สนทนาธรรม ตอนที่ 024


    ตอนที่ ๒๔

    สนทนาธรรมที่หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๓๘


    ท่านอาจารย์ จิตเจตสิกที่เกิดขณะแรกๆ เป็นชาติอะไร

    ผู้ฟัง วิบาก

    ท่านอาจารย์ ค่ะเป็นวิบากของกรรมอะไร

    ผู้ฟัง ของกุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นกุศลวิบากที่เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม ขณะนี้เรากำลังมีกุศลจิตใช่มั้ยค่ะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าขณะจิตที่เราจะไปปฏิสนธินี่ และกรรมอันนี้ให้ผลจิตประเภทไหนจะทำกิจปฏิสนธิ

    ผู้ฟัง กุศลจิต

    ท่านอาจารย์ กุศลวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมที่กำลังฟังธรรมนี่แหละจะเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากปฏิสนธิ เพราะฉะนั้นก็ทราบว่าขณะแรกที่เกิดคือจิตเจตสิกที่เป็นชาติวิบาก นี้เป็นเหตุที่เรารู้ว่าจิตเจตสิกมีเยอะแยะ แล้วเราจะต้องมานั่งเข้าใจเพื่อจะให้เห็นว่าไม่ใช่เราเป็นจิตประเภทต่างๆ บางชนิดก็เป็นเหตุ บางชนิดก็เป็นผลแต่ก็ไม่พ้นจากจิตเจตสิกรูปนั่นเอง ที่เคยยึดถือว่าเป็นเราเข้าใจว่าเป็นเราเนี่ยแท้ที่จริงก็เป็นปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้นการรับผลของกรรมขณะไหนบ้างตั้งแต่เกิด

    ผู้ฟัง เริ่มปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิขณะแรกก็เป็นผลของกรรมหนีกรรมพ้นไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่พ้นหรอก

    ท่านอาจารย์ ไม่พ้น อยากเกิดไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่อยาก

    ท่านอาจารย์ ต้องเกิดใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ที่คุณสุพรรณีเกิดมานั่งที่นี่ตั้งใจจะเกิดมาในโลกนี้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ตั้งใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทำไมถึงเกิดล่ะ

    ผู้ฟัง ก็กรรมพามาค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นกุศลกรรมทำให้เกิดเป็นคนสุพรรณี แล้วก็คุณอดิศักดิ์ล่ะเกิดมานี่ปฏิสนธิจิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็กุศลนะคะ

    ท่านอาจารย์ กุศล หรือคะ ต้องพูดให้เต็ม

    ผู้ฟัง กุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ กุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรมค่ะ ปฏิสนธิจิตของคุณอดิศักดิ์เป็นกุศลวิบาก และก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดรวมด้วยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นชาติวิบากเจตสิกนั้นเป็นวิบาก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นวิบากด้วยนี่แสดงให้เห็นว่าวิบากจิตเกิดร่วมกับวิบากเจตสิกเพราะกรรมเป็นปัจจัย คุณอภิศักดิ์อยากจะเกิดในโลกนี้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของเขา

    ท่านอาจารย์ ตั้งใจจะเกิด หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ตั้งใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ ตั้งใจได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลยค่ะทุกอย่างไม่ใช่สำเร็จเพราะต้องการ หรือเพราะปรารถนาแต่ต้องเป็นไปตามเหตุ ถ้าตั้งใจได้ทุกคนก็ตั้งใจเกิดในสวรรค์เกิดในมนุษย์ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมจะเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง เกิดเป็นอบายภูมิ ๔ ค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีอะไรบ้างคะ

    ผู้ฟัง เป็นสัตว์นรกเปรตอสูรกาย

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง สัตว์เดรฉาน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรามองเห็นเลยเวลาเรามองสัตว์นี่เราจะรู้เลยค่ะนี้ปฏิสนธิเป็นอกุศลวิบากเป็นผลของอกุศลกรรม แล้วเวลาเราเห็นคนไม่ว่าจะเกิดที่เมืองไทยที่ต่างประเทศกำลังได้รับทุกข์ร้อนอดข้าวปลาอาหารน้ำท่วม หรืออะไรก็ตามจิตที่ปฏิสนธิของเขาเป็นจิตอะไร

    ผู้ฟัง วิบากนะคะ

    ท่านอาจารย์ ประเภทไหน

    ผู้ฟัง เกิดเป็นคนก็กุสลวิบาก

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นกุศลวิบากไม่ว่าจะยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ตาบอดหูหนวกอะไรก็ตามแต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วต้องเป็นผลของกุศลกรรม เพราะฉะนั้นต้องเป็นกุศลวิบากแล้วแต่ว่าจะเป็นกรรมที่ประณีต หรือไม่ประณีต ถ้าเป็นกรรมที่ไม่ประณีตก็ทำให้ได้รับอารมณ์ที่ไม่ประณีต เป็นคนยากจนลำบากเข็นใจอะไร ก็แล้วแต่ผลของกรรม การพิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มใหม่ เราจะไม่ไปสนใจใครจะรู้ปฏิจจสมุปบาทอริยสัจโดยชื่อโพชฌงค์เท่าไหร่เราไม่สนใจเลย เราจะสนใจความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏชัดเจนจริงๆ ซึ่งก็ต้องเป็นความเข้าใจในตั้งแต่ต้นถ้าตอนต้นยังไม่มีความเข้าใจชัดเจนจริงๆ แล้วอย่าไปต่ออะไรเลยมันก็เป็นความไม่เข้าใจอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามทิ้งอย่างอื่นที่เคยได้ยินได้ฟังมาหมดตั้งต้นปรมัตถ์ธรรม ๔ ไปช้าๆ แล้วก็ไปให้เข้าใจจริงๆ และไม่ต้องกระโดดไปกระโดดมาหนังสือหน้านั้นว่าอย่างนี้อะไรเป็นอย่างนั้นเอาใหม่ ถ้าคุณสุพรรณีจะบอกว่าตั้งแต่เกิดมาขณะเกิดเป็นผลของกรรม และก็จิตขณะที่เกิดดับเพราะจิตนี้จะต้องดับทันทีที่เกิดทำกิจหน้าที่ของจิตนั้นเสร็จแล้วดับทันที

    นี่แสดงว่าจิตเกิดเร็วมากไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจสภาพของจิตได้ถ้าคนนั้นไม่ได้ฟังพระธรรม ใครล่ะจะบอกว่าจิตขณะนี้เกิดดับเร็วที่สุดไม่มีใครสามารถจะบอกใด้เลยคนที่สามารถจะบอกใด้ก็คือคนที่สามารถจะกล่าวลักษณะของจิตแต่ละประเภท แต่ละชนิดโดยละเอียดทีเดียวแสดงให้ผู้นั้นมีหลักฐานยืนยันว่าผู้นั้นได้ตรัสรู้จริงๆ ว่าจิตเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่าไม่ใช่การพูดจิตลอยลอย นี้เป็นผลนั่นเป็นเหตุ แค่นั้นไม่พอ แต่ต้องหมายความว่าที่จะให้เราเห็นจริงๆ ว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน และก็เกิดดับอย่างเร็วเอาอะไรมาพูดก็จะต้องมีจิตแต่ละประเภทแต่ละลักษณะซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงานอย่างเวลาที่เราพูดถึงจิตขณะแรก ปฏิสนธิจิตมีจริงทุกคนเกิดมาแล้วจะบอกว่าไม่มีปฏิสนธิไม่มีจิตเกิด ไม่ได้เลยเพราะเหตุว่ามีตัวสัตว์ตัวบุคคล ไม่ใช่เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้แต่ว่ามีตัวสัตว์ตัวบุคคลซึ่งเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้จริงๆ เพราะฉะนั้นขณะแรกที่เกิดก็ต้องรู้ว่าเป็นนามธรรมตั้งแต่ต้นเลยต้องเข้าใจคำว่านามธรรม และก็ต้องรู้ชาติด้วยว่าเป็นผลของกรรมคือเป็นวิบาก แล้วก็ต้องรู้กิจด้วยว่าขณะที่หนึ่ง ซึ่งเกิดเป็นจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นวิบากก็จริง วิบากซึ่งเป็นผลของกรรมต้องมีเยอะไม่ใช่มีอย่างเดียวขณะเดียว แต่ว่าขณะแรกที่ปฏิสนธิทำกิจเกิดขึ้นจิตทุกขณะทำกิจมีกิจหน้าที่ นี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มีลักษณะมีกิจการงานให้รู้ด้วยว่านี้นะเป็นจิตนะเกิดยังไงเกิดทำกิจอะไรทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนเป็นขณะแรกชื่อว่าปฏิสนธิจิต เพราะทำปฏิสนธิกิจเป็นผลของกรรม และกรรมดูซิค่ะการค้าสัตว์การลักทรัพย์การอะไรเยอะแยะ จะให้ผลเป็นจิตขณะเดียวทำกิจปฏิสนธิพอไหมโดยเหตุผลไม่พอตามสภาพธรรมไม่พอ เพราะฉะนั้นกรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไป ยังเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตขณะต่อไปที่เกิดก็เป็นวิบากคือเป็นผลของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดเพราะว่ากรรมจะไม่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขณะเดียว จะต้องทำหน้าที่อีกหลายขณะหลังจากที่เกิดแล้ว ขณะต่อจากปฏิสนธิก็คือว่าทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลที่เกิดมาแล้วนั้นไม่ให้เปลี่ยนสภาพเป็นบุคคลอื่น กรรมที่ทำให้เป็นคุณสุพรรณีจะทำให้เป็นคุณสุพรรณีไปจนกว่าจะตาย ไม่เปลี่ยนเป็นคนอื่นแน่ๆ เพราะอะไรคะเราใช้ชื่อสุพรรณีแต่ความจริงก็คือเป็นจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิ เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม เวลานี้คุณสุพรรณีมีภวังคจิตไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรถึงว่ามี

    ผู้ฟัง เพราะว่าต้องดำรงภพชาตินะคะ ยังไม่ตาย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมีภวังคจิตอยู่แน่นอนนะคะ

    ผู้ฟัง แน่นอนค่ะ

    ท่านอาจารย์ ภวังคจิตเป็นจิตชาติอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นวิบากค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมอะไร ภวังคจิตของคุณสุวรรณีต้องเป็นผลของกุศลกรรมนะคะ เพราะฉะนั้นตัวภวังค์จิตเป็น

    ผู้ฟัง เป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศลวิบากเห็นไหมคะค่อยๆ เข้าใจขึ้นโดยที่เราไม่ต้องไปท่องเลยเวลาที่เราใช้คำว่าภวังคจิต หรือจิตที่เกิดขึ้นทำกิจดำรงภพชาติหมายความว่าขณะนั้นยังไม่มีการเห็นการได้ยินการได้กลิ่นการลิ้มรสการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือแม้การคิดนึก เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าต้องแยกจิตเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือจิตที่เกิดโดยไม่อาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจรู้อารมณ์อื่นเลยนอกจากเป็นภวังค์รู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิเพราะเหตุว่าจิตเกิดโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปฎิสนธิจิตเป็นผลของกรรมใดทำให้รู้อารมณ์ใดภวังคจิตก็เกิดขึ้นดำรงภพชาติ ยังต้องรู้อารมณ์อยู่แต่ว่ารู้อารมณ์เดียวกับภวังคจิต ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะฉะนั้นขณะที่คุณสุพรรณีคิด เป็นภวังคจิตรึเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ทีนี้ต้องฟังใหม่ถ้าตอบอย่างนี้ต้องฟังอีกทีหนึ่ง ว่าจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิต ดำรงภพชาติโดยยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยินยังไม่ได้กลิ่นยังไม่ได้ลิ้มรสยังไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสยังไม่คิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตมีอารมณ์อะไรเพราะกรรมทำให้ปฏิสนธิจิตนั้นซึ่งเป็นวิบากมีอารมณ์นั้นดับไป ภวังคจิตก็เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมเดียวกับที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นจิตประเภทเดียวกันมีอารมณ์เดียวกัน เมื่อปฏิสนธิจิตเป็นกุศลวิบาก ภวังคจิตต้องเป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นกุศลวิบาก

    ท่านอาจารย์ กุศลวิบาก ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบากภวังคจิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ อกุศลวิบากต้องใช้คำว่าอกุศลวิบากด้วย นี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนภพชาติเมื่อเกิดมาแล้วจนกว่าจะถึงจุติคือตาย เพราะฉะนั้นให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่าภวังคจิตทำกิจดำรงภพชาติ ถึงแม้ว่าจะเป็นจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตแต่ไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ เพราะไม่ใช่ขณะแรกเป็นขณะที่ ๒ ที่เกิดต่อจากปฏิสนธิ เพราะฉะนั้นจะไปทำกิจปฏิสนธิไม่ได้ต้องทำภวังคกิจดำรงภพชาติอยู่เพื่ออะไร เพื่อรับผลของกรรมต่อไปข้างหน้าเขายังไม่ได้สิ้นสุดการรับผลของกรรม เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นภวังค์ไม่รู้อารมณ์ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ หมายความว่าไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่คิดนึก เข้าใจนะคะ เพราะฉะนั้นขณะที่คุณสุพรรณีคิดเป็นภวังคจิตรึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็นแล้ว

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่เปลี่ยนนะคะ ขณะที่คิดต้องไม่เปลี่ยนไม่ใช่ภวังคจิตเพราะอะไรคะ

    ผู้ฟัง เพราะว่ามันเกิดวิถีจิตขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ เพราะภวังคจิตใจไม่รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะภวังคจิตไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสรวมทั้งไม่คิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นที่เป็นภวังคจิตเพราะไม่รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ขณะที่คนสุพรรณีฝัน เป็นภวังคจิตรึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะฝันนี้เราก็รู้อารมณ์ทางมโนทวาร

    ท่านอาจารย์ ใช่เพราะขณะนั้นคิดนึกใช่ไหมคะ แท้ที่จริงความฝันก็คือการคิดนึก เพราะอะไรคะทำไมถึงเรียกว่าคิดนึก

    ผู้ฟัง เกิดนาน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คำตอบค่ะคุณหมอ

    ผู้ฟัง เพราะว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวใช่ไหมคะอาจารย์แล้วก็ มันไม่ใช่เป็นปรมัตถ์ อาจารย์มันเป็นบัญญัติเป็นเรื่องเป็นราว

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบให้ชัดขึ้นมาอีก

    ผู้ฟัง คือมันมีสิ่งที่ปรากฏทางใจที่ใจเรารู้

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบได้นะคะ แต่ต้องเรียบเรียงด้วยว่าให้มันชัดเจนขึ้นมาอีกค่ะ ถามว่าทำไมถึงได้ว่า ขณะที่ฝันเป็นขณะที่คิดนึก

    ผู้ฟัง เพราะขณะนั้นไม่ใช่การเห็นไม่ใช่การได้ยินไม่ใช่การได้กลิ่นลิ้มรสแล้วก็กระทบสัมผัสค่ะ

    ท่านอาจารย์ คือความชัดเจนจะอยู่ตรงที่ว่าขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่คิดขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่คิด ขณะที่ได้กลิ่นไม่ใช่ขณะที่คิดขณะที่ลิ้มรสรสปรากฏไม่ใช่ขณะที่คิดขณะที่กำลังกระทบสัมผัสอ่อนแข็งปรากฏไม่ใช่ขณะที่คิดเพราะแข็งกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ไม่ได้รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย คือขณะที่คิดนี่เป็นของที่แน่นอน จำไว้ได้เลยว่าขณะใดก็ตามที่ไม่ได้รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายขณะนั้นเป็นคิดทั้งหมด เพราะฉะนั้นธรรมจะไม่เปลี่ยน ความจริงเป็นยังไงเป็นอย่างนั้นเพราะว่าถึงแม้ว่าจิตนี้ใครจะเกิดดับเร็วมากยังไงก็ตามแต่เพราะการตรัสรู้ทรงแสดงชัดถึงการตรัสรู้ว่าขณะใดที่เป็นจิตเห็น หรือกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาวิถีจิตทางตาทั้งหมดไม่ใช่ขณะที่คิดกำลังมีสื่งนั้นทางตาเป็นอารมณ์ ขณะที่เสียงกำลังปรากฏวิถีจิตทั้งหมดวาระนั้นมีเสียงที่ยังไม่ดับเป็นอารมณ์ขณะนั้นไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นพอถึงฝันไม่ใช่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นคือคิด แล้วก็ผู้ที่เจริญสติปัฎฐานจะทราบจริงๆ ว่าพอตื่นขึ้นมาเนี่ยรู้เลยว่าแค่คิดค่ะเรื่องทั้งหมดที่ฝันคือคิดทั้งนั้น ไม่ใช่ขณะที่เห็นขณะที่ได้ยินขณะที่ได้กลิ่นขณะที่ลิ้มรสขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    ผู้ฟัง อาจารย์ครับแล้วจิตที่กำลังคิดกำลังฝัน เราจัดว่าเป็นชาติของจิตอะไรครับอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็น่าคิดเพราะเหตุว่าต้องเข้าใจชัดเจนทีเดียวค่ะว่าวิบากจิตสั้นที่สุดคือขณะเห็นทางตาแล้วท่านแสดงโดยวิถีจิตคือโดยนัยของพระอภิธรรมแล้วก็แยกจิตละเอียดทีเดียวว่าขณะใดเป็นวิบากขณะใดเป็นกิริยาขณะใดเป็นกุศลอกุศลแม้ชั่วขณะที่สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏโดยยังไม่ดับจะมีจิตครบทั้ง ๔ ชาตินี้แสดงให้เห็นว่าเราจะพูดอย่างหยาบกว้างๆ หรือว่าเราจะพูดอย่างละเอียดถ้าโดยนัยของพระสูตรแล้วไม่มาแสดงจิตที่ละขณะทีละะชาติอย่างนี้แต่จะแสดงว่าขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่คิด แล้วก็ไม่ใช่วิบากจิต ขณะที่เห็นต้องเป็นวิบากจิต แต่ขณะที่คิดไม่ใช่ขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นขณะที่คิดค่ะเป็นวิบากจิตไม่ได้

    ผู้ฟัง ก็ยังสงสัยว่าที่คิด หรือนึกเป็นชาติชาติอะไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นวิบากไม่ได้จะเป็นชาติอะไร

    ผู้ฟัง เป็นกุศล และอกุศลแน่นอนอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องเป็นกุศล หรืออกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด

    ผู้ฟัง เราได้ฟังธรรมกันมาแล้ว ๓ เดือนนะครับ จากความเข้าใจของผมนี่ทำให้ผมเข้าใจ สภาพธรรมขึ้นดีอีกเแยะเลยนะครับ เราได้แม่บทใหญ่ๆ มาเป็นแม่บทคือปรมัตถธรรมๆ ก็มีจิตเจตสิกรูป และนิพพานนะ แต่จาก ๒, ๓ ครั้งที่เราได้มาฟังกัน ผมก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกว่าจิตเจตสิกรูป นิพพาน มันก็แบ่งออกเป็น๒ อย่างก็คือสภาพรู้ กับสภาพที่ไม่รู้อารมณ์มันก็เหมือนกับมีนามธรรม และรูปธรรมจากนั้นก็แตกเป็นขันธ์ทั้ง ๕ แตกออกมาเป็นเป็นอะไรต่ออะไรต่างๆ มันก็จะกลายเป็นสภาพรู้ไม่รู้นะลักษณะนี้มันจะทำให้ผมพิจารณาสภาพธรรมมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น นั่นก็คือไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนถ้าไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนขณะนั้นคืออะไรก็ขณะนั้นก็คือจิตเจตสิก รูป เกิดดับสืบต่อเนื่องกันอยู่ตลอดโดยไม่ขาดสายในขณะนี้รูปตัวนี้ไม่มีสภาพรู้ และก็ไม่มีสภาพของการที่จิตเจตสิกรูป เกิดดับโดยไม่ขาดสาย ขณะนี้เราเริ่มพิจารณากันบ้าง หรือยังว่า ที่เราได้ศึกษากันมาทั้งหมดนี่เรามีแม่บทอยู่อันนึงเหมือนกับนักกฎหมายเมื่อจะเรียนเรียนกฎหมายแล้วเรามีจิตเจตสิกรูปนิพพานเท่าที่พอจะรู้ได้คือ จิตเจตสิกรูปนี่ก็คือสภาพรู้กับสภาพไม่รู้ หรือนามธรรมกับรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ อันนี้นะคะ คือว่าเราต้องทราบว่าทางกาย เราสามารถที่จะรู้ถ้าเวทนานั้นชัดเจนที่จะรู้ว่าเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาทอย่างเวลาที่ปวดเจ็บทางกายใครจะบอกว่าเป็นกุศลวิบากนี้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่ถึงกับเจ็บ หรือถึงกับปวดทำให้สามารถจะบอกได้ แต่ขณะที่คุณสุรีย์จับไมโครโฟน บอกยากเหลือเกินว่าเวทนามันเป็นสุขมันเป็นทุกข์ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะจริงๆ ที่จะรู้อย่างรวดเร็วที่ขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏจะไม่สามารถรู้ลักษณะของเวทนา อย่างผมสั้นที่ปรกหน้าผากนี่คะทุกคนจะรู้สึกรำคาญเส้นบางเล็กนิดเดียวเองนะคะ เส้นผมเนี่ยไม่ใช่ของหนักๆ อะไรเลยแต่ว่าแทบจะรู้สึกสภาพของเวทนาในขณะนั้นจะรู้สึกได้ว่าลักษณะแม้ลักษณะกระด้าง หรือความหยาบของเส้นผมเล็กๆ ที่กระทบกับกายปสาท ขณะนั้นเป็นทุกขเวทนาไม่ใช่สภาพที่รู้สึกสบาย เพราะฉะนั้นแม้แต่เรื่องของกายปสาทซึ่งหยาบกว่าทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นเราก็ยังรู้ยากเวลาที่มันเล็กน้อยเหลือเกิน เพราะฉะนั้นสำหรับวิบากทางตาที่เห็นนี่ค่ะเวทนาเป็นอุเบกขา เราจะเอาความรู้สึกที่เกิดในขณะที่กำลังเห็นมาบอกไม่ได้เราสามารถที่จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นประมาณได้เป็นอิฎฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ส่วนใหญ่โดยเป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจแต่แม้กระนั้นก็ไม่มีใครที่สามารถที่จะตอบไปทุกกรณีได้ว่าอันนี้เป็นอีกฐารมณ์อันนั้นเป็นอนิฏฐารมณ์นี้เป็นกุศลวิบาก นั้นเป็นอกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นทางกายเราพอจะรู้ได้ถ้าอารมณ์นั้นหยาบพอสมควร แต่ถ้าอารมณ์นั้นไม่กล้า หรือไม่มีกำลังก็รู้ยาก เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่เราจำเป็นเรื่องที่เราพูดเป็นเรื่องที่เราคิดแต่ว่าไม่ใช่การรู้ลักษณะเราจึงต้องศึกษาปรมัตธรรมเพื่อจะรู้จักตัวจริง เริ่มต้นตั้งแต่การเห็นเดี๋ยวนี้เลยให้ทราบว่าขณะนี้เป็นวิบากเพราะต้องเห็นหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนี่คือความหมายของวิบากมีจักขุปสาทเพราะกรรมแล้วยังมีรูปมากระทบแล้วมีจิตเห็นหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนี่คือวิบากแต่ใจจะเป็นกุศล หรืออกุศลตามการสะสม และเปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่วิบาก วิบากแค่เห็นแค่ได้ยิน

    ผู้ฟัง เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ ว่าในชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบันมีสภาพธรรมอะไรกำลังปรากฏท่านอาจารย์พยายามชี้ให้เห็นถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ คุณสุรีย์เดินจับถ้วยมา ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เดินจับถ้วยมานะคะ มีวิบากไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ หนีไม่พ้นเลยนั่งอยู่ก็มีเดินไปก็มีกลับมาถือถ้วยนี้ก็มี วิบากอันนี้ลองจับหน่อยลองจับวิบากอันนี้ เห็นไหมคะเป็นวิบาก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ วิบากอะไร

    ผู้ฟัง ทางกาย

    ท่านอาจารย์ วิบากชนิดไหน

    ผู้ฟัง กายวิญญานจิต

    ท่านอาจารย์ ชนิดไหน

    ผู้ฟัง เย็นร้อนอ่อนแข็ง

    ท่านอาจารย์ ชนิดไหน

    ผู้ฟัง ชนิดไหนกุศล หรืออกุศลใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ วิบากมี ๒ อย่าง อกุศลวิบากกับกุศลวิบาก จับเลยค่ะ

    ผู้ฟัง ถ้าจับแล้วดิฉันชอบอุ่นๆ

    ท่านอาจารย์ ชอบไม่เกี่ยว เรื่องชอบไม่เกี่ยว

    ผู้ฟัง เป็นอกุศลวิบาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะหนีพ้นได้อย่างไร ชั่วนิดเดียวที่กระทบ ถ้ามีกายปสาทเมื่อไหร่แล้วก็รู้สิ่งที่ปรากฎเมื่อไหร่เมื่อนั้นเป็นวิบาก ไม่ว่าเวทนาจะเป็นอะไรก็ตาม ทางตาเห็นเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็เป็นวิบากไม่ว่าจะเป็นเวทนาอะไรก็ตาม ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้น เฉพาะทางกายไม่เป็นอุเบกขา

    ผู้ฟัง อาจารย์คะ สำหรับทางตานี่เป็นอุเบกขาเวทนาฉันยอมรับนะคะ แต่ทางหูนี่มันไม่ใช่ ทางหูนี่มันไวกว่าทางตา มันได้ทั้งกุศลอกุศล

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันค่ะนี่พูดถึงวิบากไปพูดถึงอะไรคะถ้าพูดถึงวิบากแล้วต้องแยก

    ผู้ฟัง ออกจากกุศลจิตแต่มันก็เป็นกุศลวิบากจิต เป็นกุศลโสตวิญญาณ หรืออกุศลโสตวิญญาณก็ได้ถูกไหม แต่นี่ดิฉันเรียนท่านอาจารย์ทราบหมายความว่า ทางหูนี้มักจะไม่เป็นมีไหมอุเบกขาอาจารย์มีไหมโสตวิญญานมีไหม

    ท่านอาจารย์ คุณสุรีย์ค่ะ ตาเฉพาะจักขุวิญญาณนี่จะไม่เกิดกับสุขทุกข์โสมนัสโทมนัสเลย

    ผู้ฟัง เป็นอุเบกขาใช่

    ท่านอาจารย์ ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้น ๔ ทางจะต้องเป็นอุเบกขาทั้งหมด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 10
    5 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ