สนทนาธรรม ตอนที่ 031


    ตอนที่ ๓๑

    สนทนาธรรมที่หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๓๙


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าขณะที่ฟังด้วยสติเป็นกุศลจิตจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และเมื่อมีความเข้าใจขั้นนี้แล้วก็จะทำให้ฟังต่อไปอีกเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่การทำแต่เป็นการที่อบรมความเข้าใจขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏละความต้องการที่อยากจะไปรู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ซึ่งด้วยความอยากรู้ไม่ได้แต่ด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเป็นปัญญาที่รู้ไม่ใช่เรารู้

    ผู้ฟัง ด้วยความเข้าใจของตัวเองเท่าที่ฟังมาก็เข้าใจแต่พอไปเจอเรื่องจริง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้จริงไหม ขณะนี้จริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คือมันตอนมีสติมันจะจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นจริงรึ

    ผู้ฟัง จริงค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตอนที่ไปเจอเรื่องจริงตอนไหน

    ผู้ฟัง คือมันไม่ตลอดเวลาจะมีความรู้สึกว่าเราต้องใช้ความคิด

    ท่านอาจารย์ นี้ทั้งหมดคือความคิดของเราซึ่งยังไม่ได้เข้าใจสภาพธรรม เพราะฉะนั้นเรื่องจริงของเราเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย

    ผู้ฟัง คล้ายๆ กับว่าต้องเอาคำสอนของอาจารย์มาบอกก่อนว่าอย่างนี้เป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ นั้นยังไม่เกิดขึ้นนั้นยังไม่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เรื่องจริงคืออะไรขณะนี้ค่ะจริงคืออะไร นั้นยังไม่เกิด

    ผู้ฟัง จะต้องมีการทบทวน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะเดี๋ยวนี้ค่ะเดี๋ยวนี้จริงคืออะไร ตอบ

    ผู้ฟัง จริงก็คือเห็นจริง

    ท่านอาจารย์ หลังจากนั้นไม่จริงแล้วใช่ไหมคะยังมีเรื่องจริงกว่านี้หรือเปล่าที่ว่าพอไปเจอเรื่องจริง

    ผู้ฟัง มันกว่าจะคิดว่าจริงแล้วมันต้องมันต้องมีระยะเวลา

    ท่านอาจารย์ นี้คือความเข้าใจผิดของเราแม้แต่คำที่ใช้ว่าเรื่องจริงทุกคำจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องถ้าขณะนี้เห็นจริง

    ผู้ฟัง คือมันไม่ได้เกิดรวดเร็วความเข้าใจอันนั้น

    ท่านอาจารย์ เราไม่ได้พูดเรื่องความเข้าใจที่เรากำลังพูดถึงเรื่องนี้ค่ะเรื่องจริงเวลาบอกว่าไปเจอเรื่องจริง อยากจะรู้ว่าเรื่องจริงนั่นแหละอะไรขนาดนี้ไม่จริงหรือ ถ้าเข้าใจสภาพธรรมที่เป็นสัจจะเราจะรู้เลยค่ะว่าความเข้าใจของเราไขว้เขวหรือเปล่าที่ใช้คำนั้นขณะนั้น คุณสุพรรณีค่ะ ลืมเรื่องเก่าๆ หรือยัง ยังไม่ลืมนะคะ ถ้าเกิดไม่สบายใจเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกรรมหรือเปล่า วิบากเป็นผลของกรรม

    ผู้ฟัง เป็นผลชองกรรม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้คืออะไร เดี๋ยวนี้ค่ะที่ว่าเป็นวิบากที่เป็นผลของกรรมอะไรที่เป็นวิบากขณะนี้

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าไงค่ะ

    ท่านอาจารย์ วิบากคือผลของกรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นจิต เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกัน เดี๋ยวนี้คุณสุพรรณนี้มีวิบากไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไร

    ผู้ฟัง วิบากทางตาทางหูทางจมูก

    ท่านอาจารย์ ขณะเห็นใช่ไหมไม่ใช่ขณะที่ไม่สบายใจ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะศึกษาอะไรต้องแน่นอนถ้าเข้าใจก็คือเข้าใจจริงๆ เข้าใจแล้วก็จะไม่ลืมด้วย ถ้าได้ยินคำ ๓ คำว่ากิเลส กรรม วิบาก ก็ต้องทราบว่าเป็นเรื่องของจิตเจตสิก เพราะโต๊ะจะไม่มีกิเลสจะไม่มีกรรมจะไม่มีวิบากรูปทั้งหมดไม่เป็นกิเลสไม่เป็นกรรมใหม่เป็นวิบาก เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องสภาพของจิตใจซึ่งสภาพของจิตใจวันหนึ่งๆ ที่เป็นกิเลสก็มีที่เป็นกรรมก็มีที่เป็นวิบากก็มี คือที่เป็นผลของกรรมก็มี เพราะฉะนั้นวันนึงวันนึงถ้าเราจะเข้าใจสภาพธรรมก็คือเข้าใจเรื่องจิตเจตสิก ซึ่งกำลังเกิดดับกำลังเป็นอย่างหนึ่ง อย่างใดถ้าพูดโดยชาติอย่างที่เราเคยเรียนในคราวก่อนๆ ว่าโดยชาติคือการเกิดขึ้น และจิตมี ๔ ชาติคือจิตที่เป็นกุศลต่างกันลิบลับกับจิตที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นจะเป็นชาติเดียวกันไม่ได้กุศลจิตก็เป็นชาติ หรือประเภท หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นกุศล อกุศลก็เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นอกุศลจะเปลี่ยนลักษณะของเขาให้เป็นกุศลก็ไม่ได้เมื่อเกิดมาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเกิดเป็นคนไทยก็เป็นคนไทยเกิดเป็นคนจีนก็เป็นคนจีนเกิดเป็นคนญี่ปุ่นก็เป็นคนญี่ปุ่นจะให้คนไทยซึ่งเกิดมาเป็นคนไทยแล้วไปเป็นญี่ปุ่นในชาตินั้นเป็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตซึ่งเกิดเป็นอกุศลชั่วขณะที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลเปลี่ยนเป็นกุศลไม่ได้เปลี่ยนเป็นวิบากไม่ได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยต้องเป็นกุศลถ้าจิตเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศลนี้หมายความว่าเกิดเป็นอย่างไรใน ๔ อย่าง คือเกิดเป็นกุศลหรือว่าเกิดเป็นอกุศล หรือว่าเกิดเป็นวิบาก วิบากคือผลของกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อมีกุศลกรรมก็ต้องมีกุศลวิบากซึ่งเป็นผลข้างหน้าเมื่อมีอกุศลกรรมก็ต้องมีอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลข้างหน้า เพราะฉะนั้นถ้าขณะนี้ถ้ามีวิบากเกิดขึ้นก็หมายความว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วต้องไม่ปนกันเลย แล้วก็กิริยาจิต เป็นจิตที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลไม่ใช่วิบากคือไม่ใช่เหตุที่จะให้เกิดผล และจิตนั้นก็ไม่ใช่ผลซึ่งเกิดจากเหตุด้วย เพราะฉะนั้นเพียง ๔ อย่างนี้จะสอดคล้องไปอีกทางหน้าเช่นกิเลสกรรมวิบากได้ แต่ต้องเข้าใจให้ชัดจริงๆ ว่าถ้าเป็นวิบาก และต้องเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังรู้สึกไม่สบายใจ โกรธก็ได้ขุ่นเขื่องใจก็ได้เป็นจิตประเภทไหน

    ผู้ฟัง เป็นอกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนละชาติแล้ว

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ โดยมากเราจะข้ามๆ เรียนๆ ไปแล้วก็ไม่ได้เรียนตามลำดับให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นอาจจะทิ้งหมดเรื่องที่เราไปรู้เยอะแยะแต่พอถึงจุดที่ถามแล้วเราก็ตอบไม่ได้ หรือว่าไม่เข้าใจจริงๆ อย่างอกุศลจิตแท้ๆ เป็นความไม่สบายใจแล้วบอกว่าเป็นวิบากจิต แสดงว่าเราสับสนปะปนแล้ว เพราะฉะนั้นความรู้ถึงจะมีมากเท่าไหร่แต่รู้โดยไม่เข้าใจก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะว่าเป็นความสับสนรู้แต่ชื่อแล้วก็ปนกันหมดเลยนี้เป็นเรื่องที่ว่าถ้าเราจะศึกษาอะไรนะคะ แม้แต่เพียงคำคำเดียวถ้าเราเข้าใจชัดเจนจริงๆ เราจะเข้าใจตลอด ทั้ง ๓ ปิฎกได้ อย่างคำว่าธรรมถ้าใช้คำนี้แล้วไม่ได้บอกว่าเป็นใครเลยไม่ได้บอกว่าเป็นเทวดาไม่ได้บอกว่าเป็นมนุษย์ชื่อนั้นชื่อนี้แต่หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ นั่นคือความหมายของคำว่าธรรมถ้าเราเข้าใจอย่างนี้เราก็ต้องเฉลียวใจแล้วใช่ไหมว่าที่เราเคยคิดว่าเป็นตัวตนแท้ที่จริงสิ่งที่มีจริงนั้นคืออะไรก็คือจิตเจตสิกรูป และจิตเจตสิกรูปในวันหนึ่ง วันหนึ่ง มีหลายอย่างไม่ใช่มีอย่างเดียว จิตใจของเรากับเจตสิกเยอะแยะไปหมดเลย และก็ไม่เคยรู้เลย บางครั้งเป็นกุศลบางครั้งเป็นอกุศลบางครั้งเป็นวิบากถ้าไม่ศึกษาเลยจะไม่ทราบว่าบางครั้งเป็นกิริยา ด้วยเหตุนี้การศึกษานี้แม้แต่จะเริ่มต้นอย่างขั้นต้นจริงๆ คือขั้นของชาติทั้ง ๔ ของจิต เราจะต้องรู้ความหมายด้วยว่าไม่ใช่ให้เราไปจำชื่อแล้วเราก็ตอบได้แล้วท่องชื่อได้แล้ว แต่ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ด้วยการที่จะรู้ความจริงว่าเราเกิดมาไม่ได้มีแต่วิบากจิต ไม่ได้มีแต่กุศลจิตอกุศลจิตยังมีจิตที่ทำกรรมต่างๆ ด้วยก็เข้าใจชีวิตได้ละเอียดขึ้นเพราะขณะนี้ที่กำลังเห็นอย่างนี้เป็นจิตอะไร และหลังจากนั้นแล้วเป็นกุศลจิต หรือเป็นอกุศลจิตซึ่งคนอื่นบอกได้ไหม กำลังเห็นทุกคนเห็นเหมือนกันหมดแต่จิตของใครเป็นกุศลจิตของใครเป็นอกุศลคนอื่นรู้ไม่ได้

    ผู้ฟัง แล้วในชีวิตประจำวันก็จะเป็นอย่างนี้เพราะว่าจะมีวิบากเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ ทั้งวันเลยค่ะทางตาที่เห็นเป็นวิบากทางหูที่ได้ยินเป็นวิบากทางจมูกได้กลิ่นเป็นวิบากทางลิ้มรสเป็นวิบากทางไกลกระทบสัมผัสเป็นวิบัติแค่นี้วิบากมีเท่านี้แต่หลังจากนั้นแล้วเป็นกุศล และอกุศล

    ผู้ฟัง แล้วกุศลหรือกุศลยังจะเป็นเหตุปัจจัยให้เป็นวิบากต่อไปใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าทำกรรมถ้าเป็นกรรมแล้วก็ต้องเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่เห็นเป็นวิบากหมายความว่าเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใดที่ทุกคนได้กระทำแล้วซึ่งไม่มีใครสามารถจะบอกได้ว่าเป็นผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้นกรรมจึงเป็นสภาพที่ปกปิดคือขณะที่ทำกรรมก็ไม่รู้ว่ากรรมนี้จะให้ผลเมื่อไร แล้วเวลาที่วิบากให้ผลคือกำลังเห็นเดี๋ยวนี้กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ก็ถอยกลับไปรู้ไม่ได้ว่านี่เป็นผลของกรรมอะไรในชาติไหน แต่ถ้าไม่มีเหตุผลก็เกิดขึ้นไม่ได้วิบากพวกนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้แต่เมื่อมีวิบากแล้วผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็เป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้างซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดกรรมต่อไป และกรรมนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดวิบากต่อไป เพราะฉะนั้นบางคนอาจจะรู้สึกว่าช้าจังเลย พูดกันแต่เรื่องชาติ แต่พูดแล้วต้องเข้าใจจริงๆ ไม่สับสนอีกแล้วถึงจะต่อกันได้ไม่งั้นเราไปรู้เยอะมากๆ แล้วเราก็ยังสับสนอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นจะมีกี่ดวงกี่ดวงนี่ยังไม่กล่าวถึง

    ผู้ฟัง ลองเรียนถามคุณสุพรรณีเข้าใจบ้างหรือยัง

    ผู้ฟัง เข้าใจค่ะแต่เดี๋ยวอาจารย์ถามก็ตอบไม่ถูกอีก

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างนี้จะว่าเข้าใจไหมคะถ้าตอบไม่ถูกอาจจะเข้าใจชื่อค่ะ อาจจะเข้าใจเรื่องราวแต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ว่าไม่ใช่เรื่องชื่อที่จะต้องจำแต่ต้องเข้าใจว่ามันมีสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเป็นอย่างนั้นซึ่งเราไม่เคยรู้ว่าเป็นสภาพธรรมเวลาที่เราโกรธเราก็รู้สึกว่าเป็นเราแต่จริงๆ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่มีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องของสภาพธรรมซึ่งยิ่งเรารู้ละเอียดก็ไม่มีเราเลยเพราะว่าเป็นจิตแต่ละชนิดเป็นเจตสิกแต่ละชนิดเป็นรูปแต่ละชนิดนี่คือประโยชน์ของการที่เรียกว่าเราไม่ใช่ไปพยายามจำเรื่อง หรือจำชื่อแต่เข้าใจตัวจริงๆ ของสภาพธรรม ที่เราเรียนอย่างนี้ เพื่อให้เห็นว่าสภาพธรรมหลอกลวงเกิดดับเร็วทำให้คนที่ไม่รู้เนี่ยยึดถือสภาพธรรมนั้นว่ามีตัวตนจริงๆ เป็นสัตว์เป็นบุคคลจริงๆ ซึ่งถ้าเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นขณะนึงแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยตัวจะมีได้ยังไงคนจะมีได้ยังไงมีแต่ความทรงจำมีแต่เรื่องราวคิดนึกด้วยอวิชาถึงความไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นเราเรียนเพื่อให้หายสงสัยได้หายไม่รู้ในสิ่งซึ่งปรากฏค่อยๆ เป็นความรู้ขึ้นเข้าใจถูกขึ้น คุณสุพรรณีค่ะตอนเกิดเป็นชาติอะไรคะจิตที่เกิด

    ผู้ฟัง วิบากค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นผลของอะไร

    ผู้ฟัง เป็นผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของอะไร

    ผู้ฟัง กุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดเป็นสัตว์

    ผู้ฟัง อกุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ นอกจากปฏิสนธิแล้วหลังจากนั้นอะไรเป็นวิบากอีก

    ผู้ฟัง อะไรเป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วจิตที่เกิดขณะแรกดับแล้วค่ะ และจิตไม่ได้เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวกรรมก็ไม่ได้ผลเพียงทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นขณะเดียวกรรมยังทำให้จิตเกิดสืบต่อไปอีกใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นหลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว อะไรเป็นวิบากอีก

    ผู้ฟัง เกิดปฏิสนธิจิต และจิตมันก็ต้องเป็นภวังค์ยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้นนอกจากค่อยๆ เกิดอะไรต่ออะไรค่อยๆ

    ท่านอาจารย์ คุณสุพรรณีตอบอย่างนี้แล้ว ดิฉันจะถามคำถามหนึ่ง ซึ่งให้คุณสุพรรณีคิดสักครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบนะคะ ว่าเมื่อปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรมดับแล้วถูกไหมปฏิสนธิจิตดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะปฏิสนธิจิตเป็นชาติอะไร

    ผู้ฟัง วิบาก

    ท่านอาจารย์ ค่ะเป็นผลของกรรมทำกิจปฏิสนธิขณะเดียวหรือกี่ขณะ

    ผู้ฟัง ขณะเดียวเท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็หลังจากนั้นแล้ววิบากจิตมีอะไรอีกนอกจากปฏิสนธิ มีวิบากอะไรอีกหลังจากที่เกิดมาแล้วมีวิบากอะไรอีก

    ผู้ฟัง ปัญจวิญญาณ ๑๐ ปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็นนะคะ คุณสุพรรณีเกิดมาปุ๊บเห็นปั๊บไม่ได้ค่ะ คุณบงตอบซิคะเมื่อกี้นี้คุณสุพรรณีไม่ได้ตอบ

    ผู้ฟัง หลังจากปฏิสนธิแล้วนะคะ ก็เป็นภวังค์

    ท่านอาจารย์ ภวังคจิต ให้เข้าใจจริงๆ ว่ากรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิจิตเกิดเมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้วกรรมนั้นเองก็ยังทำให้ภวังคจิตซึ่งเป็นวิบากชนิดเดียวกันเกิดดับ และภวังคจิตคืออะไร

    ผู้ฟัง ดำรงภพชาติ และไม่รับรู้ด้วย เมื่อกี้ได้ยินบอกว่าดำรงภพชาติใช่ไหมก็จะเป็นวิบาก และดำรงชาติแล้วที่กล่าวบอกว่าดำรงภพชาติถ้าเราเป็นคนเราก็จะเป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เอาตัวจริงๆ เลยนะคะ ขณะแรกที่คุณบงเกิดเนี่ยไม่ใช่คุณบงนะแต่เป็นปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้

    ผู้ฟัง แล้วภวังคจิต

    ท่านอาจารย์ กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นบุคคลนี้เลือกไม่ได้เลือกคุณพ่อคุณแม่ได้ไหมเลือกฐานะเลือกเพื่อนฝูงเลือกอะไรไม่ได้หมดนะคะ เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดแล้วดับเมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อ ภวังคจิตเป็นผลของอะไร ภวังคจิต้นี่ยคะ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็จะตอบภวังคจิตก็คือวิบาก

    ท่านอาจารย์ ภวังคจิตเป็นชาติวิบาก

    ผู้ฟัง ชาติวิบากก็ดำรงภพทุกชาติไป

    ท่านอาจารย์ ชั่วขณะเดียวที่เกิดขึ้นเพราะว่าไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ ไม่ได้ทำกิจเห็นไม่ได้ทำกิจสัมปฎิจฉันนหรือกิจอื่นเลย เพราะว่าเวลาที่พูดถึงภวังค์นะคะ พอได้ยินคำว่าภวังค์ต้องเข้าใจว่าหมายถึงขณะนี้เรากำลังพูดเรื่องกิจการงานหน้าที่ของจิต เพราะจิตทุกชนิด ต้องมีกิจการงานหน้าทีไม่ได้เกิดมาเล่นๆ เกิดขึ้นทำกิจของจิตนั้นแล้วดับ เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเนี่ยทำกิจอะไรเป็นวิบากก็จริงวิบากก็มีตั้งหลายอย่างแต่วิบากนี้ทำกิจสืบต่อจากชาติก่อนหมายความว่าเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนจึงเชื่อว่าปฏิสนธิจิต จิตอื่นถึงแม้ว่าจะเป็นจิตชาติเดียวกันเป็นผลของกรรมเดียวกันแต่ไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจ เพราะฉะนั้นจะเชื่อว่าปฏิสนธิจิต หรือว่าจะทำปฏิสนธิกิจไม่ได้จิตที่ทำปฏิสนธิกิจเป็นขณะเดียวต่อจากจุติจิตเท่านั้นเองหลังจากนั้นกรรมเดียวกันทำให้จิตประเภทเดียวกันเกิดสืบต่อทันที แต่ไม่ได้ทำปฏิสนธิจิตทำภวังกิจดำรงภพชาติชั่วขณะที่เกิดเท่านั้นค่ะ เกิดขึ้นมาอีกจะบำรุงรสชาติคือทำกิจภวังค์ขณะหนึ่งแล้วก็ดับแล้วก็เกิดอีกแต่ไม่ใช่จิตเก่าการดับไปของจิตดวงก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด และจิตนี้เกิดเพราะมีกรรมปัจจัยซึ่งทำให้ปฏิสนธิ กรรมปัจจัยนั้นก็ทำให้ภวังคจิตเกิดสืบต่อแต่เป็นจิตคนละขณะแต่ว่าภวังคจิตจะเกิดมากสักเท่าไหร่ก็ตามก็ทำผิดถ้าหวังคราบได้ที่ไม่อาศัยทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจรู้อารมณ์อื่นภวังคจิตจิตต้องมีอารมณ์เหมือนปฏิสนธิจิต แล้วก็ไม่รู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดทั้งทาง ๖ ทางนี้เลย ขณะนี้มีภวังค์ไหมคะ ต้องทราบว่าภวังคจิตเนี่ยนะคะ ทำกิจดำรงภพชาติระหว่างที่ไม่มีการเห็นการได้ยินการได้กลิ่นการลิ้มรสการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสการคิดนึก เพราะฉะนั้นเราก็จะแบ่งจิตออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่เพราะจิตที่เป็นวิถีจิตหมายความว่า อาศัยทวารหนึ่ง ทวารใดเกิดขึ้นเป็นไปในอารมณ์ที่กระทบพวกนั้นเป็นวิถีจิตแต่จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตจะไม่ต้องอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจใดๆ เลยเหมือนปฏิสนธิจิตตอนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเป็นผลของกรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นขณะนั้นไม่เห็นโลกนี้ทันที หรือว่าไม่ได้ยินเสียงไม่ได้กลิ่นไม่ได้ลิ้นรสไม่ได้กระทบสัมผัสอารมณ์ของโลกนี้เลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องอาศัยทางหนึ่ง ทางใดทั้งทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจใดๆ ทั้งสิ้นแต่เมื่อเป็นจิตแล้วต้องมีอารมณ์ เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ด้วย เพราะฉะนั้นอารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ หรือสิ่งที่ถูกจิตรู้ จะกล่าวว่ามีจิตโดยไม่มีอารมณ์ได้ไหมคะ ไม่ได้ต้องคู่กัน ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์ไหมคะ คำตอบจะรู้มากรู้น้อยยังไงก็ต้องตอบให้ตรงเพื่อที่บอกแล้วว่าจิตเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่ถูกรู้ในภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ เพราะฉะนั้นถ้าคำถามกลับไปว่าปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์ไหมจะตอบว่ายังไง ไม่เห็นปฏิสนธิจิตเห็นหรือเปล่าต้องอาศัยตาไหมคะ ปฎิสนธิจิตไม่ต้อง เพราะฉะนั้นก็ไม่อาศัยตาปฏิสนธิจิตได้ยิน หรือเปล่า ได้กลิ่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้กลิ่น

    ท่านอาจารย์ ลิ้มรสไหม รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใหม คิดนึกไหม

    ผู้ฟัง เปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่อาศัยทางหนึ่ง ทางใดทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง มาจากไหนยังไง

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ต้องรู้ เปลี่ยนลักษณะของจิตไม่ได้ ถามว่าปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตกลงปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเป็นจริต

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง แต่รู้อารมณ์อะไร

    ท่านอาจารย์ อารมณ์ที่ไม่ใช้อารมณ์ของโลกนี้ไม่ใช่อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

    ผู้ฟัง ค่ะก็คำตอบก็คือว่า ปฎิสนธิรู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ จิตทุกดวงเพื่อความมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นปฏิสนธิจิต หรือจิตอะไรก็ตามเมื่อเป็นจิตจะต้องเป็นสภาพที่รู้อารมณ์

    ผู้ฟัง ขออนุญาติถามคำถามนิดนะครับ ในฐานะที่ผมก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกกเมื่อกี้เห็นคุยกันเกี่ยวกับเรื่องชาติที่แล้ว พอดีก็คุยกับเพื่อนว่าตรงนี้เรารู้แล้วเราทราบไงว่าชาติที่แล้ว หรือชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าแล้วก็คือในการปฏิบัติธรรมของเรา เราจะให้บรรลุในภพที่เราเป็นอยู่หรือว่าเพื่อชาติชาติหน้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้เรื่องจิตเจตสิกรูปคือไม่รู้สภาพธรรมมชาติหน้าเนี่ยเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะเข้าใจได้แต่ถ้าเราจะรู้ถึงสภาพของจิต ขณะนี้ว่ามีไหม ต้องเริ่มมาตั้งแต่แรกความเข้าใจทั้งหมดคำตอบทั้งหมดไม่ใช่มาเพียงตอบแล้วทำให้เราหายสงสัยแต่เราจะต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่เริ่มต้นแล้วก็ไม่ยากเกินไปถ้าจะค่อยๆ ตอบว่าขณะนี้มีจิตไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ มีนะคะ จิตเมื่อกี้นี้ จริงๆ แล้วดับแต่ไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าจิตเห็นที่เห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ที่ได้ยินเป็นจิตชนิดหนึ่ง เพราะเหตุว่าถ้าเราจะพอใจแต่เพียงคำเก่ามีจิตแต่บอกไม่ได้ว่าจิตอยู่ที่ไหนแล้วก็จิตมีลักษณะยังไงนี่ก็เรียกว่าเราไม่รู้จริงๆ แล้วเพียงแต่คิด หรืออนุมานว่ามียังถ้าจะไปถามชาวบ้านถามว่าเขามีจิตไหมเขาก็คงหัวเราะที่เราไปถามเขา เขาก็ต้องบอกว่าเขามีแน่ๆ แต่ถ้าถามว่าแล้วจิตอยู่ที่ไหนเขาจะตอบได้ไหม แล้วจิตทำอะไรก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้เรื่องจิตว่ามีก็อย่าพอใจเพียงแค่ว่ามี ต้องทราบว่าจิตที่มีลักษณะอย่างไงเป็นธาตุ หรือเป็นสภาพธรรมที่รู้ หรือเห็น หรือได้ยิน เหล่านี้เป็นลักษณะของจิต เพราะอะไรเพราะว่าคนตายไม่มีคนตายนอนอยู่ก็ตามแต่ค่ะแต่ไม่เห็นอะไรเลยไม่คิดนึกอะไรเลย เพราะฉะนั้นสภาพนี่คือลักษณะของจิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าจิตขนาดที่เห็นเนี่ยต้องต่างกับจิตขณะที่ได้ยิน คนตาบอดมีคนหูหนวกมีคนตาบอดเพราะว่าไม่มีจักขุปสาทเกิดคนหูหนวกก็คือว่าไม่มีโสตปสาทเกิด เพราะฉะนั้นจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยินไม่ใช่จิตชนิดเดียวกันนี้เราต้องค่อยๆ เข้าใจตามลำดับว่าเมื่อไม่ใช้จิตชนิดเดียวกันแล้วจะเกิดพร้อมกันได้ไหม นี่แสดงให้เห็นว่าเราจะต้องเข้าถึงลักษณะของจิตว่าเป็นสภาพที่อาศัยปัจจัยเกิดแล้วก็ดับเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ทำกิจการงานแต่ละอย่างซึ่งไม่มีขาดตอนเลย เวลานี้จิตของใครขาดไปที่ไหนบ้าง แม้แต่จะนอนหลับก็ยังมีจิตเกิดขึ้นทำภวังคกิจดำรงภพชาติเพราะอะไรคะเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาอีกแล้วเห็นอีกได้ยินอีกคืนนี้ก็จะหลับอีกเป็นภวังค์อีกแต่ก็ไม่ตลอดก็ยังตื่นอีกเห็นอีกได้ยินอีกแสดงให้เห็นว่าจิตเกิดดับสืบต่อนะคะ ไม่มีระหว่างคั่นเลยใครจะรู้ หรือไม่รู้ใครจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจลักษณะของธาตุชนิดนี้ก็คือว่าเป็นสภาพซึ่ง เมื่อจิตขนาดหนึ่ง เกิดระดับเป็นปัจจัยให้จิตขนาดเราไปเกิดสืบต่อทันที อันนี้เราก็เข้าใจได้ว่ากระแสของจิตเมื่อวานนี้กับวันนี้ขณะเมื่อกี้นี้ขณะเดี๋ยวนี้สืบต่อกันโดยที่ว่าเราบังคับบัญชาไม่ได้ฉันได้ เพราะฉะนั้นที่เราเรียกว่าตายก็คือเราสมมติเรียกจิตขณะสุดท้ายที่ทำให้คนนั้นดำรงสภาพความเป็นบุคคลนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเหตุที่จะให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เพราะเหตุว่าสภาพของจิตนั้นเป็นสภาพซึ่งเมื่อจิตขณะหนึ่ง ดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปสืบต่อทันทีตราบใดที่ยังมีเหตุอยู่ เพราะฉะนั้นจิตซึ่งดับแล้วไม่เป็นปัจจัยที่จะให้จิตต่อไปเกิดสืบต่อก็คือจิตขณะสุดท้ายคือจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น เพราะเหตุว่าถ้าศึกษาเรื่องปัจจัยที่ทำให้จิตเกิดแต่ละขณะจะเห็นได้ว่าจิตนี้อาศัยปัจจัยเท่าไหร่ที่ทำให้จิตขณะนี้เพียงแค่เห็นเกิดขึ้นเนี่ยค่ะแต่ต้องมีเหตุปัจจัยหลายอย่างซึ่งถ้าเราไม่รู้แล้วก็คิดว่าเกิดขึ้นมาเองแต่ทุกอย่างที่เกิดเนี่ยจะเกิดเองไม่ได้ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง งั้นก็หมายความว่าในลักษณะนี้คือจิตที่ยังไม่ไปถึงจุด

    ท่านอาจารย์ ที่ยังมีปัจจัยที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิด

    ผู้ฟัง ก็เหมือนกับว่ายังไม่หมดกิเลสอะไรอย่างเงี้ยก็จะต้องเกินดับต่อไป

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าในเมื่อเราสิ้นลมหายใจไปแล้ว เรายังเชื่อว่าเราจะต้องเกิดมาในภพใหม่

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราไม่รู้ลักษณะของจิตเราได้แต่เดาว่าจะเกิด หรือไม่เกิดสงสัยใช่ไหมคะ แต่ว่าเมื่อใดประจักษ์การเกิดดับสืบต่อของจิตเมื่อนั้นไม่สงสัย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 10
    8 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ