สนทนาธรรม ตอนที่ 035


    ตอนที่ ๓๕

    สนทนาธรรมที่หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๓๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าจะตอบว่าได้ ก็ต้องรู้ว่าได้โดยความวิจิตรของจิตซึ่งต่างกัน ถ้าไม่ได้ก็คือว่าถึงจะต่างกันไปมากมายสักเท่าไหร่ก็อยู่ในประเภทที่เป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ นี้เอง แล้ว ๘๙ หรือ ๑๒๑ ทำยังไงจะจำได้หมด

    ผู้ฟัง ที่จริงผมก็ภรรยาผมก็บอกให้จำเลข

    ท่านอาจารย์ ก็คือถูกนะคือจำเลข แต่ว่าทำยังไงถึงจะจำได้หมดเลย

    ผู้ฟัง ท่อง

    ท่านอาจารย์ ท่องทีละ ๑ ทีละ ๑ นี่ก็คงจะลำบาก ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ กว่าจะไปถึง ๘๙ เพราะฉะนั้นก็แยกเป็นประเภทให้เข้าใจ และก็ให้ทราบว่าจิตที่มีประเภทต่างกันเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ สามารถที่จะจำแนกออกได้เป็นประเภทโดยนัยต่างๆ ให้เรามีทั้งความเข้าใจประกอบด้วยไม่ใช่เพียงแต่จำเท่านั้น เพราะฉะนั้นประการแรกที่สุดจิตมีตั้งเยอะแยะมากมายแล้วเราจะรู้จักจิตได้ยังไง รู้จักโดยชื่อเนี่ยไม่มีความหมายเลย เพราะฉะนั้นต้องทราบว่า ทรงจำแนกจิตโดยชาติ คือโดยการเกิดของจิตออกเป็น ๔ ชาติ ชาติไทยชาติจีนชาติฝรั่ง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นชาติกุศลอกุศลวิบาก และกิริยาชาติ

    ท่านอาจารย์ อันนี้คุณวีระคงไม่ได้ท้องใช่ไหม ไม่ได้ท่องจำนวนแต่เข้าใจใช่ไหม

    ผู้ฟัง คือผมก็ขัดแย้งกับที่บ้านเขาอย่าง ๑ ว่า จำๆ เนี่ยมันจำไม่ค่อยได้ถ้าจะเอามาแล้วมา จะใช้การแปลคำศัพท์ หรือว่าถ้าเผื่อเราทราบภาษาที่จะแปลได้ หรือว่าเราพิจารณาเอาจากว่าเหตุที่มันเกิดกับความรู้สึกของเราจริงๆ เนี่ยมันน่าจะจำได้ดีกว่าก็ต้องผสมกันด้วย

    ท่านอาจารย์ เข้าใจด้วยนะ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะจำแนกจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ทำให้มันน้อยกว่านั้นอีกคือเป็น ๔ ชาติ ก็ได้ใช่ไหม ว่าใน ๘๙ หรือ ๑๒๑ หรือจิตทั้งหมดจะไม่พ้นจากเกิดเป็นชาติ ๑ ชาติใดใน ๔ ชาติเลย คือถ้าโดยสมมติคือคนเราเกิดมาเป็นชาติไทยชาติจีนชาติฝรั่งอะไรก็แล้วแต่ แต่ชาติของจิตเนี่ยสากลคือไม่ใช่จำแนกโดยเชื้อชาติ หรือว่าโดยประเทศชาติแต่จำแนกโดยลักษณะคุณลักษณะของจิตคุณภาพ และลักษณะส่วนตัวของจิต เกิดขึ้นคือจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลประเภท ๑ เรียกว่าชาติกุสลจิตเกิดขึ้นเป็นอกุศลประเภท ๑ เป็นชาติอกุศล และจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลประเภท ๑ เป็นชาติกุศล จิตเกิดขึ้นเป็นวิบากประเภท ๑ และจิตเกิดขึ้นเป็นกิริยาประเภท ๑ คำว่ากุศลกับอกุศลเนี่ยเราคงจะชินหูแต่คำว่าวิบากกับกิริยาเนี่ยไม่ชินหู ก็แสดงว่าเราเนี่ยไม่รู้จักจิตโดยละเอียด รู้จักจิตคร่าวๆ ว่าจิตดีก็เป็นกุศลจิต จิตไม่ดีก็เป็นอกุศลจิต คงไม่มีปัญหาเรื่องกุศลจิตกับอกุศลจิตที่นี่วิบากจิตนี้คืออะไร

    ผู้ฟัง วิบากจิตคือผล คือผลของกุศล และอกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่าวิบัติคืออะไรก็ต้องตอบว่าวิบากจิต ต้องเป็นจิตด้วยนะ และก็วิบากเจตสิกด้วย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุใด

    ผู้ฟัง เพราะว่าเจตสิกก็เกิดกับจิต คือถ้าเผื่อจิตที่ประกอบด้วยเจตสิกใดจิตเป็นชาติใดแล้วเจตสิกนั้นก็จะเป็นชาตินั้นด้วย

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าถ้าจิตเป็นกุศลเกิดขึ้นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตก็เป็นกุศลหรืออีกนัยกลับกันเมื่อเจตสิกที่เป็นกุศลเกิดขึ้นทำให้จิตนั้นเป็นกุศลจิตก็ได้ หรือไม่เจตสิกที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นก็ทำให้จิตที่เกิดร่วมด้วยเป็นอกุศลจิต เพราะว่าลำพังจิตไม่สามารถที่จะเป็นกุศลอกุศลได้ถ้าปราศจากเจตสิกซึ่งเป็นกุศล หรืออกุศลซึ่งเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นทั้งจิต และเจตสิกเป็นกุศลแห่งจิต และเจตสิกเป็นอกุศลกุศลกับอกุศลเนี่ยเป็นตัวเหตุ เวลาที่เราพูดถึงธรรมซึ่งเกิดขึ้นเนี่ยหมายความว่าเป็นผลซึ่งมาจากเหตุ หรือว่าเมื่อพูดถึงเหตุก็ต้องหมายความว่าเมื่อเหตุมีผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้นจะมีแต่เหตุโดยไม่มีผล หรือว่ามีแต่ผลโดยปราศจากเหตุก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นโดยชาติของจิตกุศลจิต และอกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบากจิต และกุศลวิบากจิต เพราะฉะนั้นวิบากจิตก็คือจิตซึ่งเป็นผลของกุศล และอกุศล ซึ่งเราจะต้องชัดเจนลงไป ว่าถ้าเป็นอกุศลวิบากจิตเป็นผลของอะไร

    ผู้ฟัง อกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นกุศลวิบากจิตเป็นผลของ

    ผู้ฟัง กุศลจิต

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้ากุศลจิตเป็นเหตุจะเกิดอะไร

    ผู้ฟัง ก็เป็นกุศลวิบากจิต

    ท่านอาจารย์ จะเกิดกุศลวิบากจิต จะทำให้เกิดกุศลวิบากจิต ถ้าอกุศลจิตทำให้เกิดอะไรเป็นเหตุ

    ผู้ฟัง ก็เป็นทำให้เกิดอกุศลวิบากจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องพูดเต็ม ถ้าพูดอกุศลสั้นๆ เป็นตัวเหตุ ถ้าพูดอกุศลวิบากจิตเป็นตัวผล เพราะฉะนั้น จะพูดอย่างเกียจค้านไม่ได้ ต้องพูดให้เต็มๆ ยังไม่หมดใช่ไหม นี่แค่ ๓ ชาติ

    อ.นิภัทร ยังไม่หมดยังเหลือกริยา ชาติกิริยานี่มีลักษณะสภาพยังไง

    ผู้ฟัง ชาติกริยา ก็คือไม่ใช่ชาติกุศล ไม่ใช่ชาติอกุศล ไม่ใช่ชาติอกุศลวิบาก หรือว่ากุศลวิบาก

    อ.นิภัทร ก็สั้นๆ แล้วก็ง่ายดี เข้าใจง่ายด้วย

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีไหมกิริยา

    ผู้ฟัง มีครับผม

    ท่านอาจารย์ เก่ง ไม่ใช่พระอรหันต์ก็มีหรือ

    ผู้ฟัง มี บุคคลธรรมดาก็มีกิริยาจิตอยู่ ๒ ดวง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    คุณสุรีย์ คุณวีระทำไมจะต้องมีชาติทำไมเราจะต้องรู้เรื่องชาติของจิต

    ผู้ฟัง ผมว่าผมก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนั้นมากเท่าไหร่ผมคิดว่าแบ่งประเภทพอรู้ลักษณะของจิต แล้วจำได้ง่ายขึ้นครับอาจารย์

    คุณสุรีย์ เดี๋ยวนี้มีชาติของจิตรึเปล่าที่จิตที่คุณวีระเนี่ยมีไหมชาติของจิต

    ผู้ฟัง มีครับ

    คุณสุรีย์ มีบ้างไม่มีบ้าง หรือมีทุกขณะ

    ผู้ฟัง มีทุกขณะถ้ามีถ้ามีจิต

    คุณสุรีย์ อันนั้นคือความสำคัญที่เราต้องรู้จักชาติใช่ไหม เพราะเรามีทุกขณะที่จิตเกิดดับ อันนั้นคือคำตอบ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เพื่อจำได้ เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อจำแนกจิตออกให้ทราบว่าอันไหนเป็นผลอันไหนเป็นเหตุเพื่อจะได้รู้ว่าไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล

    ท่านอาจารย์ เพื่อให้ทราบความจริงว่าขณะนี้เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลข้างหน้า หรือว่าขณะนี้เป็นผลซึ่งมาจากเหตุในอดีตที่ได้ทำแล้ว เพื่อให้เข้าใจเรื่องเหตุ และผลให้ถูกต้องมิฉะนั้นแล้วเราสับสน แต่ว่าจิตเนี่ยไม่มีใครจะไปสับสนเขาได้เลยถ้าจิตเป็นอกุศลเกิดขึ้นต้องเป็นอกุศล ใครจะเข้าใจว่าจิตเนี่ยเป็นกุศลจิตประเภทนี้ดี ยังการพูดสิ่งที่ไม่จริงบางคนก็แบบเออจำเป็นหรืออะไรอย่างนั้นก็แล้วแต่ แต่ว่าเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าจิตที่เป็นอกุศลต้องเป็นอกุศล แต่เขาจะคิดว่าจิตนั้นดีก็เรื่องของเขาแต่สภาพที่แท้จริงของจิตที่เป็นอกุศลต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นนี่เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องรู้ความจริง คือว่าจิตเนี่ยใครเปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ใครจะเข้าใจผิดได้แต่ใครจะเปลี่ยนลักษณะของจิตไม่ได้ ถ้าจิตเป็นกุศลก็เป็นกุศลจิตเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลจิตเป็นวิบากก็จะบอกว่านี่เป็นเหตุก็ไม่ได้เพราะเหตุว่านั้นเป็นจิตที่เป็นผล เพราะฉะนั้นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงสภาพจิตตามความเป็นจริงให้ถูกต้องเพื่อถ้าเราเคยเข้าใจผิดเราจะได้เข้าใจถูกใช่ไหม แต่ไม่ใช่เพื่อจำ อันนี้จบเรื่องชาติยังมีต่อคือถ้าไม่มีขณะเมื่อกี้นี้ขณะเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้วถ้ามีขนาดนี้แล้วขณะต่อไปก็ต้องมี เพราะฉะนั้นที่ว่าเราจะเกิดมาแล้วไม่ก็ไม่ใช่หมายความว่าเราจะไม่มีการเกิดอีก ขณะจิตแรกที่เกิดดับไปก็มีขนาดต่อไปเกิดขึ้น แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องมีชาติมีความเกิด ข้อสำคัญที่สุดศัตรูก็คือกิเลสทั้งหมดซึ่งอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่นอกใจนะ แต่ว่าไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ คือว่าเวลานี้ทุกคนมีใจเลยนะ ไม่เคยสำรวจเลยว่ากิเลสในใจของเราเนี่ยแค่ไหน มีใครพอจะประมาณได้ไหมว่าแค่ไหน ถ้าเป็นสีดำก็ดำสนิท ซักเท่าไรก็ไม่ค่อยจะจางเลย เพราะเหตุว่าจะเอาอะไรไปซักนอกจากปัญญาสิ่งซึ่งดำสนิท และเกาะติดแน่นอยู่ในจิตเนี่ย มีทางเดียวเท่านั้นเองคือปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลสจิตซึ่งดูเหมือนกับว่างขณะที่หลับสนิทแต่พอตื่นเนี่ย ไม่ว่างเลยจะต้องมีการเห็น และก็กิเลสทั้งหลายก็ตามมาทางตา มีการได้ยินกิเลสทั้งหลายก็ตามมานี่เป็นปกติ เพราะฉะนั้นศัตรูที่อยู่ในใจซึ่งไม่ออกไปเลยอยู่อย่างตลอดกาล และก็สะสมเติบโตขึ้นด้วย หนา แล้วก็หนักแล้วก็ดำนี่คือสภาพจริงๆ ของจิตซึ่งปราศจากปัญญา เพราะฉะนั้น เวลาที่มีปัญญาแล้วทีละนิดทีละหน่อยก็หมายความว่า เริ่มมีอุปกรณ์ที่จะชำระล้างจิตด้วยปัญญาจนกว่าจะถึงขั้นที่ฟอกซะจนขาวสะอาด แต่ว่าก็คงจะเป็นเวลาที่นานนะแต่ให้ทราบว่าความจริงเป็นอย่างนั้น จิตมองไม่เห็นเลย แต่กิเลสที่มันออกมาเป็นประจำทุกวันทุกวันเนี่ยแสดงให้เห็นว่าเชื้อซึ่งเก็บไว้นั้นมากแค่ไหน เหมือนเชื้อโรคซึ่งมีอยู่ในตัวบางคนเขาก็บอกว่าโรคกายเนี่ย ก็ยังดีโรคใจนี่สิทำไมไม่คิดว่าจะรักษายังไง เพราะว่าโรคกายเนี่ยไปหาหมอหมอก็เยียวยาได้แก้ไขได้แต่รอบใจที่จะเอาอะไรหมอรักษาไม่ได้เลยนอกจากปัญญาของตัวเอง เพราะเหตุว่าจิตเป็นนามธรรมก็เลยไม่มีใครรู้ว่าสภาพของจิตจริงๆ ซึ่งสะสมไว้ทุกชาติสะสมอะไรบ้าง แต่จะรู้ได้ต่อเมื่อเกิดอาการปรากฏขึ้น เวลาโลภะเกิดก็รู้ว่านี่ต้องสะสมโลภะมา จะชอบอะไรก็แล้วแต่รสหวานรสเปรี้ยวก็เพราะว่าสะสมมาอย่างนั้น เสียงกลิ่นรสสัมผัสทุกอย่างที่ติดเนี่ยแสดงให้เห็นว่าสะสมมาอยู่ในจิต ไม่ออกเป็นข้างนอกจิตเลยไม่ว่าจิตขณะไหนดวงไหนเกิดไปดับไปยังไงก็สะสมสืบต่ออยู่เรื่อยๆ นี่แสดงให้เห็นว่าถ้าตรวจสภาพจิตด้วยปัญญานะ ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนี้ ข้อสำคัญคือว่าทำไมถึงว่าอกุศลเป็นศัตรูใช่ไหม เพราะไม่เคยนำสิ่งที่ดีมาให้เลย แต่ไม่รู้ถ้าเป็นมิตรสหายเนี่ยจะนำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์มาให้ต่อกัน แต่อกุศลทั้งหมดเนี่ยไม่ได้นำสิ่งที่ดีมาให้เลย ที่ว่าเป็นศัตรูเพราะเหตุว่าไม่ได้นำสิ่งที่ดีมาให้ เริ่มตั้งแต่ขณะที่อกุศลจิตเกิด แต่ยากนะที่จะเห็นอกุศลทุกชนิดที่สะสมมา

    ผู้ฟัง แพ้ภัยก็แพ้อันนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าตามอกุศลอยู่ตลอดเวลา

    ผู้ฟัง แพ้ภัยเพราะเราไปตามอกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่เห็นก็ทำลายไม่ได้ต้องเห็น

    อ.นิภัทร ตัองเห็นต้องรู้จักเขาด้วย ต้องรู้จักเขา สำคัญเอาศัตรูเป็นเราเนี่ยก็ยังเห็นว่าศัตรูเป็นตัวเราอยู่นี้ก็ลำบาก ยังเห็นกิเลสเนี่ยว่าเป็นตัวเราอยู่เห็นความรักความชอบความชังความหลงว่าเป็นเราเราตลอดตะพึดเลยไม่รู้ศัตรูอยู่ที่ไหนก็เราทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะไม่มีเราขั้นแรกที่สุดมีแต่สภาพธรรมแต่ละอย่างจริงๆ

    ผู้ฟัง ที่นี่ฉันเหรอคิดว่าถ้าเข้าใจปรมัตถ์ทั้งหมดว่าเป็นศัตรูนะ ก็จะไม่ถูกตามที่ดิฉันเข้าใจนะดิฉันก็ยังนึกว่าศัตรูจะต้องเป็นอกุศลจิต หรืออะไรออกมาให้เป็นเป็นหลักเป็นฐานนะคือหมายความว่าไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่รู้ไม่รู้เฉยๆ เราจะมองไม่เห็นว่ามันเป็นศัตรูเลย อย่างเช่นคุณหมอว่าอวิชาเนี่ยอาจจะเป็นเพราะอิฉันยังไม่เข้าใจคำว่าอวิชาพอทีนี้อวิชาเราก็

    หมอสัญชัย เช่นยังคุณหญิงเห็นแล้วไม่ได้ไม่เข้าใจสภาพธรรมของเห็นในขณะนี้ขณะนั้นก็มีความไม่รู้ถึงไม่เข้าใจลักษณะของการความเห็นในขณะนั้น เพราะฉะนั้นก็เราก็มีอวิชา หรือมีความไม่รู้ตลอดเวลาที่ไม่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรม ขณะนี้เห็นนะแต่ไม่รู้ว่ะเห็นเนี่ยก็เป็นสภาพธรรมชนิด หนึ่ง ไม่ใช่เราเห็น

    ผู้ฟัง แต่ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ศัตรู

    หมอสัญชัย ก็เพราะความไม่รู้นะทำให้เราเนี่ยจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจแล้วก็เลยเป็นศัตรู

    ท่านอาจารย์ ที่ว่าเรายังไม่รู้ว่าเป็นศัตรูใช่ไหมไม่รู้ว่าสภาพธรรมเนี่ยเป็นศัตรู ก็เหมือนกับเรามีเพื่อนเยอะแต่เราไม่รู้เลยว่าคนไหนเพื่อนแท้ และเพื่อนที่เป็นเพื่อนเราเป็นเพื่อนตลอดกาล หรือป่าว ๑๐๐ วันอาจจะดีนะ แต่อาจจะมีสักขณะจิต หนึ่ง ซึ่งถ้าเกิดโกรธ ขนาดนั้นนะจะกล่าวว่าเค้าเป็นเพื่อนเรามั้ยในเมื่อ ๑๐๐ วันก่อน ดีเป็นมิตรแต่พอถึงวันที่โกรธได้เขาจะเราจะรู้ได้เลยว่านี่เป็นเพื่อน หรือเปล่า ก็เหมือนกับอกุศลทั้งหลายเลย เค้าอยู่กับเราจนชิมนะจนกระทั่งเรามองไม่เห็นเลยว่าเนื้อเป็นศัตรู คนโน้นคนนี้ก็ไม่เป็นศัตรูเลยเป็นเพื่อนทั้งนั้นแต่วัน ๑ วันใดซึ่งเขาโกรธแล้วก็อาจจะทำสิ่งซึ่งร้ายมาก เกินฐานะที่มิตรจะทำต่อกันได้ขณะนั้นเราจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เพื่อนแต่ตราบใดที่เขายังไม่แสดงอาการของเขาเราก็ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นเพื่อน หรือเป็นศัตรูแต่เมื่อไหร่เขาแสดงอาการของเขาเราก็รู้แบบนี้เพื่อน หรือศัตรูก็เหมือนกันอย่างโลภะเนี่ยทีละนิดทีละหน่อยเนี่ยเราก็ไม่เคยเห็นเลยว่าคนนี้เป็นศัตรูของเรา ก็เห็นสบายดีให้เราทำนั่นให้เราชอบนี้ให้เราปรุงอาหาร ให้เรามีความสุขในแต่ละวันเนี่ยจนกว่าเมื่อไหร่ที่เราเกิดทุกข์ เพราะเขาเมื่อนั้นเราถึงจะรู้แท้ที่จริงแล้วคนนี้ไม่ใช่มิตรเลย เป็นศัตรูที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้น เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งหลายนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีกิเลสเราไม่เกิดแน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้นแม้แต่พระโพธิสัตว์พระชาติสุดท้ายเนี่ยนะ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เนี่ยก็มีกิเลสเต็ม ยังไม่ได้ละกิเลสประเภทใดๆ เลยทั้งสิ้นกิเลสครบแต่กิเลสทั้งหมดที่มีเนี่ย ในคืนที่ตรัสรู้จากปุถุชนที่ก้าวเข้าไปสู่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ และรุ่งเช้านั่นเองกิเลสทั้งหมดซึ่งสะสมมาอย่างพวกเราซึ่งมีมากๆ เนี่ย ดับหมดไม่เกิดเลยเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเห็นกิเลสซึ่งเห็นยากจึงได้ทรงเปล่งอุทานว่าได้พบนายช่างเรือนซึ่งคือโลภะ เพราะว่าเขาอยู่มากับเราจนสนิทเวลานี้ใครจะเห็นเราเพราะว่าเป็นศัตรูเนี่ย เห็นไหมถ้าตราบใดที่เขายังไม่ทำร้าย อาหารก็อร่อย ดอกไม้ก็สวย เป็นประจำทุกวันด้วยไม่ใช่วันเดียว ตั้งแต่เกิดมาก็ว่าได้อ่ะ ก็พอใจอยู่อย่างนี้ชอบอยู่อย่างเงี้ยยังไม่เห็นเลยว่าโลภะได้เป็นศัตรู จึงมีศัตรูซึ่งเราไม่รู้จัก หรือเรามองไม่เห็น

    ผู้ฟัง ขอประทานโทษท่านอาจารย์ขอเรียนถามนิดนึงนะ คือว่าตอนนี้เราก็พอทราบแล้วว่าตัญหาเป็นศัตรูอวิชาก็เป็นศัตรูกิเลสทั้งหลายก็เป็นศัตรูนะ ตอนนี้ทราบแล้วว่าพวกนี้อ่ะเป็นศัตรูทั้งนั้น แต่ว่าทำไมเราถึงยังยินดีที่จะคบกับศัตรูเหล่านี้อีกต่อไปคะอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราสิไม่ใช่ปัญญา ถ้าเป็นปัญญาเขาเห็นชัดสภาพของอกุศลเป็นอกุศล แต่เพราะเหตุว่าเราไม่ใช่ปัญญาจึงพอใจในโลภะ

    ผู้ฟัง ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาเราก็ยังยินดีที่จะคบกับศัตรูต่อไป

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะว่าโลภะนี่เป็นสิ่งที่ละยากมากเพราะเหตุว่าสำหรับพระโสดาบันบุคคลเนี่ยละเพียงโลภะซึ่งเกิดร่วมกับความเห็นผิดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งกำลังเกิดดับ พระอริยะบุคคลทุกท่านประจักษ์ความเกิดดับอริยสัจทั้ง ๔ ไม่สงสัยในลักษณะของพระนิพพาน แต่ปัญญาขั้นพระโสดาบันดับโลภะไม่ได้เพียงแต่ดับความเห็นผิดที่ไม่เคยเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงแต่โลภะยังอยู่ คิดดูสิปัญญานะมีวิปัสสนาญาณะประจักษ์การเกิดดับรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนประจักษ์ลักษณะของพระนิพพานหมดความสงสัยในอริยสัจธรรมแต่ยังรู้ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะให้โลภะเกิด เพราะฉะนั้นใครที่คิดจะดับโลภะหรือจะละโลภะเนี่ยนะคิดเปล่าแล้วก็ไม่สามารถกระทำได้ แต่อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมเป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายโลภะได้ เพราะฉะนั้นรู้โดยการฟังรู้โดยการเรียนรู้โดยตำราทำอะไรไม่ได้เลย ก็อย่างที่พูดถึงนะว่าวันนึงวันนึงเนี่ยเราพลาดเกิดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น คนที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะดับกิเลสได้ ก็ให้ทราบเถอะว่าสมุทัยคือเหตุที่จะให้เกิดก็มากเท่านั้น นับชาติไม่ถ้วนเพราะเราพลาดรักไปสิคะวิธีคณะ ในวันนี้วันเดียวเราพลาดทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ เพราะฉะนั้นชาติที่จะเกิดต่อไปก็มากเท่านั้นเพราะเหตุว่าโลภะเป็นสมุทัยที่จะทำให้เกิดต่อไป หนีไม่พ้น เป็นทาสซึ่งดับไม่ได้ถ้าไม่ใช้ปัญญาขั้นที่จะดับกิเลสแล้วจะดับการเกิดขึ้นของสภาพธรรมขณะนี้ไม่ได้เลย แต่เข้าใจได้อบรมได้ประจักษ์แจ้งสภาพความเป็นจริงได้

    ผู้ฟัง ถ้าระลึกได้ว่าโลภะเป็นแต่เพียงเจตสิกอันที่นี้ก็ยังไม่เห็นลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นไม่เห็นก็เพราะว่ากำลังนึกถึงแต่ชื่อ เหมือนกับเราอ่านหนังสือเล่มนึงเราก็รู้เรื่องราวทั้งหมดที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนั้นแต่เวลาที่เราศึกษาธรรมเนี่ย มีคำซึ่งบัญญัติ ให้หมายรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ทีนี้เวลาที่เราอ่านตำราเนี่ยเรารู้เรื่องจิต มีกี่ชนิดประกอบด้วยเจตสิกเท่าไรนั้นรู้เรื่องกับรู้ชื่อ แต่จิตขณะนี้กำลังมีเจตสิกเกิดอย่างนี้กำลังทำหน้าที่อย่างนี้ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการศึกษาเนี่ยนะ เพื่อในที่สุดจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้แต่ละขณะเพราะว่าขณะจริงๆ เนี่ยแสนสั้นทุกขณะนี้สั้นมากอันนี้ก็เป็นเพียงคำพูดจริงๆ ถ้าไม่มีการประจักษ์ก็เหมือนคำพูดว่าขณะนี้แสนสั้น แล้วเราก็เอาชั่วโมงมาแตกย่อยเป็นนาทีมาแตกย่อยเป็นวินาทีมาแตกย่อยเป็นเสี้ยววินาที แต่ความรวดเร็วของธรรมที่เกิดดับเนี่ย สั้นกว่านั้นอีก ก็ไม่มีอะไรที่จะเปรียบได้แต่ว่าเมื่อเป็นความจริง เป็นอย่างไรก็สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้ความจริงอันนั้น แล้วก็ดับเพียงความเห็นผิดเท่านั้นยังดับโลภะไม่ได้เพราะว่าโลภะนี้ทั้งในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผทัพพะ และยังมีโลภะในขันต์ในความเป็นอยู่ในสภาพที่เป็น เพราะฉะนั้นพระอริยะบุคคลเนี้ย จึงมีหลายท่านจากความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นพระโสดาบันสู่ความเป็นพระซะกะทาคามีสู่ความเป็นพระอนาคามีสู่ความเป็นพระอรหันต์แล้วแต่กำลังของสติปัญญา อย่างวิสาขามิคารมารดาก็อบรมเจริญปัญญามาที่จะได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ตลอดชาตินั้นท่านก็ยังไม่ได้เป็นพระสกถาคามีแต่บางท่านหลังจากที่บรรลุโสดาบันอีก ๑๕ วันก็เป็นพระอรหันต์นี่ก็เป็นความต่างกัน ข้อสำคัญที่สุดเวลานี้เราอยากหมดกิเลสจริงๆ หรือเปล่าเท่านั้นหล่ะ

    อ.นิภัทร คุณหญิงอยากหมดไหมครับ

    ผู้ฟัง อยากบ้างไม่อยากบ้าง

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความจริงใจนะ และก็เป็นความจริงขณะใดที่อกุศลจิตเกิดจะตอบว่าอยากได้ไม่อยาก หรือถึงแม้ว่ายากก็เป็นความต้องการยังไม่ใช่ปัญญาก็ได้ด้วยแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เพียงได้ยินคำว่าอริยสัจ หรือนิพพาน หรือไม่ต้องเกิดอีกแล้วเพียงอยากไม่เกิดเท่านั้นนะ ถ้าขณะใดที่ไม่ใช้ปัญญาขณะนั้นต้องเป็นโลภะแม้แต่ยากในกุศลก็เป็นโลภะ

    ผู้ฟัง ฟังฟังบอกว่าทำกุศลมากๆ ยังพลาดได้ หลงลงนรก ไม่ให้หลงในอกุศล

    ท่านอาจารย์ เฉพาะพระอริยะบุคคลที่จะไม่ไปสู่อบายภูมิ

    อ.นิภัทร ปิดประตูอบาย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 10
    16 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ