ปกิณณกธรรม ตอนที่ 355


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๕๕

    สนทนาธรรม ที่ จ.เชียงใหม่

    พ.ศ. ๒๕๓๘


    ท่านอาจารย์ แต่ว่าเป็นเรื่องที่ว่าเมื่อฟังแล้ว มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม หรือว่ารู้จักธรรม ต้องใช้คำว่า รู้จักธรรม เพราะว่ามีธรรมปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม ไม่รู้ว่าป็นธรรม เพราะฉะนั้น จะชื่อว่ารู้จักไม่ได้ แต่ว่าฟังธรรมเพื่อรู้จัก เพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับภาษาบาลี เกี่ยวกับว่าจะฟังโดยภาษาไหนก็ตาม สามารถที่จะเข้าใจลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตนไหม

    ผู้ฟัง ผมจะพูดภาษาพื้นๆ ว่า เห็นทางตาเป็นของจริงที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ ของจริงที่กำลังปรากฏทางตา ต้องยอมรับก่อนว่ากำลังนี้ ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ อาจจะยอมรับโดยฟังชื่อตามที่คุณหมอบอกว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ยอมรับเป็นชื่อไปเลยว่า นี่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ทีนี้จะไม่ให้ยอมรับโดยชื่อ

    ท่านอาจารย์ คือทุกคนที่ฟังธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วรับเลยว่า จริง รับเลยว่าเป็นอย่างนั้น แต่ต้องเกิดจากปัญญาของตัวเองที่ต้องพิจารณาทุกอย่างที่ได้ฟัง ทุกคำ ต้องพิจารณาแล้วถึงจะเข้าใจธรรมได้ อย่างนามธรรม บอกว่าเป็นสภาพรู้ เขาก็รับเป็นเรื่อง เป็นคำว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย เขาก็ยอมรับว่า รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย เขารับโดยคำพูด โดยคำอธิบาย แต่ความจริงที่เขาเข้าใจจากคำที่เขาได้ยินมากน้อยแค่ไหน ต้องอาศัยการพิจารณา แล้วยังต้องอาศัยสติที่ระลึก อย่างที่พระคุณเจ้าถามว่า เห็นไหม ก็เป็นการเตือนให้คนนั้นจะได้พิจารณาว่า เวลานี้เขาเห็น มีเห็น แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็น คือสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าเราจะให้คำว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาคืออะไร ก็สิ่งที่กำลังถูกเห็นในขณะนี้ หรือเห็นอะไร สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเห็นอย่างอื่นไม่ได้ จะไปเห็นสิ่งที่ปรากฏทางหู ทางจมูก หรือทางกายไม่ได้ ขณะที่เห็นก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ถ. ...

    ท่านอาจารย์ ถ้าเขาฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจ หรือเขาอยากจะรู้ขึ้น เขาก็ต้องค่อยๆ ศึกษา ถ้าเพียงแค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา มีแค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บอกแค่นี้ ก็ไม่ต้องแสดงอะไร แต่เพราะเหตุว่าแค่นี้ไม่พอที่จะละกิเลส ที่จะเข้าใจ ก็ต้องอธิบายอีกมากมาย ก็แยกไปเป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องของธรรมเป็นเรื่องจริง และให้ทราบว่า เห็นมีจริงๆ แต่ทุกคนก็ยอมรับ แค่เห็นมีจริง แต่ที่จะให้รู้ว่า เห็นเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็เป็นสภาพรู้ด้วย อันนี้ เขาก็ต้องฟังจนกระทั่งเขาสามารถจะเข้าใจในความหมายที่ใช้ว่า เป็นสภาพรู้ รู้หมายความว่า รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น รู้อันนี้คือรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่รู้เรื่องราวไม่ใช่รู้อย่างอื่น ก็ต้องค่อยๆ ขยายไปๆ จนกว่าจะเป็นความเข้าใจในเรื่องสิ่งที่ปรากฏ และเข้าใจในสภาพเห็น แล้วก็ยังจะต้องฟังอีกมากมายกว่าจะมีการระลึกแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะว่าถ้าพูดเท่านี้เข้าใจหมด ก็เป็นพระอรหันต์เร็ว

    ผู้ฟัง เรื่องจิตที่ว่าเป็นปรมัตถ์ เป็นบัญญัติ อาจารย์ก็สอนว่า อย่างกำลังเห็นนี้ บอกว่าเห็นคน ขณะนั้นจิตเห็นมีปรมัตถธรรม ซึ่งคือสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่หลังจากจิตเห็นดับไปแล้ว จะมีจิตคิดถึงรูปร่างสันฐานของสิ่งที่เห็น แม้ว่าไม่เรียกชื่อเลย ไม่เรียกชื่อว่าคน เรียกชื่อว่าอะไร แต่เมื่อมีการรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความริงแล้วไม่มีสิ่งนั้น มีแต่สีสันวัณณะ

    ท่านอาจารย์ ที่มีการรวม ไม่ใช่ให้หมายความว่ามาคิดทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง รวมอยู่แล้วไม่ได้แยก จึงปรากฏว่าเป็นคน หรือเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกอย่างที่เวลานี้ เพราะว่าไม่ได้รู้ลักษณะ

    ผู้ฟัง สิ่งที่เป็นคิ้ว เป็นตา รวมกันอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ลักษณะที่ต่างกัน เพราะว่าทุกอย่างเกิดรวมกัน อย่างนี้ คือการที่จะบอกว่า ทางตาเห็น แล้วก็เห็นแว่นตา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยนัยเดียวกันที่ว่า หลังจากเห็น ซึ่งต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาก่อน เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะบอกได้ไหมว่าเห็นถ้วยแก้ว ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะบอกได้ไหมว่า เห็นแว่นตา บอกไม่ได้ แต่ที่บอกว่า เห็นแว่นตา หมายความว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาก่อน ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะไม่มีแว่นตาให้เห็น แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วจึงบอกว่า เห็นแว่นตา มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว จึงจะบอกว่าเห็นถ้วยแก้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาก่อน หลังจากนั้นแล้วคิด ทุกทวารต่อกัน ได้ยินเสียงเขาพูดว่าอะไร ถ้าไม่มีเสียงปรากฏ จะรู้ไหมว่าเขาพูดว่าอะไร ก็ต้องมีเสียงปรากฏ แล้วจึงคิดถึงคำ ว่าเสียงสูงเสียงต่ำนั้นคืออะไร ความหมายว่าอะไร นี่ทางหู ทางจมูกก็เหมือนกัน กลิ่นอะไร กลิ่นแกงส้ม จะบอกได้ไหมว่า เป็นแกงส้ม ถ้ากลิ่นไม่ปรากฏ แต่เมื่อกลิ่นปรากฏแล้ว จึงบอกได้ว่า เป็นกลิ่นแกงส้ม

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรที่กระทบตา หลังจากที่กระทบตาแล้วคิด ผ่านไปถึงทางใจเลย หลังจากที่ได้ยินเสียงทางหูแล้วก็คิด หลังจากที่ได้กลิ่นแล้วก็คิด หลังจากที่ลิ้มรสแล้วก็คิด หลังจากที่กระทบสัมผัสแล้วก็คิด

    นี่แสดงให้เห็นว่าถ้ารู้จักโลก ๖ โลกจริงๆ จะแยกได้แลยว่า แท้ที่จริงแล้วโลกของความคิดมีอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่กระทบสัมผัสใดๆ ทั้งสิ้น แต่จิตมี แสดงให้เห็นว่า เราจะรู้ลักษณะสภาพของนามธรรมล้วนๆ ไม่ปะปนกับรูปธรรม เพราะเหตุว่าเวลาที่ไม่มีรูปธรรม หรือจิตไม่ได้รู้รูปธรม แต่จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ มี เพราะฉะนั้น จิตคิดก็เป็นจิตประเภทหนึ่ง จิตที่ไม่ได้คิด นอนหลับสนิท ก็เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น มีจิตต่างๆ กันหลายชนิด แต่ที่เราว่าเป็นโลกของสัตว์ โลกของบุคคล ให้ทราบว่า เป็นโลกของความคิดนึก แสดงให้เห็นว่าจิตซึ่งเกิดดับทีละ หนึ่งขณะ เวลาที่ยังไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาปรากฏกระทบ จิตก็ทำหน้าที่ของจิตไป แล้วแต่ว่าจะคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือจะไม่คิด คือ นอนหลับสนิท หรือว่าขณะนั้นไม่มีอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่พอมีสิ่งปรากฏทางตา ถ้ารู้ความจริงถึงความหมายของปริตตธรรม คือสิ่งที่ปรากฏสั้นมาก ขณะนี้ถ้าสติไม่ระลึกก็หมดแล้ว ดับแล้ว แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาใหม่เกิดสืบต่อ เร็วจนกระทั่งไม่ปรากฏว่าเกิดดับ เสียงก็เหมือนกัน ทุกอย่างที่มีอายุ ที่เกิดมาสั้นแสนสั้น แต่ที่สั้นที่สุดคือ จิต แต่ว่ารูปก็สั้นกว่าที่เราคิดมากมายเหลือเกิน เพราะเราคิดว่ารูป ที่บอกว่าอายุมากกว่าจิต ๑๗ ขณะ คงจะนาน แต่ความจริงถ้าคิดถึงจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยินขณะนี้ว่าเกินกว่า ๑๗ ขณะที่ห่างกัน เพราะฉะนั้น รูปดับไปแล้ว คิดดูทั้งๆ ที่ต่างตากับทางหู เหมือนไม่ดับ เพราะฉะนั้น รูปก็ต้องดับเร็วมาก เวลานี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคอย ไม่ต้องคิดว่า ไม่ทัน แต่ให้รู้ความจริงของโลก ๖ โลกซึ่งต่างกันว่า โลกทางตากำลังเห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ นี่โลกหนึ่ง แล้วก็เวลาที่รู้คือคิดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นึกถึงอะไรก็เป็นโลกของความคิดนึก เพราะฉะนั้น แต่ละคนอยู่ในโลกแต่ละใบ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แต่ในโลกใบนี้เต็มไปด้วยคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง เพราะคิด แต่ถ้าไม่มีคิดเลย มีอะไรไหม มีเสื้อ มีผ้า มีทรัพย์สมบัติ มีเพื่อนมีฝูง มีอะไรไหม ถ้าไม่คิด ไม่มี เพราะฉะนั้น อยู่ที่จิต เป็นความคิดนึกต่างหากว่า มีเรา มีคน มีสัตว์ มีเพื่อน มีสมบัติ มีบ้าน มีศาลา มีวัด มีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะจิตคิด แต่ถ้าสามารถจะรู้ความจริง จริงๆ ว่า ทางตาชั่วขณะที่เห็นแล้วดับ แล้วก็คิด เพราะฉะนั้น อย่างเห็นคุณหมอเพิ่ม พอเห็นปุ๊บ สัญญาความจำว่าเป็นหมอเพิ่ม แต่ถามจี๊ดสิว่า หมอเพิ่มใส่กางเกงสีอะไร ใส่เสื้อสีอะไร อาจจะตอบไม่ได้ เพราะว่าเอาเรื่องราวมาจากสิ่งที่ปรากฏทันที คุณนีน่าตอบว่า ไม่รู้เลยคุณโลดดาเวจใส่เสื้อสีอะไร นั่งคุยกันทั้งวัน รู้ด้วยว่าเป็นคุณโลดดาเวจ แต่ไม่รู้ ถามว่าคุณโลดดาเวจใส่เสื้อสีอะไร บอกไม่ทราบ แสดงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามีปรากฏให้เราเกิดคิดนึกเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เราเอาความคิดนึกจากสิ่งที่ปรากฏทางตามาเป็นคนเป็นสัตว์ แล้วทรงจำไว้แน่นหนามาก เพราะฉะนั้น จึงเกิดสัญญา ความจำ ที่เป็นอัตตสัญญา เพราะเราจำไว้แม่นว่ามีคน มีสัตว์ มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่า ที่ว่ามีเพราะจิตคิด ถ้าจิตไม่คิดแล้วไม่มีเลย เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับ เสียงที่ปรากฏทางหูก็ดับ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ ดับหมดเลย ไม่เหลืออะไร ที่ว่า “กำมือเปล่า” คือ ชั่วขณะที่มีปรากฏ แล้วหมดเลย ไม่มีอะไรอีก มีเฉพาะชั่วที่เกิดปรากฏแล้วดับ ดับแล้วก็ดับเลย เพราะฉะนั้น ความว่างเปล่าของจิต คือ แต่ละขณะซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครจะไปหยุดยั้งการเกิดดับสืบต่อของจิตได้ แต่ให้ทราบว่า ทั้งหมดที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นอะไรต่างๆ คือจิตที่คิดทั้งหมด จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง เดี๋ยวเห็นแล้วก็คิด เดี๋ยวได้ยินแล้วก็คิด เพราะฉะนั้น โลกของความคิด เป็นโลกที่ทำให้เกิดมีสัตว์ มีบุคคล มีตัวตน มีความเข้าใจที่เป็นอัตตสัญญาเกิดขึ้น จนกว่าความรู้จะค่อยๆ เกิด และ อนัตตสัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้น แต่ต้องรู้ว่า มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีความทรงจำในสิ่งที่รวมกัน แต่ไม่ใช่ว่าเราไปเอามารวม สิ่งนั้นมันรวมอยู่ มันไม่ได้แยกออกเป็นแต่ละลักษณะ แว่นตามันรวมกันเป็นแว่นตา ถ้าไม่รวมกันมันจะเป็นแว่นตาไหม

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ผู้ฟัง อย่างแว่นตา สมมติว่าเอาเด็กที่มันนั่งได้ แต่ยังพูดไม่ได้ ให้มองไปที่สิ่งเดียวที่เรามองอยู่ ที่แว่นตานี้ เราก็ไม่เคยบอกเด็กคนนั้นเลยว่า เขาเรียกแว่นตา แล้วเราก็เห็น แต่เราเห็นทันที เรารู้ว่าเป็นแว่นตาทันที แต่เด็กที่นั่งด้วยกัน เขาก็เห็นอย่างนั้น คำว่าแว่นตาไม่ปรากฏอยู่ในความรู้สึกของเด็กนั้นเลย

    ผู้ฟัง เขาไม่รู้จักชื่อ

    ผู้ฟัง เขาไม่รู้จักชื่อ เพราะฉะนั้น ที่เราเห็นทันที เห็นเป็นแว่นตา เพราะเรารู้จักชื่อ ทีนี้ถ้าเผื่อเราไปที่ เดี๋ยวนี้มันมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มากมายที่เราไม่รู้จัก เราก็เห็น ชื่อต่างๆ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมา หรือไม่มีใครสอนเราเลยว่า นี่ เรียกอะไร นี่เรียกอะไร ชื่อต่างๆ แล้วจะไม่ปรากฏเลย เราไปเห็น อย่างดีก็สงสัย นี้มันอะไร แต่เราไม่รู้ แต่พวกเจ้าหน้าที่เขามาทันที เห็นทันที ความรู้สึกว่าเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งก็ปรากฏในทันทีเลย

    ผู้ฟัง สิ่งที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้นานแล้ว แล้วก็ยังเป็นสิ่งที่จำ คิดว่าดีที่สุดเลย ท่านอาจารย์เคยพูดบอกว่า ทุกคนมีทรัพย์สมบัติมาก บางคนอาจจะมีแหวนเพชร มีสร้อยคอ มีของที่เป็นชาวโลกเขาบอกว่าเป็นของมีค่า แล้วท่านอาจารย์ก็บอกว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นของใครสักคน สิ่งที่ท่านอาจารย์พูดคำนี้ ทีแรกผมไม่ยอมรับเลย บอกว่าจะเป็นของคนนั้นจริงๆ ได้อย่างไร แต่แท้ที่จริงเป็นของจักขุวิญญาณจิต เป็นสิ่งที่ต้องฟังแล้วต้องพิจารณา อยากจะให้ท่านอาจารย์ขยายความให้กว้างขวางอีกหน่อย ที่ว่าทำไม ถึงว่าไม่ใช่เป็นของๆ เรา ในเมื่อมันอยู่ติดกับตัวเรา ใส่แหวน ใส่สร้อยคออย่างนี้ เราเป็นผู้ซื้อมา

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ปากกาคุณศุกลอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ถ้าถามอย่างนี้ก็ต้องคลำดูก่อน มันอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ

    ท่านอาจารย์ ยังอยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ยังอยู่

    ท่านอาจารย์ แต่อาจจะไม่อยู่ก็ได้ ใช่ไหม แต่ยังจำว่ายังอยู่ที่นั่น

    ผู้ฟัง ตอนนี้ยังอยู่ แล้วก็ยังอยู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าสมมติว่าไม่อยู่ แต่คุณศุกลจำได้ว่าอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่อาจจะไม่อยู่ก็ได้ แต่ยังมีความจำว่าอยู่ที่นั่นได้ เหมือนกับของๆ เราซึ่งหายไปแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าหายไป เราก็ยังคิดว่ายังอยู่ ยังเป็นของเราอยู่ แท้ที่จริงไม่อยู่ คนที่ถูกตัดขา เขาเผลอ เขาคิดว่าเขายังมีขา เพราะว่าความจำว่าเขายังมีขาอยู่ แล้วพอเขาถูกตัดไป เขาไม่คุ้นเคยกับความจำใหม่ว่าเขาไม่มีขา เขายังคิดว่าเขายังมีขาอยู่ นี่คือสัญญา ความจำ แม้แต่สิ่งที่ไม่มีก็จำได้คิดว่ามี

    แสดงให้เห็นว่า เรื่องของการที่ไม่รู้สภาพธรรมว่า ที่ว่าว่างเปล่า ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ดับแล้วไม่มีเลย จะไปหาอีกที่ไหนก็ไม่มีทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ที่เรากำลังเห็น หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วปรากฏแล้วหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือใจก็ตามแต่ ที่ว่ามีเพราะเกิด แต่ว่ามีสั้นมากแล้วก็ดับ ดับแล้วก็ดับหมดไปเลย แต่เมื่อไม่รู้ความจริงอันนี้ ก็เหมือนกับว่า สิ่งนั้นยังมีอยู่ตลอดไป แต่ความจริงแม้แต่นาฬิกาที่ข้อมือ เวลาที่กระทบสัมผัสแข็ง แข็งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฏลักษณะที่แข็งไม่ได้เลย แสดงว่าสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วดับ แล้วจะไม่มีสิ่งนั้นอีก แต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นทยอยกันเกิด แล้วก็ทยอยกันดับไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น กระทบใหม่ ก็เหมือนกับว่าสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว แต่กระทบใหม่ หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดใหม่แล้วดับ แล้วก็เกิดใหม่แล้วดับ เพราะว่าไม่ประจักษ์ความจริงอันนี้ ก็รวมกันเป็นวัตถุที่เที่ยงอยู่ตลอด ไม่ประจักษ์ความเกิดดับ

    ถ้าเราเป็นผู้ที่ต้องการที่จะรู้สัจจะ สัจจะคือความจริง เราจะไปแสวงหาความจริงตรงไหน ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่าเราไม่รู้ แล้วเราควรจะรู้ไหม ในเมื่อเราเกิดมาเราก็เห็น แต่เราก็ไม่รู้ความจริงของเห็น เราเกิดมาเราก็ได้ยิน แต่เราก็ไม่รู้ความจริงของได้ยิน ข้อสำคัญคือไม่รู้จักตัวเองเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ยังไม่ใช่รู้ความจริง ที่เห็นกัน ทุกคนก็เห็น ยังไม่ใช่เป็นความจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีการเห็น หรือความรู้ที่เรียกว่า ๓ อย่าง คือ เห็นที่เป็นวิญญาณหรือจิตอย่างหนึ่งเห็นที่เป็นสัญญาหรือความจำอย่างหนึ่ง แล้วเห็นที่เป็นปัญญาอีกอย่างหนึ่ง ต่างกัน ถ้าเห็นธรรมดาอย่างนี้เป็นจิตชนิดต่างๆ ประเภทต่างๆ หรือใช้คำว่า “วิญญาณ” ก็ได้ ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่ผี แต่ว่าวิญญาณหรือจิต เป็นความหมายอย่างเดียวกัน จะใช้คำว่า วิญญาณก็ได มโนก็ได้ มนัสก็ได้ หทย บัณฑระได้ทั้งนั้น หมายความถึง นามธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ลืมคำที่เราได้ยิน แต่ละคำ อย่างเราได้ยินคำว่าธรรม เราได้ยินคำว่าปรมัตถธรรม เราได้ยินคำว่า นามธรรม เราได้ยินคำว่า รูปธรรม ไม่ต้องไปจด หรือไปคิดอะไรเลย ที่มีอยู่แค่นี้ พยายามเข้าใจให้จริงๆ ว่า ขณะไหนเป็นนามธรรม ขณะไหนเป็นรูปธรรม แล้วเราก็จะก้าวต่อไปด้วยความเข้าใจของเราเอง ซึ่งไม่ใช่อาศัยกระดาษ ไม่ใช่อาศัยตำรา ถ้าเราไปจด แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร แต่ว่าวันนี้เราเข้าใจแล้วว่า มีธาตุต่างกัน ๒ อย่าง อย่าลืม ธาตุหนึ่งก็เป็นธาตุที่ไม่รู้อะไรเลย แข็ง ใครจะไปกระทบสัมผัส จะเอาอะไรไปวางทับ แข็งก็ไม่รู้ แล้วมีสภาพที่รู้แข็ง พอกระทบสัมผัสก็รู้ว่าสิ่งนี้แข็ง เพราะฉะนั้น สภาพรู้ หรือธาตุรู้นั้นก็เป็นนามธาตุ นี้คือความรู้ธรรมดาทั่วไป เมื่อจิตหรือวิญญาณมีอยู่ที่ใดก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ในขณะนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าสิ่งที่ไม่รู้อะไร เป็นสิ่งที่มีจริง ทุกคนยอมรับ อย่างแข็ง มีไหม กระทบสัมผัสต้นไม้ เราเรียกว่าต้นไม้ แต่จริงๆ แล้วแข็งปรากฏ กระทบสัมผัสช้อน จริงๆ แล้วแข็งปรากฏ ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะมีลักษณะที่แข็งปรากฏ เมื่อแข็งเป็นรูปธาตุ ไม่รู้อะไรเลย แต่นามธาตุมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นขณะใด ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนั้น นามธาตุจะรู้อะไร ในเมื่อมีรูปธาตุปรากฏ เพราะฉะนั้น นามธาตุก็รู้รูปธาตุนั่นเอง คือ ทางตา นามธาตุก็คือกำลังเห็นรูปธาตุที่ปรากฏ ทางหู นามธาตุก็กำลังได้ยินเสียงรูปธาตุที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น นามธาตุจึงรู้รูปธาตุ ที่รู้ว่ามีรูปต่างๆ มากมายในขณะนี้ก็เพราะมีนามธาตุ ใช้คำว่า นามธาตุก็ได้ ใช้คำว่าจิตก็ได้ แต่ต่อไปจะรู้ว่า นามธาตุไม่ใช่มีแต่จิตอย่างเดียว ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นนามธาตุที่เกิดพร้อมกันอีกอย่างหนึ่ง คือ เจตสิก

    ผู้ฟัง รู้เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน ประโยชน์มันอยู่ตรงไหน เรื่องแข็งอย่างนี้ ประโยชน์มันอยู่ตรงไหน มันยากอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าบอกว่ารู้จักตัวเอง ชักสนใจขึ้นมาหน่อยไหม

    ผู้ฟัง อย่างนี้สนใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ยังกว้างออกไปอีก รู้จักโลกหมดเลยทุกโลก ทุกจักรวาล

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนี้ยิ่งสนใจมาก แต่ถ้าบอกมาศึกษาเรื่องแข็ง เรื่องอ่อนนี้ไม่ไหว

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่ศึกษาเรื่องนี้ จะไม่ทราบเลยว่า ยังไม่รู้จักโลก ต่อเมื่อรู้ตรงนี้เมื่อไร ชื่อว่ารู้จักโลกเมื่อนั้น ขณะนี้กำลังเห็นเป็นคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นตอนนี้เห็นด้วยตา เห็น

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ถามว่าเห็นด้วยอะไร ขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นด้วย

    ท่านอาจารย์ พร้อมกันหรือ นี่คือความเข้าใจผิด พร้อมกันไม่ได้เลย คิดโดยไม่เห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นไม่ใช่คิดแล้ว

    ผู้ฟัง เมื่อกี้ตอบในแง่ของคำจำกัดความ

    ท่านอาจารย์ ตามความเป็นจริง เห็นไม่ใช่คิด เห็นคือเห็น คิดคือคิด

    ผู้ฟัง เห็น คือเห็นด้วยตา แต่เห็นอีกอย่างหนึ่ง คือการเห็นในใจ

    ท่านอาจารย์ เห็นคือเห็น คิดคือคิด ได้ยินกับเห็น เหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ถ้าอยู่ในคำจำกัดความที่ตรงตัว ก็ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ ความจริงไม่เหมือน ไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่ใช่ขณะเดียวกัน แต่เร็วมาก จนกระทั่งทำให้คิดว่า เป็นขณะที่ทั้งเห็นทั้งได้ยินด้วย นี่คือความรวดเร็วของจิตแต่ละชนิดซึ่งเกิดดับสลับกันเร็วมาก ซึ่งจิตเห็นต้องอาศัยจักขุปสาท จิตได้ยินต้องอาศัยโสตปสาท ไกลกันมากเลยจากตาไปถึงหู มีอากาศธาตุแทรกขั้นอย่างละเอียดยิบ

    จะเป็นเหตุเดียวกันที่จะทำให้ทั้งเห็น และได้ยินพร้อมกันไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าถ้าปราศจากจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสีสันวัณณะต่างๆ สิ่งที่ปรากฏ การเห็นก็เกิดไม่ได้ ต้องมีรูปนี้ สำหรับคนที่มีจักขุปสาท คือ คนตาไม่บอดเท่านั้นที่จะเห็น แต่ถ้าคนนั้นมีโสตปสาท ยังได้ยิน ถึงแม้ว่าตาบอด

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า จิตแต่ละขณะไม่ใช่ประเภทเดียวกัน เกิดดับสืบต่อห่างกันมากด้วย ถ้าเรียนจะรู้ว่า ที่ใช้คำว่า อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างจริงๆ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแต่ละอย่างจริงๆ แต่เพราะความเกิดดับสืบต่อ อย่างเร็วมาก จึงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรู้แจ้งได้ว่าเป็นธรรมแต่ละชนิดซึ่งเกิดดับจน กว่าจะได้ฟัง แล้วปัญญาเจริญขึ้นเป็นขั้นๆ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงนี้ได้

    ผู้ฟัง ฟังแล้วผมเข้าใจว่า ในขณะนี้ที่เห็นกับได้ยินนั้นเกิดพร้อมกัน แต่ว่าจากธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ แยกกันโดยเด็ดขาดเลย แต่ว่าเราศึกษาให้เข้าใจได้ว่า ธรรมแต่ละอย่าง ในขณะที่เห็นเหมือนได้ยิน มันเหมือนกับพร้อมกัน แต่ความจริงนั้นแยกโดยเด็ดขาด เราศึกษาเข้าใจได้ แต่ว่ายังคงไม่ประจักษ์ เพราะว่าผมเห็นกับได้ยินทีไร ก็มีความรู้สึกว่ามันพร้อมกันทุกที

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะยอมเห็นด้วยไหมว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วแสนเร็วจนทำให้ปรากฏ เสมือนว่าพร้อมกัน นี่คือความเร็วมาก ถ้าช้าๆ ก็รู้ว่าต่างกัน แต่เพราะเร็วที่สุด เร็วจนนับประมาณไม่ได้ว่าเร็วอย่างไร จึงทำให้ปรากฏเสมือนว่าพร้อมกัน

    ผู้ฟัง ตกลงก็สรุปได้เลยว่า วิชาเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สูงที่สุดยิ่งกว่าวิชาใดๆ ในโลก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 98
    23 มี.ค. 2567