สนทนาธรรม ตอนที่ 086


    ตอนที่ ๘๖


    ผู้ฟัง หมายความว่าถ้าเจริญสติปัญญาไปจนถึงขั้นหนึ่งที่ใช้ได้ก็จะมองอะไรเป็นเพียงสิ่งปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เปลี่ยนแปลง อันนี้ต้องทราบ ความรู้ต่างหากที่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ความรู้ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ความรู้เพิ่มขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องอบรมความรู้ทั้งหมดที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าความรู้เราถึงขั้นที่ว่าเป็นเพียงสิ่งปรากฏทางตาถือว่าใช้ได้ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่อยากจะถามว่าต้องให้รับรองว่าใช้ได้ไหม ความรู้คือความรู้ รู้กับไม่รู้นี่ก็ต่างกันอยู่แล้ว ไม่รู้คือไม่รู้ หรือรู้คือรู้ แล้วรู้จริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องไปหาคำยืนยันที่อื่นอีกได้อย่างไร

    ผู้ฟัง คือสงสัยที่อาจารย์บรรยาย สมมติว่ามีกุลบุตรใดกุลบุตรหนึ่งเจริญสติไปจนถึงอย่างที่อาจารย์พูด คือเห็นว่าเป็นเพียงสิ่งปรากฏทางตา ก็ถือว่า ...

    ท่านอาจารย์ ก็ถูก ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และคนนั้นก็รู้จริงๆ ด้วย

    ผู้ฟัง แต่ว่าไม่รู้เป็นบ้าน เป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ ทำไมคะ หลังจากนั้นก็รู้สิคะ หลังจากเห็นแล้วก็คิดนึก คิดนึกก็คือคิดนึก ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นจะไม่มีการผิดปกติเลย แต่เพิ่มความรู้

    ผู้ฟัง ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์สมพรว่าเหตุไฉน ในตำราโหราศาสตร์หรือ คำพยากรณ์ทำไมถึงตรงกับชีวิตจริงของเราหลายเรื่องหลายราวทำให้คนวิ่งไปหาหมอดู เพราะฉะนั้นขอเหตุผลเรื่องนี้ด้วยเพื่อประโยชน์สำหรับใครที่ชอบไปหาหมอดูจะได้หยุด หรือว่ายิ่งไปหาใหญ่

    อ.สมพร เรื่องหมอดูมีมาก่อนสมัยพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ขอเล่าประวัติเรื่องหมอดูนิดหน่อย หมอดูนี้เดิมทีเดียวเกิดจากพวกที่ได้อภิญญาจิตระลึกชาติไปมากมายก็จะเห็นปรากฏการณ์แล้วก็จดไว้ว่าตนเคยเกิดเป็นอย่างนั้นๆ แล้วมาเกิดเป็นอย่างนี้จดไว้มากเข้าๆ ก็เลยกลายเป็นหมอดู ที่ว่าโหราศาสตร์ คำว่าโหราศาสตร์ความรู้เกี่ยวกับกลางคืน และกลางวัน โห แปลว่ากลางวัน รา แปลว่ากลางคืน ศาสตร์แปลว่ารู้ รูั เกี่ยวกับเวลากลางคืน กลางวัน รู้ทุกขณะ นั่นเป็นลัทธิภายนอก แต่ว่าบางอย่างคนที่เกิดมาๆ ด้วยลักษณะของบุญของวิบากมีอยู่ เช่นพระพุทธเจ้าเมื่อปฏิสนธิมาเกิดมาแล้วก็มีลักษณะแปลกกว่าคนอื่น ก็ด้วยอำนาจวิบากเก่า แต่ว่าคนที่จะทายพุทธเจ้าถูกต้องก็มีพวกพรหมแปลงเป็นพราหมณ์ แล้วมาบอกสอนวิธีทำนายว่า ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ๆ สอนพวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์จึงพยากรณ์พระพุทธเจ้าว่า เมื่อออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็มีพยากรณ์๒ พวก ถ้าไม่ออกบวชจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อย่างนี้มีส่วนถูก แต่ว่าที่ส่วนผิดก็มีมากเหมือนกันการพยากรณ์ไม่ถูกต้องก็มีมาก คือการพยากรณ์ที่ถูกต้องก็ต้องอาศัยวิชชาซึ่งเกี่ยวกับอภิญญาจิตด้วย แล้วก็ถูกต้อง ในสมัยก่อนเขาก็ได้ณานอภิญญามาก สมัยรุ่นหลังนี่ก็ไม่ได้ฌานอภิญญาเพียงแต่ว่ารักษาต้นฉบับคือหมอดูไว้ก็ทายผิดบ้างถูกบ้าง แต่ว่าจะให้ถูกเต็มที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากรรมนั้นเปลี่ยนไปได้ เราทายว่าคนนี้กำลังมีเคราะห์กรรม แต่เขากลับไม่มีเคราะห์กรรมเลยกลับมีโชคลาภก็เป็นไปได้ ผมก็สนเท่ห์หลายครั้งแล้วเมื่อผมเป็นหนุ่มอายุน้อยๆ เขาก็พยากรณ์ว่ามีเคราะห์ นึกอีกทีกำลังมีลาภหรือมีเคราะห์ทายตรงกันข้ามก็ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องหมอดูอย่าไปสนใจมาก ถ้าวิบากของเราดีหมอดูบอกว่าไม่ดี มันก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเพราะว่าเราไม่ได้ดีตามหมอดู เราถือกรรมเป็นใหญ่ ถ้าเรากระทำกรรมแล้วจิตเราผ่องใสแล้วขณะนั้นต้องดีเสมอ พระองค์ตรัสว่าไม่ต้องถือฤกษ์ถือยาม ขณะใดจิตผ่องใสเป็นกุศล ขณะนั้นเป็นฤกษ์ดียามดี

    ท่านอาจารย์ ก็คิดว่าถ้าดูกรรมก็คงจะเห็นง่ายกว่า เพราะว่าทุกคนเกิดมาต่างกันหมอดูก็ทายไม่ได้ว่าใครจะเกิดที่ไหน อย่างไร แต่ว่ากรรมที่เป็นเหตุให้ปฏิสนธิ เราจะทราบได้ว่าวิจิตรต่างกันมากค่ะ แม้ว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นมนุษย์ด้วยกันในโลกนี้ อยู่บ้านติดกัน หรือว่าในบ้านเดียวกัน ก็ยังต่างกันตามกรรมที่ได้สะสม นี่ก็อย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าตลอดชีวิตของเราย่อมเป็นไปตามกรรมส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือเมื่อได้รับผลของกรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วเกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิตซึ่งจะทำให้เป็นกรรมต่อไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นเรารู้จักตัวเราดีจริงๆ ใครจะรู้ว่าขณะนี้เราโลภหรือว่าเราโกรธหรือว่าเราเป็นกุศลนอกจากตัวของเราเองที่เขาสามารถจะพยากรณ์ไม่ละเอียดเลย เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะรู้ถึงจิตของเราในขณะนั้น หรือแม้แต่จิตของเขาเองซึ่งกำลังพยากรณ์คนอื่นเขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นโลภะหรือว่าเป็นจิตประเภทไหน แสดงให้เห็นว่าถ้าเรารู้จักโลก รู้จักสภาพของจิตจริงๆ แล้วจะเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่แล้วแต่ขณะที่กรรมใดจะให้ผล ถ้าชีวิตทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ว่าเวลาที่ได้ลาภ ได้ลาภไม่เท่ากัน ได้ยศไม่เท่ากัน ได้สรรเสริญไม่เท่ากัน มีสุขทุกข์ไม่เท่ากัน เพราะอะไร เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตของทุกคนจะมีขณะที่เป็นผลของกุศลกรรมบ้าง แล้วก็เป็นผลกรรมของอกุศลกรรมบ้าง ซึ่งแม้แต่ขณะนี้หมอดูก็ทายไม่ได้ แต่ว่าขณะนี้เรารู้ว่ากำลังเห็นเป็นผลของกรรม กำลังได้ยินเป็นผลของกรรม แสดงให้เห็นว่าถ้าเราสามารถที่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา จะเห็นว่าไม่มีใครที่จะรู้ดียิ่งกว่าตัวเอง แล้วก็ไม่มีใครที่สามารถจะพยากรณ์ถึงอนาคตชาติหน้าได้ แต่ว่าเราเองรู้ว่ากรรมที่มีอยู่ย่อมเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรม เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถจะมีคุณวิเศษอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงพยากรณ์ได้ทั้งอดีตนานมาแล้ว และอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะว่าสำหรับพระองค์นั้นเพียงแต่เห็นสามารถที่จะรู้ได้ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะชาติก่อน แต่นานแสนนานมาแล้วทำอะไรไว้อย่างไร พระองค์ก็สามารถที่จะรู้ได้ แล้วก็ยังรู้ถึงอนาคตด้วยจากการสะสมของจิตในขณะนี้ที่เป็นอย่างนี้ รู้ว่าต่อไปกาลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ทรงพยากรณ์ได้ นั่นต้องเป็นผู้ที่ประกอบด้วยคุณวิเศษขั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับเราก็คงจะไม่หวั่นไหว เพราะว่าทุกคนก็มีกรรมเป็นของๆ ตนชาตินี้มีกรรมเป็นอย่างนี้ แต่กรรมก็เปลี่ยนไปทุกขณะจิตเหมือนกันที่จะให้ผล เมื่อวานนี้ให้ผลอย่างหนึ่ง วันนี้ก็แล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผล แต่ว่าสิ่งใดที่เกิดกับตนไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย จะมีความหวั่นไหวน้อยลง แล้วก็จะไม่โกรธคนอื่นด้วยเพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่กรรมฉันใด ได้กุศลวิบากก็ฉันนั้น แต่ว่าทุกคนที่ไปดูหมอนี้รู้สึกว่าอยากจะได้ผลของกุศลกรรม เพราะว่าจะทายกันว่าเมื่อไหร่จะได้ลาภบ้าง หรือว่ายศบ้างหรือจะได้มากได้น้อยอย่างไรบ้าง ก็เป็นเรื่องห่วงแต่เย็นใจได้ค่ะว่ามีกรรมเป็นของๆ ตน ถ้ากรรมดีให้ผลเราก็อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์ บางคนก็ได้สิ่งซึ่งคนอื่นไม่ได้มากมายมหาศาลตามกรรมก็แล้วแต่กรรมของแต่ละคน ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนก็มีชีวิตไปแต่ละวันเท่านั้นเอง หรือว่าสั้นกว่านั้นอีกคือแต่ละขณะจิตแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรได้ทั้งสิ้นตามกรรม หมอดูก็บอกได้ไม่ละเอียดเท่ากับเราซึ่งรู้จิตของเราว่าเป็นกุศลอกุศลมากน้อยแค่ไหน

    อ.สมพร เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงในกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราต้องมั่นคงในกรรม พระพุทธเจ้าบอกว่าหมอดูก็ดี ภูเขาก็ดีแม่น้ำต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม ไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม พึ่งแล้วพ้นทุกข์ไม่ได้ เราจะเชื่อท่านหรือไม่ เราก็ต้องพิจารณา พึ่งแล้วพ้นทุกข์ไม่ได้ ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม แต่ที่พึ่งอันเกษมนี้คือพระธรรม เช่นเรื่องกรรมเป็นต้น แล้วพึ่งอย่างอื่นก็ใกล้ๆ กับมิจฉาทิฏฐิ เพราะมีโลภะที่อาจารย์พูดต้องเป็นเรื่องลาภเรื่องยศเรื่องอะไรทั้งนั้น ถ้าจะไปถามอย่างอื่นคงไม่เอา

    ผู้ฟัง ดิฉันไปสนใจเพราะว่าจะพูดถึงอุปนิสัยกิเลสของตัวเราตรง แล้วอุปนิสัยกิเลสซึ่งเราต้องการจะละในธรรมนี่ บางครั้งถึงนึกว่า ทำไมทายอุปนิสัยของเราถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเราไม่ไปหาหมอดูแล้วก็ทราบใช่ไหมว่าเราเป็นคนมีอุปนิสัยอย่างไร แต่ทีนี้ที่ไปหาหมอไปดูหมอไม่ใช่ว่าให้หมอดูเรา คือไปดูว่าหมอว่าแม่นหรือเปล่าใช่ไหม หมอคนนี้เดาๆ หรือว่าหมอคนนี้มีความสามารถทางไหน ทางไพ่ เขาศึกษามาอย่างไร ถึงสามารถที่จะบอกเหตุการณ์ต่างๆ ได้จริงๆ แล้วคิดว่าไปดูหมอ แล้วทุกคนก็กลับมาวิพากษ์วิจารณ์แม่นหรือไม่แมน นี่ก็คือไปดูหมอมา แต่ว่าหมอจริงๆ ที่จะดูเราเขาก็คงสามารถจะดูได้เขาก็คงมีความรู้พอสมควร มีการศึกษาพอสมควรไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็มานั่งดูคุณอดิศักดิ์เป็นอย่างไีรโดยที่ไม่มีความรู้ที่เป็นพื้นฐานเลย แต่ว่าต้องอาศัยตำราซึ่งก็คงจะประมวลมาจากแต่ละสาขา จากเวลาเกิดตรงกับดวงดาวอะไรต่างๆ พวกนั้นไม่ใช่ว่านึกเดากันเอง ซึ่งเรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่ากรรมไหนจะให้ผลกรรมที่มีกำลัง ๔ อย่างเช่นครุกรรมเป็นกรรมหนัก และอาจิณณกรรม คือกรรมที่ทำบ่อยๆ อสันนกรรมคือกรรมที่ใกล้จะตาย กตัตตากรรมคือกรรมเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่ากรรมไหนจะให้ผลเหมือนกับผลไม้เราก็ไม่ทราบว่าทั้งต้นลูกไหนจะหล่นหรือว่าลูกไหนจะสุกอย่างไร ก็ต้องแล้วแต่ว่าพร้อมด้วยการสุกงอมที่จะให้ผล เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่โอกาสของครุกรรมก็ยังมีกรรมอื่นอีก ก็ยังมีอาจิณณกรรมที่ทำบ่อยๆ หรืออาสันนกรรมก็มีโอกาสที่จะให้ผลได้ แสดงให้เห็นว่ากรรมที่ได้กระทำไปแล้วเราไม่มีโอกาสที่จะรู้เลยว่ากรรมไหนจะให้ผล เราทุกคนต้องตายเป็นของที่แน่นอน เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดอีกแน่นอน แต่เลือกกรรมที่จะทำให้เกิดชาติหน้าไม่ได้เลย

    การเข้าใจเรื่องการเห็นโดยชื่อ หรือว่าฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่าเห็นมีแล้ว เราก็ไม่เคยรู้เลย เห็นไปเรื่อยๆ จนตายโดยไม่รู้แต่ละชาติเป็นไปได้จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วมีการเข้าใจถูกต้องว่าทุกอย่างมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี แต่ทุกอย่างนั้นก็เป็นธรรมเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของแต่ละอย่างที่จะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยจริงๆ ถ้าเราพยายามที่จะคิดถึงว่าเราไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีมากมาย จุดประสงค์คือฟัง ศึกษา พิจารณา สนทนา จนกว่าจะเข้าใจขึ้น และไม่ต้องไปหวังรอสติว่าเมื่อไหร่ พยายามไปหาอาหารปรุงแต่งที่จะให้สติเกิดเร็วๆ มากๆ นั่นก็ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นเรื่องของความต้องการ แต่จริงๆ แล้วธรรมทั้งหมดนี้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อความเห็นที่ถูกต้องเพราะเหตุว่าเราเห็นอย่างหนึ่ง คนธรรมดาที่ไม่ฟังพระธรรมเห็นอย่างหนึ่ง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอีกอย่างหนึ่ง เราเห็นว่าธรรมขณะนี้เที่ยงปรากฏตั้งนานเลย ทั้งทางตาก็ปรากฏอยู่เรื่อยๆ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะเห็น เพราะฉะนั้นแต่ละครั้งแต่ละขณะในชีวิตทุกอย่างที่เกิดปรากฏเพียงชั่วขณะหนึ่งขณะเดียว แล้วก็หมดไป โดยที่เราไม่ทราบ โดยที่เราไม่ได้สังเกต โดยที่เราไม่รู้ว่าตั้งแต่เราเกิดมาทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหายไปหายไปอยู่ทุกขณะ ไม่กลับมาอีกเลย เราจะเป็นคนเก่าคนเดิมพร้อมปฏิสนธิจิตซึ่งขณะนั้นมีรูปที่เล็กที่สุดตอนเกิดจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปไม่ได้ ก็จะต้องมีการเจริญเติบโต และก็เมื่อเติบโตขึ้นมาทุกขณะจิตเราจะเห็นแล้วก็ให้ขณะนี้เป็นเห็นขณะต่อไปก็ไม่ได้ เพราะเห็นแต่ละครั้งแต่ละขณะก็ไม่ใช่เห็นขณะเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมฟังแล้วก็พิจารณาในสิ่งที่ได้ฟังแล้วนั้นแหละเพิ่มขึ้นอีกเพิ่มขึ้นอีก จนกระทั่งเป็นความเข้าใจ ไม่ต้องห่วงว่าเมื่อไหร่สติปัฏฐานจะเกิดหรือพยายามจะไปหาอาหารให้สติขั้นนั้นเกิด แต่เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นเป็นสังขารขันธ์เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็นโลภะที่ไปขวนขวายหาทางให้สติเกิดเพราะว่านั่นเป็นเครื่องกั้นโลภะจะทำให้สติเกิดไม่ได้ แต่ความเข้าใจถูกในความเป็นอนัตตาในความเป็นธรรมชั่วคราวๆ จริงๆ เมื่อวานนี้หมดไปแต่ยังเหลืออยู่ในความจำว่าเมื่อวานนี้มีอะไรบ้าง แต่ความจำที่จำก็จำชั่วขณะที่นึกถึง ถ้าไม่นึกถึงก็ไม่ได้จำเรื่องนั้นเลย เมื่อวานไม่มีอะไรตรงไหนบ้าง ก็จำไม่ได้แล้ว ไม่ได้นึกถึง เพราะฉะนั้นทุกอย่างในชีวิตให้ทราบว่าเป็นชั่วขณะ ชั่วขณะชั่วคราวจริงๆ แล้วเราก็จะอยู่ไปอย่างนี้เรื่อยๆ โดยที่ว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจก็เหมือนเดิม และก็มากขึ้นด้วยคือติดทุกอย่างที่ปรากฏในชาตินี้ ตอนเป็นเด็กก็ติดพ่อ ติดแม่ ติดเพื่อน ติดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่เราไม่ติด แล้วเราจะติดไปจนตายหนึ่งชาติ ชาติหน้าเพิ่มขึ้นอีก เพิ่มอีก จนเป็นเราเดี๋ยวนี้ คนนี้ จากที่เคยเป็นมาแล้วนานแสนนาน เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นคนใหม่ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะเปลี่ยนไม่ได้ ใครจะเปลี่ยนสิ่งที่เคยสะสมมาแล้วได้ นิสัยความคิดอุปนิสัยกิริยาท่าทางความชอบในสีอย่างนั้น ในเสียงอย่างนั้น แต่ละบุคคลก็สะสมมาที่จะเป็นแต่ละหนึ่งจะไม่เป็นสองจะไม่ซ้ำกัน

    เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ แต่ว่าสามารถจะเติม คือศึกษาให้เข้าใจความรู้ความจริงของสภาพธรรมว่าเป็นจริงอย่างไรของแต่ละคนก็เป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งไม่สามารถที่จะไปแก้ไขคนอื่นได้ หรือแม้แต่ตัวเอง ถ้ามีความคิดว่าเราจะแก้ไข ขณะนั้นเพราะไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิด ทุกขณะเป็นธรรมซึ่งไม่เป็นของใคร และก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้ความคิดว่าจะแก้ ก็ชั่วขณะนิดเดียวแล้วก็หมดไป แล้วแก้ได้ไหม ก็กลับไปเหมือนคนเก่า ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเราไม่ได้ฟังชาตินี้ชาติเดียว แน่นอนที่สุด ชาตินี้ชาติเดียวไม่พอที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนี้ไม่ใช่ว่าจะยั่งยืนแม้แต่ความคิดที่หวังขณะนี้ ก็ไม่ใช่ขณะต่อไป เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าเราทุกคนคงจะไม่อยากเกิดอย่างอื่นใช่ไหม นอกจากเกิดเป็นภูมิที่ดีคือเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาบนสวรรค์ แต่รูปพรหมไม่ต้องหวัง ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ ถ้าจิตไม่สงบระงับอย่างมั่นคงแนบแน่นถึงขั้นฌานจิตก็ไม่ต้องพึงหวังที่จะไปเกิดเป็นรูปพรหม แต่เราสามารถรู้เหตุว่าการที่จะไปเกิดที่นั่นต้องเป็นเพราะอบรมเจริญอย่างไร

    เพราะฉะนั้นที่เราเคยได้ยินได้ฟังเรื่องพรหมมาตั้งแต่เด็ก และเชื่อง่ายๆ คนโน้นก็เป็นพรหมคนนี้ก็เป็นพรหม ตรงศาลนั่นก็เป็นพรหม ตรงนี้ก็เป็นพรหม แล้วก็จะรู้ได้เลยว่าพรหมอะไร มีเหตุอะไร พรหมมาอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่ใช่เรื่องราวของพรหมที่จะอยู่ตรงนี้หรืออะไรอย่างนี้ เราก็จะมีเหตุผล และมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นเพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเห็นหรือไม่มีการศึกษาธรรมที่ถูกต้อง แต่ละคนจะมีความคิดซึ่งไม่ถูกแน่นอน เพราะว่าเพียงได้ยินได้ฟังแล้วคิดเอง จะถูกได้อย่างไร ใครคิดเองได้ในเหตุในผลในสภาพธรรม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง ทั้งโลกกี่โลกแม้แต่เทวโลก มารโลก พรหมโลกก็ยังต้องฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นเราอยู่ตรงนี้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง จะนานเท่าไรไม่ทราบ แต่ก็เป็นขณะที่จะได้สะสมความเห็นที่ถูกต้อ งเพื่อว่าชาติต่อๆ ไปเราก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมอีก ถ้าใครจะเกิดบนสวรรค์ได้ฟังแน่ๆ เพราะว่าที่สวรรค์ก็มีศาลาสุธรรมาเหมือนที่โลกมนุษย์ที่ไหนที่มีการสนทนาธรรมเป็นสภา เป็นศาลาที่มีการสนทนาธรรม บนสวรรค์สำหรับผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วมีความสนใจจึงจะไปสู่ศาลาสุธรรมา เหมือนกับคนที่ไม่ได้สะสมมาก็ไม่มาสู่ที่สนทนาธรรม แต่คนที่สะสมมาแล้วจะอยู่ที่ไหนถ้าเป็นภูมิที่เป็นสุคติภูมิก็มีโอกาสที่จะฟังต่อศึกษาต่อ เป็นการอบรมที่ใช้คำว่าจิรกาลละภาวนา จีระ แปลว่ายาวนาน กาล ก็แปลว่าเวลา เราก็ฟังเรื่องนามธรรม รูปธรรม ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนๆ ก็เคยฟัง อย่างท่านพระสารีบุตร ชาติก่อนๆ ที่จะได้เป็นอัครสาวกท่านก็ต้องเคยฟัง เคยอบรมปัญญา แต่ไม่ถึงกาลที่จะเป็นพระโสดาบัน คิดดูนะคะ ท่านพระสารีบุตรอัครสาวกเมื่อแสนกัปมาแล้วก็เคยเกิดเป็นญาติพี่น้องกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับบุคคลนั้นบุคคลนี้ แต่ว่าเวลาที่ท่านจะได้เป็นอัครสาวกได้ฟังธรรมเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ว่าขณะที่ยังไม่ถึงกาลที่จะเป็นพระโสดาบัน ฟังเท่าไร แต่ละชาติเป็นบรรพชิตบ้าง เป็นคฤหัสถ์บ้างสารพัดที่จะเป็น และก็อบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นใครจะไปเร่งรัดปัญญา เร่งไม่ได้ จะไปคิดว่าเมื่อไหร่สติปัฎฐานจะเกิด ก็ไม่ควรจะคิด เพียงแต่ว่าสะสมความเข้าใจในพระพุทธศาสนาคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้ก็แสดงแล้วว่าพุทธเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะฉะนั้น การที่จะศึกษาคำสอนก็คือให้ปัญญาของเราค่อยๆ รู้ เพื่อที่จะได้เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามด้วย เพราะว่าถ้าไม่ศึกษาคำสอน ชาตินี้ทั้งชาติที่ไม่รู้อะไรเลย ตื่นหรือยัง ทุกขณะจะว่าไปแล้วก็เหมือนฝัน สิ่งที่ปรากฏก็ปรากฏชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็หมดไป เมื่อหมดไปแล้วก็เหมือนสิ่งที่เราฝันถึงหรือว่าปรากฏในความฝัน เมื่อคืนนี้ใครจะฝันว่าอะไรก็ตามแต่ บางคนอาจจะฝันว่าได้ ได้อะไรสักอย่างหนึ่งในฝัน ดีอกดีใจมากที่ได้ ตื่นขึ้นมาหายไปไหนสิ่งที่เราได้ในฝันหายไปไหน

    เพราะฉะนั้นชีวิตก็เหมือนกัน สิ่งที่เราได้ทุกขณะหายไปไหน ต้องหายหมดไปแน่นอนก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นการที่จะเปรียบเทียบให้เห็นให้เข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตแต่ละคนนี่ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ จะให้เกิดเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมเพิ่มเติม เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่ได้สะสมมาว่าสะสมมาอย่างไร คิดอย่างไร ก็เป็นความจริงในขณะนั้น ที่จะต้องรู้ว่าเป็นธรรมชั่วครั้งชั่วคราวเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม แต่ถ้ายังไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสองคำนี้ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ก็ไปคิดเรื่องธรรมเป็นกุศลธรรมเป็นคำสอนเป็นอะไรก็แล้วแต่ เพราะเหตุว่าธรรมกว้างขวางมากหมายความถึงคุณความดีก็ได้ หมายความถึงพระธรรมก็ได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 11
    24 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ