พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 844


    ตอนที่ ๘๔๔

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.อรรณพ ทุกคนเกิดในกามภูมิอันได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษย์ และสวรรค์เป็นภพภูมิที่มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะซึ่งเป็นกาม และมีความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นประจำ แต่ความต่างกันก็อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งผู้ที่มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส มากๆ คือ เป็นผู้ที่มัวเมาในการบริโภคกามคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมากๆ บางคนถึงขั้นแสวงหามาด้วยทุจริต แสวงหาโดยไม่ชอบ มีการฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์ เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงมีการล่วงทุจริตกรรมเพราะต้องการได้ทรัพย์เร็วๆ ถ้าทำอย่างสุจริตจะช้า เพราะฉะนั้น ก็อยากได้เร็วๆ ขณะนั้นคือเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยอกุศลกรรมและมีโลภะเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นคือ แสวงหาโดยไม่ชอบธรรม โดยผลุนผลัน ในข้อความท่านกล่าวว่า "ผลุนผลัน" คือ ต้องการรวยทางลัด ต้องการรวยเร็วได้เงินเยอะๆ ผู้บริโภคกามแบบนี้ บัณฑิตย่อมติเตียนเพราะประกอบด้วยอกุศลกรรม แต่ถ้ายังมีความละอาย มีหิริโอตตัปปะก็จะเป็นผู้บริโภคกามที่แสวงหาโดยชอบอย่างนี้ก็มี แต่ความติดข้องในทรัพย์สมบัติก็มาก มากถึงขนาดขอให้ได้แต่ตัวเลข สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย แต่ตัวเองก็ตระหนี่แม้แต่กับตัวเองที่จะมาดูแลสุขภาพ อะไรที่จะเหมาะสม ที่จะสัปปายะก็ไม่ดูแล ก็เป็นผู้ที่มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอย่างมากเช่นกัน แม้อาจจะไม่ทำทุจริต แต่ตัวเองก็ยังตระหนี่ ไม่ดูแลตัวเอง เช่นนี้ก็ยังมีอยู่ คือ เป็นผู้ที่ไม่เลี้ยงตัวให้สุขสบายตามสมควร ทั้งที่พระพุทธศาสนาไม่ได้ให้อยู่อย่างลำบากลำบน ทุกข์ยาก เจ็บป่วย ไม่สะอาด แต่ให้ดูแลสิ่งที่เหมาะที่ควรอย่างที่ท่านใช้คำว่า "สัปปายะ" ด้วย ก็เป็น ๒ ประการแล้ว และต่อไปก็คือ ถ้าแม้แสวงหาโดยชอบ และรู้จักดูแลตัวเองแต่ไม่แบ่งปันเลยมีไหม ผู้ที่บริโภคกามที่แม้มีความละอายที่จะไม่เบียนเบียนคนอื่น แต่เอาทรัพย์มาเพื่อดูแลตัวเอง ปรนเปรอตัวเองเท่านั้น ไม่คิดที่จะแบ่งปัน หรือเจริญกุศลจากทรัพย์นั้นเลยก็มีใช่ไหม ถ้าดีกว่านั้นก็คือ หาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม ไม่คิดที่จะได้โลภทางลัด ดูแลตัวเอง และมีการแจกจ่ายช่วยเหลือ มีการเจริญกุศลดีไหม จริงๆ น่าจะมีแค่ ๓ ประเภท แต่ด้วยพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระพุทธศาสนานี้เพื่อออกจากความติดข้อง จึงมีคำกล่าวเพิ่มอีกว่า เป็นผู้ที่แสวงหาทรัพย์โดยชอบ ไม่ผลุนผลัน เป็นผู้ที่เลี้ยงตัวเองด้วยความเหมาะสมให้อัตภาพนี้เป็นไป ไม่ใช่ลำบากจนเกิน และเป็นผู้ที่เจริญกุศลโดยการให้ทาน เป็นต้น และเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก เพราะฉะนั้นแม้ยังติดข้องอยู่ในกาม แสวงหากามแต่มีกุศลเกิดที่จะแสวงหาโดยชอบ และไม่ตระหนี่จนเกินไป เลี้ยงบำรุงตัวเองตามสมควรให้อัตภาพนี้อยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญา ตามที่ท่านอาจารย์ได้เคยกล่าวบ่อยๆ ว่า "มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ" ซึ่งตรงสำหรับผู้ที่ยัง "บริโภคกาม"แต่เป็นผู้บริโภคกามที่พระองค์ท่านทรงสรรเสริญโดยสถาน ๔ คือ ๑ แสวงหาโดยชอบ ๒ ไม่ตระหนี่กับตัวเองคือ ดูแลตัวเองให้อัพภาพนี้พอเหมาะอยู่ไปได้ ประการที่ ๓ มีการเจริญกุศลจากทรัพย์สินนั้น และประการที่ ๔ อบรมสะสมปัญญาเพื่อที่จะสลัดออกจากความติดข้องในกามนั้นโดยที่สุด เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม สะสมกุศล ความเข้าใจธรรม เป็นการที่หาทรัพย์ได้โดยชอบ เลี้ยงดูตัวเอง และครอบครัวอย่างเหมาะสม แล้วทำดีและศึกษาพระธรรม คือเป็นผู้ที่สะสมปัญญาเพื่อที่จะออกจากการติดข้องในกามนี้ในที่สุด

    อ.คำปั่น สิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ยังมีโลภะ มีความติดข้องต้องการอยู่ คือ ความดี และความเข้าใจพระธรรม จะมีประเด็นต่อเนื่องอีกประเด็นหนึ่ง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงชีวิตของแต่ละคนว่า เมื่อเกิดมาแล้วแน่นอนจะต้องตาย แต่จะมีสักกี่คนที่คิดว่าตัวเองต้องตายแน่นอน เพราะว่าส่วนใหญ่มีความเพลินเพลิน มัวเมา ไม่คิดว่า ตัวเองจะต้องตาย แต่ก็มีพระพุทธพจน์ หรือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากมายในเรื่องของชีวิตของแต่ละคนว่า ในที่สุดแล้วจะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไปก็ไม่พ้นไปจากความดี และการอบรมเจริญปัญญา มีข้อความหนึ่งที่แสดงว่า สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวงในที่ทุกสถาน คือ เมตตาและการระลึกถึงความตาย ทั้งเมตตา และการระลึกถึงความตายจะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลในชีวิตประจำวันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกื้อกูลต่อการเจริญของปัญญา

    ท่านอาจารย์ บังคับให้มีเมตตาได้ไหม สิ่งที่ดีทุกอย่างบังคับให้เกิดขึ้นได้ไหม ให้มีมากๆ ด้วย เมตตาน้อยก็ไม่พอ ต้องเจริญเมตตาให้มากๆ คิดดูว่า บังคับได้ไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ ธรรมใดเป็นอย่างไรก็ทรงแสดงตามความเป็นจริงว่า ธรรมฝ่ายไม่ดีจะกลับเปลี่ยนเป็นธรรมฝ่ายดีไม่ได้ เช่น ความโกรธกับความเมตตา ทั้งๆ ที่รู้ว่า เมตตา คือ ความหวังดี ความเป็นเพื่อนพร้อมที่จะเกื้อกูล นี่คือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับในใจที่มีเมตตา คือพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่น และหวังดีตลอด

    ถ้าจะดูชีวิตของพระโพธิสัตว์ในชาติที่เป็นสุวรรรสาม แม้ว่าถูกยิงด้วยลูกศรแต่ไม่โกรธคนยิง แต่สำหรับเรายังไม่ถูกใครยิงแต่โกรธมากมายไปหมดเลย ยังไม่ทันจะมากระทบกายสักนิดเดียว มีแต่คำบ้าง อะไรบ้าง คนโน้นคิดอย่างนี้ คนนี้คิดอย่างนั้นก็แย่แล้ว แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีใจที่เป็นกุศลที่สะสมมาจริงๆ ด้วยการเห็นโทษ ระหว่างเมตตาความเป็นเพื่อนกับโทสะความโกรธ ความขุ่นเคือง ความไม่เป็นเพื่อนเลย ใครคิดว่า อย่างไหนดีกว่ากัน

    เมื่อดีแล้วให้คนอื่นเป็น หรือเราเป็นดีกว่า เขาจะเป็นหรือไม่เป็นก็เรื่องของเขาใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงแต่ละคำโดยไม่ข้าม ไม่ใช่พอได้ยินอย่างนี้ก็ขวนขวายท่อง จะได้มีเมตตามากๆ ก็ไม่ถูกต้องเลยเพราะว่ามีความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าจะระลึกถึงความตายให้มีประโยชน์จริงๆ ก็คือ มั่นใจได้ตายแน่ แต่จะช้าหรือเร็ว ตายในลักษณะไหน นอนหลับตายรู้สึกว่าทุกคนปรารถนามาก บางคนป่วยไข้นิดหน่อยเข้าโรงพยาบาลลูกหลานก็ไปดูแล พอพูดกับลูกเสร็จก็ตาย ก็ได้ใช่ไหม หรือว่าพูดเสร็จแล้วนอนหลับไปชั่วครู่แล้วไม่ตื่นอีกเลยก็ได้ แต่ว่าที่ทุกคนลืม แล้วอยากจะคิดถึงความตายว่าความตายต้องมีแน่ เพื่ออะไร เพื่อเป็นคนดีขึ้น หรือทำชั่วไปเหมือนเดิม สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดเพราะเหตุว่าคงจะไม่รู้ว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรที่เป็นเราได้เลยสักอย่างเดียว ทุกอย่างเกิดแล้วดับไปเรื่อยๆ แต่ทางไปของเหตุ คือ กุศลและอกุศลต้องต่างกัน เพราะฉะนั้นทางเดินซึ่งขณะนี้ไม่ใช่เรา กุศลจิตก็เดินไปทางหนึ่ง อกุศลจิตก็เดินอีกทางหนึ่ง เดินคนละทางใช่ไหม แล้วจะเดินทางไหนกับใคร จะเดินไปกับกุศลหรือว่าจะเดินไปกับอกุศล

    ไม่ใช่ว่าจะไม่ไป ต้องไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดง "ปฏิปทา" ทางดำเนิน ทางไปของแต่ละคนที่เกิดมาแล้วซึ่งต้องไป ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็ไป แต่ว่ายังไม่ถึงที่ ต่อเมื่อไหร่จากโลกนี้ก็ "ถึงที่" ถึงแก่กรรมที่ได้กระทำไว้ว่า กรรมไหนจะเป็นปัจจัยทำให้เกิดที่ไหน และอย่างไร เพราะฉะนั้นการคิดถึงความตายไม่ใช่ว่าคิดแล้วไม่ทำอะไร แต่รู้ว่าก่อนจะตาย คือกำลังเดินไปสู่ความตาย เพราะฉะนั้นจะไปทางไหน อย่างที่กล่าวถึง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๓ ทาง ขอให้คุณคำปั่นกล่าวถึงทาง ๓ ทางซึ่งมีอยู่ในขณะนี้ และกำลังเดินกันทั้งนั้นแต่ว่าจะไปทางไหน

    อ.คำปั่น ปฏิปทา เป็นภาษาบาลีแต่เมื่อแปลเป็นไทยคือ ทางดำเนินซึ่งมี ๓ ทางใหญ่ๆ ได้แก่ ทางที่ ๑ คือ "กามสุขัลลิกายนุโยคะ" หรือ "กามสุขัลลิกานุโยค" ซึ่งหมายถึงความเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ทำตัวเองให้พัวพันมีความสุขอยู่ในกาม อันนี้ทางที่หนึ่ง ทางที่ ๒ คือ "อัตตกิลมถานุโยคะ" หรือ "อัตตกิลมถานุโยค" ซึ่งหมายถึงการตามประกอบเนืองๆ เป็นการทำตัวเองให้ได้รับความลำบากเดือดร้อน เป็นการประพฤติปฏิบัติในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ส่วนทางที่ ๓ เป็นทางที่ควรดำเนิน คือ ทางสายกลาง ที่ไม่เข้าใกล้ทางทั้ง ๒ อย่างข้างต้น ซึ่งได้แก่ทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ เริ่มตั้งแต่การอบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ฟังเพื่อให้รู้จักคนอื่น แต่ตัวเองทุกวันนี้ไม่รู้เลยว่ากำลังเดินทางแต่ไม่รู้ว่าทางไหน เหมือนคนตาบอดก็เดินเปะปะไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังอยู่ในทางไหน เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะได้ทราบ ทุกคนเป็น "กามโภคี" บริโภคกาม แล้วเพลิดเพลินในกามมากน้อยแค่ไหน ตามระดับขั้นของความติดข้อง ซึ่งทุกคนที่ยังไม่ได้ดับความยินดีติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ซึ่งใกล้ต่อการดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อยังไม่ใช่บุคคลท่านนั้นจากการตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมตามลำดับจากพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอนาคามีบุคคล เป็นพระอรหันต์ มีแน่นอน เป็นไปได้ด้วย แต่ไกลมาก และต้องเป็นทางถูกด้วย ถ้าทางผิดไม่มีทางเลยที่จะได้ไปสู่ทางที่จะดับกิเลสเพราะเหตุว่า ไม่มีปัญญา

    เพระฉะนั้นก่อนอื่นรู้จักตัวเองว่า เราเป็นใคร และระดับไหนด้วย ยังติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นธรรมดาของคนที่ยังมีเหตุที่จะให้ยินดีพอใจ การที่จะให้หมดกิเลสไปโดยไม่มีเหตุที่สมควร คือ ไม่มีปัญญา เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นธรรมต้องละเอียดมาก ต้องรู้ว่าปัญญาคืออะไร กำลังอยู่ทางไหน ตอนนี้อยู่ในทางกำลังบริโภคกามอยู่ใช่ไหม แต่ก็มีการสะสมที่จะรู้อันตรายของทางนี้ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตแล้วผลของการกระทำด้วยกำลังของความติดข้องซึ่งเป็นทุจริตกรรม ก็จะไปสู่อบายภูมิ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยประมวล แต่นรกมีหลายขุม ภพภูมิต่างๆ มีมากทีเดียว ไม่มีใครพาใครไปได้สักคนนอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว เหมือนมาสู่โลกนี้ น่าอัศจรรย์ว่า ใครพามา ญาติพี่น้องคนไหนพามาหรือเปล่า เพื่อนฝูงคนไหนบอกหนทางและชี้ให้มา หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วฉันใด ขณะนี้ก็มีกรรมที่ได้กระทำแล้ว และกำลังกระทำ และจะกระทำต่อไปด้วย ซึ่งเป็นทางที่จะทำให้เมื่อถึงเวลาก็นำไปสู่ทางที่ได้เดินไป

    เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดที่จะรู้จักตัวเองว่า ขณะนี้แม้เป็นผู้บริโภคกามแต่ก็ยังเห็นโทษของความไม่รู้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมปรากฏ ถ้าเกิดไม่มีใครชี้แจง ไม่มีใครแสดงเหตุผลก็จนใจจะไปรู้เองไม่ได้ แต่เมื่อมีผู้ที่ทรงตรัสรู้แม้นานมาแล้วแต่วาจาสัจจะเป็นความจริงทุกกาลสมัย เมื่อเป็นวาจาสัจจะคือ คำพูดเรื่องความจริง สิ่งที่จริงที่ได้พูดตรงเพราะได้รู้ความจริงนั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้อาศัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง อาศัยพระธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้วเป็นที่พึ่ง เพื่อถึงการที่จะเป็นพระอริยบุคคล เพื่อการดับกิเลส มิฉะนั้นแล้วจะมีคำถามว่าทำไมอีก "เข้าใจทำไม เดินทำไม ไปไหน เต็มไปด้วยคำถามเพราะไม่รู้ทั้งนั้น แต่เวลานี้ให้รู้ว่าแม้ผู้ที่บริโภคกามก็ยังมีผู้ที่ประพฤติดีและประพฤติชั่ว ทุกคนยังต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วติดข้อง เกิดโลภะความพึงพอใจบ้าง หรือว่าขุ่นเคืองใจเป็นโทสะบ้าง แต่ยังไม่ได้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นอย่างนี้่ไปเรื่อยๆ แต่ก็มีผู้ที่แม้ว่าจะมีโลภะ โทสะ มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ก็ประพฤติดี แสวงหาสมบัติ หรือว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะในทางที่ไม่ได้เบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้กระทำทุจริตกรรมก็ไม่ได้เดินทางไปสู่อบายภูมิ แต่ถ้าทำกรรมแล้วถึงเวลาที่กรรมนั้นให้ผลย่อมเหมือนชาตินี้ กุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำไว้เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ หรือในชาติก่อน หรือว่าแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็ยังสามารถทำให้เกิดได้ในภพภูมินี้ ใครรู้บ้างว่ามาจากไหน ใครรู้บ้างว่าทำกรรมอะไรมาถึงได้มาเกิดเป็นคนนี้ อย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ซึ่งความจริงไม่ใช่ใครเลยนอกจาก "ธาตุ" ที่สะสมสือต่อมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจ จะมั่นคงอยู่ในทางคุณธรรมเพื่อที่จะได้ไม่ไปสู่อบายภูมิ โดยที่ใครพาไปไม่ได้นอกจากการกระทำของตนเอง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจและไม่เห็นโทษภัย ความติดข้องก็สามารถที่จะทำให้เกิดทุจริต เพราะฉะนั้นทางไปของผู้บริโภคกามอีกทางหนึ่งคือ ไปสู่อบายภูมิ แล้วใครจะรับประกันได้ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล กรรมที่ได้กระทำแล้วยังสามารถให้ผลได้ ถึงแม้ว่าไม่ให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่เมื่อเกิดแล้วยังตามมาให้ผลภายหลังได้ใครเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง วันก่อนอาจจะมี เดี๋ยวนี้อาจจะไม่มี แต่พรุ่งนี้อาจจะมีได้เพราะว่า มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ใครอยากเจ็บป่วยบ้าง ไม่มีใครต้องการ แต่เมื่อเหตุมีผลย่อมต้องมี

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องละเอียด จากการที่เป็นผู้ที่บริโภคกามด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่สะสมการที่เห็นโทษของกาม เห็นประโยชน์ของความที่สามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏได้ เพราะฉะนั้นฟังพระธรรม จะอ่านก็ได้ จะสนทนาธรรมก็ได้ เหมือนขณะนี้ เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีโดยที่ไม่หวังเลยว่าเมื่อไหร่จะดับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสดับไม่ได้ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะพ้นภาวะของผู้ที่ตาบอด เดินเปะปะไม่รู้ว่ามีหลุมมีบ่อที่ไหน เดี๋ยวเป็นทุจริต เดี๋ยวเป็นสุจริต นั่นคือความไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของความรู้ย่อมนำไปสู่หนทางที่จากคนที่ไม่สามารถที่จะรู้ไปได้ กำลังเป็นอย่างนี้เพราะไม่เห็นใครที่ไปทรมานตัวเป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เพราะเหตุว่า เป็นความเข้าใจผิด คิดว่ากิเลสจะหมดได้ด้วยการทรมาน จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อขณะที่ทรมานก็เป็นเราทั้งนั้น ตราบใดที่เป็นเราคือไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะกล่าวถึงขณะนี้เดี๋ยวนี้มีมากมาย จึงต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ และรู้ว่าถ้าเป็นธรรมจริงๆ คือ กล่าวถึงสิ่งที่มีในขณะนี้ละเอียดขึ้น ให้เข้าใจถูกต้องขึ้นว่า เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วจึงปรากฏ และเกิดแล้วจึงเป็นอย่างนี้ตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่แต่ละคนเกิดมาแล้วประพฤติอย่างนี้ทุกวันๆ แต่ว่าแต่ละคนต่างกันเพราะว่า ต่างย่อมประพฤติตามที่เป็นไป ขณะนี้คือความเป็นไป จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะเอื้อมมือไปตักอาหารที่ชอบ ฯลฯ ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยให้เกิดขึ้นแล้วดับไป รู้ดีกว่าไม่รู้ หรือเปล่า

    อ.คำปั่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคุณของกุศลธรรม โทษของอกุศลธรรมไว้มากมายทีเดียว แต่มีจำนวนไม่น้อยเลยที่มีการกระทำทุจริตกรรม กระทำบาปกรรม ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด

    อ.ธิดารัตน์ ทำบาป ใช่ไหม ทำบาปในการที่จะล่วงศีล หรือว่าทำบาป เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ หรือว่าประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย มีอกุศลเป็นปัจจัยอยู่แล้ว และจริงๆ แล้วในชีวิตประจำวันผู้ที่เป็นปุถุชน หมายถึง ผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้ดับกิเลส มีอกุศลหรือกิเลสที่สะสมมาจนเป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส และเมื่อกิเลสเหล่านั้นมีกำลังมาก ย่อมเป็นปัจจัยให้ล่วงศีลทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เป็นต้น และถึงแม้ผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่แต่รู้ว่ามีกิเลส จัดเป็นปุถุชนที่ดีขึ้นมาเล็กน้อย เพราะยังรู้ว่าตัวเองมีกิเลส และถ้าเห็นโทษของอกุศลธรรมเหล่านี้ มีการศึกษาธรรมเพื่อที่จะขัดเกลาอกุศลธรรม ก็ค่อยๆ เป็น "กัลญาณปุถุชน" คือ ปุถุชนที่มีธรรมอันงามเพิ่มขึ้นๆ นี่คือประโยชน์สำหรับผู้ที่เห็นโทษของอกุศลธรรมทั้งหลาย และตามความเป็นจริงอกุศลธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่สะสมมาเนิ่นนานซึ่งมีกิเลสหลากหลายระดับ

    กิเลสที่สะสมนอนเนื่องในจิตซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงานเลยเรียกว่า "อนุสัยกิเลส" สิ่งที่สะสมมาไม่ใช่เพียงชาตินี้ อดีตนานแสนนาน มีมาและเมื่อไหร่ที่จะรู้ว่ามีอกุศลเหล่านั้น คือ ขณะที่มีกิเลสที่สะสมแล้วเป็นปัจจัยให้โลภะเกิดในชีวิตประจำวัน โทสะเกิดในชีวิตประจำวัน จะทราบได้เลยว่าเรามีพืชเชื้อของกิเลสเหล่านี้สะสมมาเนิ่นนานที่จะทำให้อกุศลเหล่านี้เกิดขึ้นมีกำลังมากน้อยแค่ไหน ก็ตามการสะสม และประโยชน์ คือการสะสมกุศลหรือปัญญาที่จะค่อยๆ ขัดเกลาอกุศล


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    3 พ.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ