคลนะครับ สามารถที่จะเข้าใจ และพิจารณาถึงจิตใจขนาดนั้นพี่มากขนาดนั้นไม่มีโ ไม่มีโทสะไม่มีโมหะ แต่ว่าขณะนั้นนะครับ มีจิตที่เกิดพร้อมกับศรัทธา อโลภาอะโทสะหิริโอตะแม้กล่าวอย่างนี้นะครับ แต่ว่าทำมานั้นเกิดแล้วเป็นไปยากที่จะรู้แต่ว่าลักษณะของกุศลต่างๆ นะครับ กับอกุศลแต่ว่าความรู้ความเข้าใจที่จะรู้ละเอียดนะครับ ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาที่จะรู้แต่ว่าธรรมะที่เป็นกุศลนะครับ คือเกิดแล้วเป็นกุศลเป็นไปในทานการให้ อันนั้นจิตขนาดนั้นนะครับ เป็นกุศล และธรรมเป็นธรรมะที่เป็นกุศลไม่ใช่จิตอย่างเดียวนะครับ แต่หมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยศรัทธาสติหิริโอตัปปารูปอาร์ตโทสะตั้งตาเหล่านี้นะครับ เมื่อเกิดพร้อมกับจิต ขณะนั้นนะครับ จิตขณะนั้นพร้อมกับ ธรรมะที่เกิดร่วมด้วยนะครับ เป็นกุศลธรรม ส่วนอกุศลธรรมเป็นอันมากต่างแน่นอนนะครับ เพราะว่ากุศลธรรมเนี่ยเป็นธรรมะที่ไม่มีโทษให้ผลเป็นสุขแต่ว่าอกุศลธรรมเนี่ยเป็นธรรมะที่มีโทษให้ผลเป็นทุกข์ มีไหมครับอักษรธรรมที่เกิดขึ้น มีค่ะ หนี้นะครับ ขณะที่โกรธนะครับ เป็นกุศลอกุศลจองเป็นอกุศลแน่นอนครับเป็นอกุศลธรรมขณะที่โกรธไม่ใช่เฉพาะความโกรธอย่างเดียวที่เกิดใช่ไหมคะแต่ต้องมีจิตเกิดร่วมด้วย และมีเจตสิกแน่นอนย่อมมีอวิชานะครับ มีหิริกะมีอาโน้ตเป๊ะมีอุดจะเกิดร่วมด้วยขณะนั้นนะครับ ทำ เกิดพร้อมกันแล้วธรรมะเหล่านั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลธรรม นะครับ นั้นเห็นความต่างระหว่างจิตนะครับ และเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นกุศลก็มี และเป็นอกุศลก็มีส่วนธรรมะ ที่ไม่เป็นทั้งกุศลไม่เป็นทางอกุศลก็มีเช่นเดียวกันขณะนี้มีไหมครับ มีเห็นไหมครับขณะนี้ไม่มีครับ เห็นมีจริงใช่ไหมคะเห็นเป็นกุศลหรือเปล่า เห็นเป็นผลของกรรมใช่ไหมครับ ดังนั้นการฟังธรรมนะครับ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดไม่ใช่ว่าเพียงจำแต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าเห็นขณะนี้นะครับ เป็นผลของกรรม ไม่ใช่กุศลไม่ใช่ทั้งอกุศลได้ยินนะครับ ก็เป็นผลของกรรมไม่ใช่ทั้งอกุศลไม่ใช่ทั้งกุศล การฟังพระธรรมนะครับ โดยเฉพาะอภิธรรมเป็นธัมมะละเอียดอย่างยิ่งนะครับ ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟัง และก็ใคร่ครวญพิจารณาให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้องแต่ก็ไม่ใช่เป็นการที่จะรีบเร่งนะครับ เพราะว่ารีบเร่งไม่ได้นะครับ แต่ค่อยๆ ที่จะเข้าใจขึ้นได้นะครับ จากการฟังในแต่ละครั้ง อาจารย์นะครับ ถ้ากล่าวถึงกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมนะครับ ท่าภูมิภาคก็ยังทรงแสดงความที่ธรรมะนั้นเป็นมูลของ อกุศลหรือเป็นมูลของกุศลนะครับ ถ้ากล่าวถึงมูลของอกุศลก็ได้แก่โลภาโทสะ และโมหะถ้ากล่าวถึงมูลที่เป็นฝ่ายดีงามที่เป็นโสพณรวมทั้งกุศลนี้ด้วยนะครับ ก็เป็นอโลภาอ่ะโทสะ และก็อ่ะโมหะที่พิพากกล่าวถึงว่าธรรมะเหล่านี้ที่เป็นมูล เป็นเหตุเนี่ยคืออย่างไรครับ พระผู้มีพระภาคเจ้านะครับ ทรงแสดง เอสของการเกิดของสภาพธรรมะทั้งหลายอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นนี่คือความลึกซึ้งความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาครับเพราะว่าถ้าเราไม่ได้ศึกษาตามคำสอนแล้วไม่มีการอบรมเจริญปัญญานะฮะ เป็นผู้ที่มีเหตุผลแบบเลื่อนลอย เนี่ยเกิดเงียบเพราะอย่างนี้อะไรที่ทำให้รู้ถึงเหตุเราก็บอกว่าเกิดรอยบังเอิญใช่ไหมคะแต่จริงจริงแล้วพระองค์ท่านทรงรู้เอสปัจจัยของสภาพธรรมะทั้งหลายแหละที่รู้ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัจจัยคือสิ่งที่ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นใช่มะ? และก็ยังแสดงลึกเป็นฉันฉันลงไปจนแสดงถึงเหตุ ตรงตรงเลย อย่างทำไมเราหงุดหงิดใจ บางคนก็บอกว่าคนโน้นมาทำให้เพราะคนนี้มาทำให้เพราะว่าหนาวไปร้อนไปเอ็ดไปอะไรไปใช่ไหมฮะแต่จริงๆ พระองค์ท่านทรงแสดงว่าเพราะมีเหตุคือ โทรศัทพ์เหตุซึ่งเป็นโทสะฟิสิกส์ที่สะสมมา เมื่อมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ทำไมถึงอยากโน่นอยากนี่น่ะเดือดร้อนต่างๆ เพราะมีโลหะเป็นเหตุทำให้มีความอยากก็คงไม่ไปก่อทุจริตสั่งต่างๆ นั่นคือโลภาเป็นเหตุก็พอจะเห็นได้แต่โรพระโพสนิ เกิดขึ้นเพราะอะไรเลิกสุด เบื้องต้นของปฏิจจสมุปปาก็คือวิชาความไม่รู้ เมื่อไหร่จะทรงแสดง เหตุตรงตรงของอกุศลธรรมทั้งหลาย ยิ่งแสดงรูปภาพโทสะโมหะเพราะนอกจากจะเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลธรรมต่างๆ แล้วแม้ในขณะที่อกุศลธรรมใดเกิดขึ้นจะปราศจากเหตุเหล่านี้ไม่ได้เถอะอย่างน้อยที่สุดต้องมีโมหเจตสิกเป็นโมหะทันทีทันใดที่อกุศลขณะนั้นกำลังเกิดขึ้น จะมีความติดข้องก็มีโลพาร์กเกิดร่วมด้วยโมหะเป็นเหตุสอง หรือมีความไม่พอใจขนาดนั้นก็มีโทสะกับโมหะเป็นเหตุสองอย่าง นี่คือตามความเป็นจริงแต่ถ้าโลกมีแต่เฉพาะเหตุที่ไม่ดีแล้วก็เกิดแต่กุศลก็คงจะแย่ไม่ต้องมีการดับกิเลสกันใช่ไหมครับพระองค์ท่านจึงแสดงถึงเหตุที่ดีอโลภะเอสนโทสะเหตุอะโมหะทิ ซึ่งก็มีสภาพของโสภณธรรมที่ดีนั้นจริงจริงเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิต เป็นคุณความดีใช่ไหมฮะ เพราะฉะนั้นเกิดขึ้นไม่ใช่รอยที่เราคิดว่าเป็นเราทำดีเป็นเราที่สละขณะนั้นไม่ใช่เราล่ะเพราะมีอโลหะเอ็ดcเกิดกับจิ มีโทรศัพท์ที่๑๐เกิดกับจิตในขณะที่เป็นกุศลประการต่างๆ ถ้าเราโกรธให้ได้ ไม่ยากครับไม่ชอบคนนี้ไม่ให้อภัยไม่อภัยหรอกเขาเป็นคนไม่ดีมากไม่ให้อภัยโทสะหรือขนาดนั้นนะครับ ถ้ามีความติดข้อง หวงของชอบมากให้กับได้ไหมฮะไม่ได้แต่ตอนที่มีการสละช่วยเหลือก็ดีหรือมีเมตตาไม่โกรธก็ดีทั้งหลายกุศลทั้งหลายต้องมีเหตุตรงขณะที่จิตที่ดีงามเกิดขึ้นเลยมีอารมณ์เพศอ่ะโทรศัพท์เหตุ และถ้าได้ฟังพระธรรมนะครับ มีความรู้ความเข้าใจ ก็ยังอยู่ในบางครั้งบางคราวซึ่งเกิดปัญญาซึ่งเป็นสภาพที่เข้าใจความเป็นจริงอาจเป็นเหตุหนึ่งอ่ะโมหะเอ็ดคือเป็นเหตุที่ไม่ใช่โมหะไม่ใช่ความลุ่มหลงไม่ใช่ความไม่รู้ก็คือเป็นความรู้นั่นเอง เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านจึงแสดงเหตุ ตรงๆ นะฮะปิด๖อย่างหรือเป็นเกย์๑๖ยาง

    กราบพระอาจารย์ครับดูเหมือนว่าแต่ละขณะของชีวิตเนี่ยครับก้อเหมือนกับเป็นไปด้วยความประมาทอยู่ครับอาจารย์อย่างไรที่จะให้ถึงความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมก็ต้องรู้จักว่าไม่ประมาทคือเมื่อไหร่ และอะไร ก็ต้องขณะที่สติเธอ ขณะที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ก็มีชีวิตวันนึงวันนึงยังไม่รู้เลย อยู่ไปนะคะ และก็จะช่วยว่าประมาทหรือไม่ประมาท ที่จะรู้ว่าแม้แต่สิ่งที่มีก็ยังไม่รู้ ประมาทถึงอย่างนั้นแม้แต่สิ่งที่กำลังมีก็ยังไม่รู้ค่ะประมาทที่จะไม่รู้ต่อไป ก็ต้องอบรมความไม่ประมาทคือการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ประมาทเมื่อมีชีวิตอยู่นะคะ โดยไม่รู้ต่อไปไม่ประมาทคือรู้ว่ามีสิ่งที่ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะประมาทหรือไม่ประมาทในเมื่อรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ยังไม่รู้ แค่ประมาณแอปที่ไม่รู้จัก แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ยังไม่รู้ องอาจต้องค่อยๆ รู้เข้าใจขึ้นก็เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นแค่การที่จะถึงความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ไม่รู้เมื่อไหร่ประมาทเมื่อนั้นได้ไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    30 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ