สนทนาธรรม ตอนที่ 050


    ตอนที่ ๕๐


    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เจริญเหตุ หรือมีสติปัญญาที่สามารถรู้ถึงอดีตชาติของใครได้เลย แล้วเขายังพูดอย่างนั้น เราจะอ่านออกไหมว่าอะไรทำให้พูดอย่างนั้น ในสิ่งที่เขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ช่วยให้คนมีความเห็นผิดเฉพาะในชาตินี้ และก็ต่อๆ ไปชาติหน้าอีก แต่ว่าจะช่วยให้เขาค่อยๆ เห็นถูกขึ้น เพราะว่าชีวิตมีค่ามาก แล้วถ้าเห็นผิดเนี่ยไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว กี่ภพชาติจนกระทั่งเกิดเป็นนิครนถนาฏบุตรเกิดเป็นมักขลิโคสาลได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังเห็นผิดได้เฝ้าได้เห็นได้ฟังก็ยังเห็นผิด

    เพราะฉะนั้นความเห็นผิดนี่เป็นอันตรายที่สุด น่ากลัวที่สุด ที่เราจะกล่าวถึงโลภมูลจิตดวงนี้ก็เพราะเหตุนี้ ชี้เห็นถึงอันตรายใหญ่หลวงของความเห็นผิดซึ่งมันจะเพิ่มขึ้นเพราะเหตุว่าไม่ได้พิจารณาในเหตุในผลเพราะว่ามีความไม่รู้เป็นมูล ไม่รู้ว่านี้น้ำมันมนต์ใช่ไหมแต่เขาบอกว่าน้ำมันมนต์ก็เชื่อเพราะว่าหายโดยที่ไม่ได้พิจารณาอะไรเลย

    ผู้ฟัง ครับ แต่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เราก็อยู่ทั่วโลกเลย ทั่วโลกไม่ได้เจริญสติปัฎฐาน ทั่วโลกไม่ได้สอนเรื่องละทั่วโลก หรือว่าในประเทศไทย หรือวัดนอกประเทศไทยก็ตาม เป็นสถานที่ที่ให้คนเข้าใจพระธรรม หรือว่าเป็นสถานที่เพื่อให้คนไปทำอะไร วัดหรือพระศาสนาไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ เพราะเหตุว่าในครั้งพุทธกาลแรกเริ่มเดิมทีทีเดียวไม่มีวัด ผู้ที่มีศรัทธาฟังพระธรรมแล้ว "สละ" คำว่าสละคำเดียวรวมทุกอย่าง ว่าสามารถสละจริงๆ สละครอบครัว สละมารดาบิดาวงศาคณาญาติมิตรสหายความสนุกสนานเพลิดเพลินทางโลกทั้งหมดนี่คือความหมายของสละ สละแล้วไม่ใช่กลับมาติดใช่ไหม สละทรัพย์แล้วกลับมารับทรัพย์ได้อย่างไร นี่ผิดเลยสละคือสละ

    ชีวิตจะดำรงอยู่ได้ต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าเขาสะสมอัธยาศัยที่จะเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตที่สละอาคารบ้านเรือน เพราะว่าท่านอนาถบิณฑิกท่านเป็นพระโสดาบันท่านก็ยังเป็นพ่อค้าท่านก็ยังครองเรือน วิสาขามิคารมารดาซึ่งเป็นเอกทัคคะของฝ่ายอุบาสิกาผู้เลิศในการให้ทานท่านก็ครองเรือน ชีวิตจริงๆ สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เป็นคนตรงตามเหตุตามผลเราถึงจะเข้าถึงพระศาสนาได้ ไม่ใช่ว่าคิดว่าวัดเป็นสถานที่ที่จะเป็นพระพุทธศาสนา ไม่ใช่

    พระธรรมที่ทรงแสดงแล้วตราบใดที่มีผู้เข้าใจหมายความว่าตราบนั้นพระธรรมนั้นยังมีอยู่ แต่ถ้าถึงแม้ว่ามีพระไตรปิฏกแต่ไม่มีคนเข้าใจเลย แล้วจะกล่าวว่าบำรุงพระพุทธศาสนา บำรุงอะไร บำรุงวัด หรือบำรุงพระพุทธศาสนา ถ้าบำรุงพระศาสนาคือบำรุงคำสอนของพระผู้มีพระภาคให้แพร่หลายสำหรับคนที่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟังมากขึ้นที่จะพ้นจากความเห็นผิด เพราะว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ด้วยความไม่รู้ก็ต้องเชื่อผิดทั้งนั้น เชื่อทุกอย่างที่ผิดเชื่อน้ำมันมนต์ เชื่อมงคลตื่นข่าวเชื่ออะไรอีกตั้งหลายอย่าง แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้นี่ แสดงเหตุ และผลคือกรรม และผลของกรรมของตนเอง ให้คนเกิดความเห็นถูก เพราะว่าถ้าเชื่อกรรมแล้วต้องกระทำกุศลกรรม

    ผู้ฟัง เรียนถามว่าความเพลิดเพลินบางครั้งนี่มันก็เป็นการลดความเครียดในชีวิตประจำวันเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ติดข้อง แต่ถ้าเวลาเรามีความเพลิดเพลินรู้สึกเราก็ รู้สึกเราก็เป็นสุข

    ท่านอาจารย์ ทุกคนชอบโลภะไม่มีใครรังเกียจเลย

    ผู้ฟัง ทำไมจะต้องลดต้องลด

    ท่านอาจารย์ ทำไม่ได้ ลดไม่ได้ รู้ตามความเป็นจริง โลภะเป็นสภาพธรรมอย่าง หนึ่งจริงหรือเปล่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงหรือเปล่า เมื่อความจริงเป็นอย่างไรก็คือว่าสภาพของโลภะไม่ใช่ตัวตนไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเป็นแต่เพียงธรรมะลักษณะหนึ่ง ซึ่งต่างกับโทสะ

    ผู้ฟัง ตอนนี้ในชีวิตประจำวันก็มีความเพลิดเพลิน เราก็ พยายาม

    ท่านอาจารย์ พยายามอย่างไร เราก็ทราบวิธีพยายาม

    ผู้ฟัง คือถ้าเกิดเพลิน ก็ให้คอยมีสติอย่างนั้นได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ให้คอยมีสติก็ให้มีมีสติเสียเดี๋ยวนี้ดีกว่าตอนที่เพลิดเพลินไม่ได้หรือ ทำไมต้องไปคอยให้เพลินเสียก่อนถึงจะมีสติ

    ผู้ฟัง เวลาเพลิดเพลินนี่ตอนมีสติตอนนี้ก็อย่างรับฟังธรรมะก็เราก็เกิดมีสุข มีเพลิดเพลินอย่างนี้ จิตก็เป็นสุขก็เพลิดเพลินนี่ก็

    ท่านอาจารย์ เราติดข้องหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่ติดข้อง

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่โลภะ โลภะเป็นสภาพที่ติดข้องไม่ใช่กุศล

    ผู้ฟัง ถ้างั้นชีวิตประจำวันที่เพลิดเพลินนี่แต่ถ้าเราไม่ติดข้องก็

    ท่านอาจารย์ ไม่มีหรอกที่ไม่ติดข้อง ไม่ใช่พระอรหันต์

    ผู้ฟัง งั้นจำเป็นต้องลด

    ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรจำเป็นต้องลดทำอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ฟังธรรมะไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมะแล้วอย่างไรเราก็ยังคงเพลิดเพลินอยู่

    ผู้ฟัง ก็ให้เพลิดเพลินน้อยลงด้วย

    ท่านอาจารย์ ให้หรือไม่ให้ใครทำได้ (เราทำไม่ได้) ถ้าฟังธรรมะจริงๆ แล้วจะรู้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องทำเป็นเรื่องเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมมะ แค่เข้าใจให้ถูกว่าเป็นธรรมะ ทั้งหมดนี่เป็นธรรมะ

    ผู้ฟัง ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเกิดเพลิดเพลินก็ปล่อยให้เพลิดเพลินไป

    ท่านอาจารย์ ใครปล่อย

    ผู้ฟัง จิต

    ท่านอาจารย์ ปล่อยได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็คอนโทรลไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือไม่ได้รู้ว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่รู้ว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตาจะไม่พูดคำนี้เลยว่าจะปล่อย หรือไม่ปล่อยเพราะเห็นว่าการฟังธรรมะเพื่อให้เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ซึ้งลงไปจริงๆ คือทุกขณะเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไม่ใช่ตัวตน นี่คือความเห็นถูกไม่ใช่ให้ไปทำอะไร เพราะว่าทำไม่ได้อย่างไรก็ทำไม่ได้ละโลภะก็ละไม่ได้ แต่ปัญญาเจริญได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้นได้ โลภะคือโลภะ สนุกคือสนุกเพลิดเพลินก็คือสภาพธรรมชั่วขณะจิตหนึ่ง เพราะว่าไม่มีใครเพลิดเพลินตลอดกาล

    ผู้ฟัง การวิปัสนานี่จะต้องมีปัญญาเข้าไปควบคุม

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าวิปัสสนาคืออะไร ถ้าไม่ทราบ แล้วเขาบอกว่าวิปัสสนาเราก็วิปัสสนาด้วย ก็ไม่ถูกแปลว่าเราไม่ได้รู้จัก หรือไม่เข้าใจค่ะวิปัสสนาจริงๆ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่จะคนนั้นวิปัสสนาหรือเปล่า คนนี้ไปสำนักนั้นทำวิปัสสนา หรือว่าวิปัสสนาแล้วเป็นอย่างไร ออกมาแล้วเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ไปแล้วซัก ๒-๓ เดือนอะไรพวกนี้ต้องทราบว่าวิปัสสนาคืออะไร อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าเขาทำวิปัสสนาหรือเขาเจริญวิปัสสนา ถ้าเราไม่รู้ว่าวิปัสสนาคืออะไร เอาเรารู้หรือเปล่าว่าวิปัสสนาคืออะไร

    ผู้ฟัง ขอคำอธิบายจากอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญอาจารย์

    อ.สมพร วิปัสสนาจริงๆ ก็หมายถึงปัญญาที่รู้สภาวธรรมอย่างแจ่มแจ้งคือว่าธรรมทั้งหลายมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งสมมติ ประเภทหนึ่งปรมัตถ์ ประเภทสมมติเป็นคำที่ไม่มีอยู่จริงมีแต่คำแต่สภาวะไม่มีอยู่จริง ทีนี้เราต้องรู้ปรมัตถ์ที่มีอยู่จริงนั้นปรมัตถ์นั้นยังแยกออกเป็น ๒ อย่าง ที่เรียกว่าเป็นรูป สภาวะของมันคืออะไร และมันปรากฏทางทวารไหน และสิ่งที่เราจะเอาเป็นอารมณ์ได้ก็คืออารมณ์ที่ปรากฏทางตาทางหู ทางจมูก ซึ่งอาจารย์เคยสอนประจำอยู่แล้ว ไม่พ้นจากทวารทั้ง ๖ นี้ มีอะไรก็ให้อาจารย์อธิบายต่อไป

    ท่านอาจารย์ สงสัยอะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง หนูคิดว่าคำว่าอารมณ์บัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์แล้วก็นามบัญญัติใช่ไหมกับอะไรนะปรมัตถ์

    อ.สมพร นามมี ๒ อย่างคือจิต และเจตสิ เป็นปรมัตถ์ รูปในคนๆ หนึ่งมีมาก รูปทั้งหมดคนนึงก็มาก ๒๗ เอาทั้งหมดนะครับ แต่สภาวะของมันที่เรามาสิการได้ไม่ถึง ๒๗ หรอก รูปที่เราปรากฏบ่อยๆ เช่นทางตา ทางหู ปรากฏบ่อยๆ นี่เป็นอารมณ์เป็นปรมัตถ์ล้วนๆ ๕ ทวารเป็นปรมัตถ์ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รูปซึ่งเป็นอารมณ์เหล่านี้เป็นปรมัตถ์

    ท่านอาจารย์ ทีนี้ถ้าจะถามถึงปัญญานี่มีหลายขั้น ปัญญาเป็นสภาพที่ตรงกันข้าม กับอวิชชา อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริง แม้ว่าสิ่งนี้กำลังปรากฏแต่อวิชชารู้ไม่ได้แต่ถ้าเป็นปัญญารู้ได้ เพราะฉะนั้นต้องทราบว่ามีสภาพธรรม ๒ อย่างซึ่งตรงกันข้าม อวิชชาไม่รู้ความจริง แต่วิชชานี้เป็นสภาพที่รู้ความจริง ขณะนี้เห็นไหม (เห็น) เห็น ใครเห็น ถามว่าใครเห็น

    ผู้ฟัง ตัวเราเห็น

    ท่านอาจารย์ ตัวเรา ซึ่งความจริงแล้วพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งประจักษ์แจ้งความจริงไม่ใช่นึก ไม่ใช่ไปฟังคนอื่น ไม่ใช่ว่าเดาแต่ว่าสามารถที่จะประจักษ์สภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้ได้ ว่าลักษณะที่เห็น แต่ว่าสภาพ หรือธาตุรู้ในขณะมีหลายลักษณะ สภาพรู้นี้คือสามารถที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้รู้เช่นทางตากำลังปรากฏให้เห็น สำหรับคนที่มีตา แต่ตานี่ไม่เห็น ตาเป็นแต่เพียงส่วนประกอบส่วนหนึ่ง ที่ทำให้จิตชนิดหนึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยตา กระทบกับสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะว่าที่ตัวของเราจะมีรูปพิเศษที่มีลักษณะที่สามารถกระทบต่างๆ สิ่งต่างๆ ได้ เช่นรูปหนึ่งอยู่กลางหูเป็นรูปที่สามารถกระทบเสียง เสียงจะมากระทบนิ้วมือกระทบข้อเท้านี่ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีรูปที่มีลักษณะพิเศษที่จะกระทบเสียงตรงนั้น แต่ว่ารูปที่มีลักษณะพิเศษที่จะกระทบเสียงได้อยู่ตรงกลางหู เป็นรูปเกิดขึ้นเพราะกรรม ถ้ากรรมไม่ทำให้โสตปสาทรูปเกิด คนนั้นไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงเลย เช่นเดียวกับที่ตา ก็มีรูปที่มีลักษณะพิเศษซึ่งเพราะกรรมทำให้รูปนี้เกิดขึ้น โต๊ะไม่ได้เกิดเพราะกรรมโต๊ะไม่มีรูปชนิดนี้ แต่สิ่งที่มีชีวิตอย่างสัตว์ คน พวกนี้ เทวดาพวกนี้ จะมีรูปที่สามารถกระทบ สี และก็อยู่ตรงกลางตาแต่รูปไม่ใช่สภาพรู้สภาพเห็น รูปเป็นรูปที่มีลักษณะต่างๆ กัน รูปแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะของตนๆ ธาตุดินมีลักษณะอย่างหนึ่ง มีกิจอย่างหนึ่ง แล้วก็ธาตุไฟ หรือแม้แต่จักขุปสาทก็เป็นธาตุ เป็นรูปชนิดหนึ่ง ที่ว่าเป็นธาตุเพราะเหตุว่าเป็นของจริงมีจริง เกิดขึ้นเพราะกรรมอยู่ตรงกลางตา เพราะฉะนั้นสามารถกระทบสีได้ ข้างหลังนี่ไม่มีจักขุปสาท สีข้างหลังก็มีแต่ไม่มีจิตเห็น

    เพราะฉะนั้นจะต้องแยกว่าที่เราหลงยึดถือว่าเป็นเรา ตั้งแต่เกิดจนตายกี่ภพกี่ชาติมาแล้วแสนโกฏิกัปป์ เพราะเหตุว่ามีสภาพนามธรรมเกิดขึ้น "เห็น" เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเห็น กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นธาตุรู้เป็นนามธาตุชนิด หนึ่ง ถ้าใช้คำว่านามธาตุก็คือว่าต่างกับรูปธาตุ เพราะว่าถ้าเราแยกสิ่งที่มีจริงในโลกนี้ออกเป็น ๒ อย่าง อย่างที่เป็นรูปธรรมหรือรูปธาตุ ไม่ใช่สภาพรู้อะไรทั้งสิ้น เสียงก็คิดนึกไม่ได้เป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ได้เสียงเป็นรูปธาตุ กลิ่นรสทุกอย่างเย็นร้อนอ่อนแข็งพวกนี้เป็นรูปแยกขาดออกจากนามธรรม ซึ่งนามธรรมเป็นธาตุรู้ ธาตุคิด ธาตุจำ ธาตุสุข ธาตุทุกข์เป็นแต่ละชนิดไป

    เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนจริงๆ เพราะเราสามารถจะประจักษ์แจ้งลักษณะของทั้ง ๒ ธาตุในขณะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมากแต่ละลักษณะ เวลานี้ที่เรากำลังนั่งอยู่ เพราะไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อกันของนามธรรม และรูปธรรมจึงมีความรู้สึกว่าเป็นเราด้วยอวิชชาความไม่รู้ พอเห็นก็ไม่รู้ว่าเห็นนี่ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน เห็นกับได้ยินขณะเดียวกันไม่ได้เลยเหมือนไฟสองกอง เห็นเกิดตรงกลางตาได้ยินเกิดตรงกลางหู เพราะฉะนั้นจะเป็นไฟกองเดียว หรือธาตุชนิดเดียวกันไม่ได้ ห่างไกลกันมาก และยังมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทุกกลุ่มของรูปเล็กที่สุดจากตาถึงหู แล้วขณะก็ต่างกันนี้แสดงให้เห็นว่าธาตุ หรือธรรมชาติแต่ละชนิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ดับจริงๆ ดับโดยไม่มีใครสังเกตไม่มีใครรู้สึกไม่มีใครสามารถประจักษ์แจ้งได้ถ้าไม่ฟังธรรมให้เข้าใจ แล้วสติไม่ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วดับไปจริงๆ

    เพราะฉะนั้นวิปัสสนาคือการเห็นแจ้งประจักษ์สภาพธรรมจริงๆ ว่าไม่ใช่ตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่การเกิดขึ้นในโลกนี้ขณะจิตบังคับไม่ได้เลยว่าจะให้จิตประเภทไหน เพราะว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม แต่ทุกคนที่นี่ต่างกันไหม รูปร่างต่างกัน ฐานะ ความรู้วงศาคณาญาติ พื้นจิตใจทุกอย่างตามการสะสมของจิตแม้ว่าเป็นผลของกุศล แต่กุศลแต่ละครั้งที่เราทำไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน กุศลที่เป็นไปในทานก็มีกุศลเป็นไปที่ศีลก็มีใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลก็มีความวิจิตรต่างๆ กัน และจิตแต่ละขณะไม่ว่ามนุษย์จะมีมากน้อยสักเท่าไหร่จะไม่เหมือนกันเลย ถ้าเปรียบเทียบรูปธาตุ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นใหญ่เป็นประธาน และในกลุ่มที่เป็นดินน้ำไฟลม ยังมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชะ มองออกไปต้นไม้แต่ละต้นนี่ไม่เหมือนกัน บางต้นใบยาวบางต้นใบกลม มีดอกต่างชนิดมีรสต่างชนิด มะม่วง ทุเรียน ลักษณะของผลทุเรียนก็ต่างกับลักษณะของผลไม้ชนิดอื่นนี่เพียงธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำไฟลมซึ่งส่วนผสมต่างกัน ทำให้รูปเกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ เป็นดอกไม้สวยก็ได้ใหญ่ก็ได้เล็กก็ได้

    เพราะฉะนั้นจิตของมนุษย์ยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน ที่จะทำให้วิจิตร ทุกๆ ขณะนี่ต่างกันมาก จากที่นั่งเมื่อเช้านี้จนถึงเดี๋ยวนี้ ก็เป็นขณะที่ต่างกันแล้ว ฟังธรรมะเดี๋ยวสงสัยเดี๋ยวเข้าใจใช่มั้ยต่างๆ กันแต่ละคนเข้าใจมากน้อยต่างๆ กันไปก็ปรุงแต่งยิ่งวิจิตรกว่ารูป เพราะฉะนั้นถ้าเราทราบว่านี่คือธรรมะซึ่งบังคับไม่ได้ เราเกิดมาเราก็อยากจะเกิดดีๆ ไม่ต้องมีญาติพี่น้องที่ไม่ดีเพื่อนฝูงที่ไม่ดีโลกที่ไม่ดีสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี แต่กรรมทำให้จิตชนิดนี้เกิดขึ้นที่นี่ ในวงศาคณาญาติอย่างนี้กับมารดาบิดาอย่างนี้ และยังเหตุการณ์ข้างหน้าในชีวิตไม่พ้นกรรม

    เพราะว่าทุกขณะที่เห็นให้ทราบว่าเริ่มจากกรรมจริงๆ คือกรรมทำให้มีจักขุปสาทตอนหนึ่ง แล้วยังทำให้เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกุศลกรรม ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นผลของอกุศลกรรม นี่โลกหนึ่งโลกทางตา พอถึงทางหูกรรมก็ทำให้มีโสตปสาท ต้องได้ยินแล้วก็ขณะใดที่ได้ยินสิ่งที่ดีน่าพอใจขณะนั้นก็เป็นผลของกุศลกรรม ขณะที่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจก็เป็นผลของอกุศลกรรม วันก่อนนี้มีฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่าบางคนก็หลับสนิทไม่ได้ยินเลย ไม่มีปัจจัยที่จะให้โสตปสาทกระทบกับเสียง ซึ่งโสตวิญญาณที่เป็นอกุศลวิบากผลของอกุศลกรรมจะเกิดเขานอนหลับสบาย แต่คนอื่นตื่นตกใจได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้นแม้แต่การได้ยินแต่ละขณะ การเห็นแต่ละขณะ การลิ้มรสการกระทบสัมผัสแต่ละขณะ มีเหตุปัจจัยทำให้เกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนา สอนในเรื่องเหตุกับผล คือกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากผลของกรรม ถ้ากุศลกรรมก็เป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นกุศลวิบากเกิด ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากเกิด ถ้าย่อยเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาเป็นชั่วขณะจิตจะเห็นได้เลยเพียงชั่วขณะแสนสั้น มีเหตุปัจจัยหลายอย่างต้องอาศัยตาต้องอาศัยจิต ต้องอาศัยสิ่งที่ปรากฏต้องอาศัยอะไรที่ทำให้จิตแวบนึงเกิดขึ้น ทำกิจแล้วดับไป เพราะฉะนั้นเวลานี้จิตทุกขณะ เกิดแล้วดับ สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วเป็นของใคร ไม่มีเจ้าของเลย บอกของเราเหรอ สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วหมดแล้วเป็นของใคร ไม่มีเจ้าของใช่ไหมดับแล้ว จะเป็นของเรานี่ไม่ได้ แต่ความเป็นเรานี่ลึกมาก ฝังเก็บไว้เนิ่นนานในแสนโกฏิกัปป์

    เพราะฉะนั้นการที่ปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรมจะเกิดได้ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่จะตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงเทศนาใครก็นึกเรื่องจิตเกิดดับขณะนี้ไม่ได้ และยังมีเจตสิกคือสภาพธรรมที่เกิดพร้อมจิตนาๆ ชนิดที่เป็นฝ่ายดีฝ่ายไม่ดีฝ่ายกลางๆ เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นวิปัสสนานี่ไม่ใช่ไปปฏิบัติ ไม่ใช่ไปทำ ทำไม่ได้ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่เมื่อฟังแล้วเข้าใจ เป็นปัจจัยให้มีการระลึกได้ว่าขณะนี้ ทางตาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่าอะไร "สภาพธรรมที่มีจริง"

    ผู้ฟัง สิ่งที่จริงสัจจะ

    ท่านอาจารย์ ถูกไหมคะอาจารย์ เพราะฉะนั้นสัจจธรรมถ้าใครเขาบอกว่าสัจจธรรมเดี๋ยวนี้สำหรับเรานี่ของธรรมดาทุกอย่างที่จริงขณะนี้เป็นสัจจธรรม แต่คนที่ไม่ได้ศึกษาพูดคำว่าสัจจธรรมได้ แต่ไม่รู้ว่าสัจจธรรมคือขณะไหน และอะไร เขาก็นั่งอธิบายเรื่องของสัจจธรรมเยอะแยะแต่ไม่ได้พูดถึงกำลังเห็นขณะนี้ว่าเป็นสัจจธรรมเพราะเหตุว่าชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเห็นจะไม่มีขณะอื่นเลย เพราะว่าจิตของแต่ละคนชั่วขณะจิตเดียว ไม่มีใครมีจิต ๒ ขณะเกิดพร้อมกันได้ คนหนึ่ง ก็จิต ๑ ขณะเกิดแล้วก็ดับ ๑ ขณะเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็น ก็เป็นขณะหนึ่งใช่ไหม ขณะที่ดีแล้วก็ย่อยชีวิตเหตุการณ์ในแต่ละวันตั้งแต่ลืมตาตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ก็คือจิตแต่ละขณะ

    เพราะฉะนั้นถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครสอนสัจจธรรม เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้วว่าสัจจธรรมคืออะไร แล้วก็เป็นอริยสัจจธรรมเมื่อผู้นั้นประจักษ์แจ้งความจริงแล้วก็ดับสักกายทิฏฐิความเห็นผิด ในเรื่องของสภาพธรรมได้ ไม่มีความเห็นผิดเกิดขึ้นอีกเลยเป็นพระโสดาบัน เพราะว่าได้ประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ และผู้นั้นก็ จะค่อยๆ ละคลายกิเลสจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้จักอริยสัจจธรรม หรือสัจจธรรม เพราะฉะนั้นถ้ามีคนบอกเราว่าไปนั่งวิปัสสนาถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผิด

    ท่านอาจารย์ ทำไมว่าผิดต้องมีเหตุผล

    ผู้ฟัง เพราะว่า ไม่ได้นั่งวิปัสสนาแต่ถ้าขาดปัญญาก็ไม่ใช่วิปัสสนา

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่านั่งวิปัสสนาถูกไหม

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่านั่งวิปัสสนาถูกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ไม่ถูกเพราะอะไร

    ผู้ฟัง คือวิปัสสนา "วิ" ทำให้แจ้งใช่ไหม ปัสสนา "เห็น" เห็นทำให้แจ้งคือทำให้เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ซึ่งขณะนี้ได้ไหมเป็นขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นขณะนี้ได้ถ้าเราใช้ปัญญาเข้าพิจารณา

    ท่านอาจารย์ ใช้ได้ไหม ปัญญา

    ผู้ฟัง ใช้ได้

    ท่านอาจารย์ มีปัญญาที่ไหนใช้ มีหรือเปล่า ปัญญาที่จะใช้ มีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีหรือ อยู่ที่ไหน รู้อะไร

    ผู้ฟัง จากพิจารณาตามเหตุตามผล

    ท่านอาจารย์ นั่นใช้หรือ

    ผู้ฟัง ต้องใช้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ใครใช้ พิจารณานี่ใช้หรือ

    ผู้ฟัง พิจารณาไม่ใช้

    ท่านอาจารย์ แล้วสติไม่ใช้หรือคะ

    ผู้ฟัง สติต้องใช้คะ

    ท่านอาจารย์ ใครใช้สติ

    ผู้ฟัง ตัวเรา

    ท่านอาจารย์ มีแต่เรานี่ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง อาจารย์ต้องอธิบายให้หนูฟังอย่างอย่างละเอียด

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนเมื่อกี้นี้มันเป็นธรรมะไปหมดเลย มันไม่มีตัวเราเลยมันเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดพร้อมเจตสิก บังคับบัญชาไม่ได้อย่างจิตเห็นอย่างนี้ ใครจะมาสร้างกรรมเปลี่ยนกรรมเราไปให้เห็นดีๆ ก็ไม่ได้ถ้ากุศลกรรมจะให้ผล ใช่ไหม ไม่มีการแก้กรรม ตัดกรรมทำอะไรกรรมได้เลยเพราะว่าคนนั้นไม่รู้จักกรรม ก็เข้าใจผิดว่ามีตัวตน หรือมีวิธีการใช่ไหม แต่ถ้ารู้ว่าเพียงแค่เกิดก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็แล้วแต่กรรม เจ้ากรรมนายเวรที่ไหนจะมาให้เราไปเกิดที่หนึ่งที่ใดก็ไม่ได้ เพราะว่ามันกรรมของเราต่างหากที่ทำให้เราเกิดอย่างนี้ กรรมของเราที่จะป่วยไข้เจ้ากรรมนายเวรจะมาทำอะไรได้กรรมของเราที่จะสุขสบายเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนมี ไม่มีใครที่จะบันดาลได้เพราะเหตุว่าสภาพธรรมคือจิต ใครก็ให้เกิดไม่ได้นอกจากเหตุปัจจัย ทุกขณะไป เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่านั่งวิปัสสนานี่ถูกหรือผิด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 10
    4 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ