ปกิณณกธรรม ตอนที่ 189


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๘๙

    สนทนาธรรม ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

    พ.ศ. ๒๕๔


    ท่านอาจารย์ พอถึงคำว่าธาตุ คนที่ศึกษาเรื่องรูปธาตุ ก็จะมีธาตุมากเลย ไนโตรเจน ออกซิเจน อะไรก็แล้วแต่ว่าจะไปแยกเป็นธาตุต่างๆ แต่ในพระพุทธศาสนาย่อยเป็น ๒ ธาตุใหญ่ๆ คือ นามธาตุกับรูปธาตุ ถ้าสิ่งใดเป็นรูปธาตุ ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมองเห็น อย่างเสียง เราก็มองไม่เห็น แล้วเสียงมีจริงหรือเปล่า ทุกคนต้องพิจารณา สัจธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เสียงมีจริง เมื่อเสียงมีจริง ต้องเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นนามธาตุหรือเป็นรูปธาตุ นี่เราก็ตอบได้ เพราะเหตุว่าเสียงรู้อะไรไม่ได้เลย โสตปสาท รูปหูก็รู้อะไรไม่ได้ด้วย เป็นแต่เพียงรูปที่มีอยู่ที่ตัว ที่สามารถจะกระทบกับสิ่งภายนอกซึ่งเฉพาะเสียงเท่านั้น

    สภาพธรรมแต่ละอย่างที่ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงโดยละเอียดจริงๆ ว่าเป็นสภาพธรรม อย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง ไม่ปนกัน ในพระไตรปิฎก บางทีบางคนจะสงสัย ใช้คำว่าตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ บางทีก็ใช้ ใจ ๑ ถ้าเป็นภาษาธรรมดาเราก็บอกว่า ๑ ตา ๒ หู ๓ จมูก ๔ ลิ้น ๕ กาย ๖ ใจ แต่ในพระไตรปิฎก ตา ๑ แยกขาดจากทุกสิ่งหมด หนึ่งจริงๆ คือ ตา หู ๑ ปนกับอะไรก็ไม่ได้ หูก็เป็นหู เป็นโสตปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับเสียง ชีวิตเราทั้งหมดแยกย่อยออกไปแล้ว เราจะเห็นความจริงซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แม้แต่เพียงชั่วขณะ สั้นๆ ซึ่งสั้นมาก แต่ก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ที่เราเคยยึดถือว่า เป็นเรา แท้ที่จริง คือ ธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมารวมกัน ตราบใดที่ยังไม่กระจัดกระจายออกไป ก็ยังมีความยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าของเราทุกอย่าง แต่ธรรมเป็นธรรม ไม่เป็นของใคร

    ผมเป็นของเราหรือเปล่า เป็น ตราบใดที่ยังอยู่บนศีรษะ เวลาไปตัดผม เขาก็เอาผมส่วนที่ตัดไปทิ้ง ยังเป็นของเราไหม เฉพาะที่อยู่บนศีรษะ เป็น แต่พอแยกออกไปจากตัวเท่านั้น เล็บ เล็บของเรา แต่พอตัดทิ้งไม่ใช่ของเราแล้ว

    นี่ก็แสดงให้เห็นความจริงว่าให้เราค่อยๆ พิจารณาพระธรรม เราจะเห็นจริงๆ ว่าทุกคำที่ตรัสมีคุณค่ามาก เพียงแต่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจลึกถึงแค่ไหน เพราะเหตุว่าเวลาที่อยู่บนศีรษะเรา เป็นผมเรา อยู่ที่นิ้วเรา เป็นเล็บเรา หรือแขนของเราก็ได้ อยู่ตรงนี้ เป็นแขนเรา พอแขนขาด ต้องเอาไปทิ้งแล้วถ้าต่อไม่ได้ ก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปถึงตอนที่มันออกไปจากร่าง ถ้าเราเป็นคนที่มีปัญญาจริงๆ เราจะเห็นจริงว่า ทำไมทรงตรัสรู้ความจริงได้ว่า สิ่งที่เคยประชุมรวมกันแน่นหนา เหมือนกับไม่ได้แยกออกจากกันได้เลย แท้ที่จริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบ พร้อมที่ว่าทุกส่วนกระจัดกระจายแตกสลายเมื่อไรได้หมด แล้วไหนเรา แล้วส่วนไหนที่เป็นของเราจริงๆ ในเมื่อทุกส่วน ถ้าเป็นรูปจะแยกออกเป็นรูปที่เกิดจากกรรมก็มี อันนี้ใครจะสร้างไม่ได้เลย นอกจากรรม รูปที่เกิดจากจิตก็อีกส่วนหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่ง อีกกลาปหนึ่ง กลาปะหรือกลาปในภาษาไทย หมายความถึงกลุ่มของรูปหลายๆ รูปที่รวมกันที่แยกกันออกไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ทั่วตัวเรา เมื่อกระจัดกระจายออกไปแล้ว นับกลาปถ้วนไหมว่า เท่าไร ไม่ถ้วน เพราะว่าเล็กจนกระทั่งมองไม่เห็น เช่น ในขณะเกิด เวลาเกิด ต้องมีจิตเกิด แต่จิตก็ต้องมีนามธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย ต่อไปถ้ามีหนังสือเล่มใหญ่ๆ ชื่อ ปรมัตถธรรมสังเขป ก็จะทำให้เข้าใจขึ้น นามธรรมซึ่งไม่มีใครมองเห็นเลย แต่ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริง สิ่งที่มีจริงแล้วไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้นต้องเป็นธาตุ เป็นธา-ตุ เป็นธาตุ เพราะมีจริงๆ แต่ว่าเป็นฝ่ายนามธาตุ

    จิตเป็นนามธาตุเกิดขึ้นพร้อมกับรูป ในขณะที่รูปเกิดพร้อมจิต ไม่มีใครมองเห็นเลยเล็กมาก แต่แม้กระนั้นก็มี ๓ กลุ่ม หรือ ๓ กลาป ซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน กว่าจะค่อยๆ โต แล้วก็เกิดจากอุตุ ความเย็นความร้อน ซึ่งมีอยู่ใน ๓ กลุ่มนั้นแหละ ทำให้รูปกลุ่มต่อไปเกิดต่อไปอีก หลังจากที่รับประทานอาหาร ส่วนหนึ่ง ส่วนใดที่ได้รับจากมารดาก็ตาม อาหารซึ่งมีในรูปก็จะทำให้เกิดกลุ่มของรูปอีก ซึ่งเป็นรูปที่เกิดเพราะอาหาร

    ที่ตัวของเราแยกโดยละเอียดยิบ บางส่วนบางกลุ่มเกิดจากกรรม บางส่วนบางกลุ่มเกิดจากจิต บางส่วนบางกลุ่มเกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วบางส่วนก็เกิดจากอาหาร เวลานี้อยู่ที่นี่ทั้งหมด

    เราก็เกิดมาโดยไม่รู้เลย ว่ามันมาอย่างไร ไปอย่างไร รูปยิ้ม รูปหัวเราะ หรือรูปน้ำตาไหล โศกเศร้า ล้วนแต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดทั้งนั้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรม แต่ละอย่างที่ใช้คำว่าธรรม หรือธาตุ หรือธา-ตุ ความหมายเดียวกัน

    เวลาที่จะศึกษาธรรม อย่าใจร้อน แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่เมื่อได้ยินได้ฟัง อะไรแล้ว ขอให้เข้าใจถ่องแท้จริงๆ แล้วจะไม่สับสน แล้วเราก็จะสามารถศึกษาต่อไปได้ ถ้าเข้าใจเดี๋ยวนี้แล้วว่า ธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ที่ตัวเป็นธรรมทั้งหมด ภายนอกเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ทุกขณะ ทุกอย่าง ที่มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด

    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะทรงตรัสรู้ธรรม ตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    สำคัญไหม ธรรมนี่ ควรรู้หรือว่าไม่รู้ดีกว่า รู้แล้วไม่ใช่เรา มีคนหนึ่งที่กรุงเทพ เขาก็บอกว่า เวลาที่เป็นธรรมแล้ว เขารู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ต้องทำดีก็ได้ เพราะว่าไม่ใช่ตัวเขา เป็นธรรม แต่พอเป็นตัวเขา เขาอยากจะทำดี เพราะเหตุว่าเขาเป็นคนที่จะรับผล

    นี่แสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรม ต้องฟังอย่างพิจารณาจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าความจริงคืออย่างไร แล้วความคิดเก่าๆ ของเราคืออย่างไร แล้วเราทิ้งความคิดเก่าๆ ของเราไปบ้างหรือเปล่า หรือว่าเรายังยึดถือความคิดเก่าๆ ของเรา ถ้าเขาฟังโดยถ่องแท้โดยละเอียด สิ่งที่กำลังได้รับอยู่ในขณะนี้ เป็นธรรมด้วย เพราะฉะนั้น ธรรมคือทั้งเหตุ และผล เหตุคือกรรม กรรมก็เป็นธรรม ผลของกรรม คือ วิบากก็เป็นธรรม

    ถ้ากรรมดี ผลก็ดี ไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นจิตดีเกิดขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ว่า มาอย่างไร มาจากไหน แต่ความจริงต้องมีเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นกรรมในปัจจุบันหรือว่ากรรมในอดีตอนันตชาติก็ได้ ซึ่งถ้าไม่มีการทรงแสดงแล้ว เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า จิตขณะนี้เป็นสภาพนามธรรมซึ่ง เราใช้คำว่า อนิจจัง ตั้งแต่เกิด แต่อนิจจังของเรายาวมาก ตอนเกิดแล้วก็ตอนแก่เป็นอนิจจัง ตอนเจ็บถึงจะเป็นอนิจจัง ตอนตายถึงจะเป็นอนิจจัง แต่การตรัสรู้ ตรัสรู้ว่า สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับทันที หลังจากที่ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ

    สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิด ที่เป็นธาตุต่างๆ จะมีลักษณะเฉพาะของธาตุแต่ละธาตุ มีกิจการงานของธาตุแต่ละธาตุ มีอาการปรากฏของธาตุแต่ละธาตุ มีเหตุใกล้ให้เกิดของธาตุแต่ละธาตุด้วย

    ทั้งหมดอยู่ในพระไตรปิฎกส่วนสุดท้าย คือ พระอภิธรรมปิฎก แต่ถ้าเราไม่ศึกษาให้เข้าใจเป็นเบื้องต้น เราจะอ่านพระอภิธรรมปิฎกไม่เข้าใจเลย เพราะเหตุว่าทรงแสดงในยุคสมัยซึ่งมีผู้ที่มีปัญญามาก เพียงฟังสั้นๆ สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ แต่ของเราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณาว่า เป็นธรรมหรือเปล่า แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าสามารถประจักษ์การเกิดดับได้

    ทราบไหมว่าใคร ประจักษ์การเกิดดับเป็นพระอริยเจ้าหลังจากที่ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก อยู่ในพระสุตตันตปิฎก และพระวินัยปิฎก ต้องมี ถ้าไม่มี การตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมเป็นโมฆะ คือ ไม่มีใครสามารถจะรู้ตามได้ แต่คนยุคโน้นกับคนยุคนี้ก็ห่างไกลกันประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ว่าคนยุคโน้นที่ท่านสามารถฟังธรรม เป็นพระอรหันต์ก็มากมาย ดับกิเลสหมด เป็นพระอนาคามี คือยังดับกิเลสไม่หมด แต่ดับความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่นในรส ในสัมผัสได้ ก็มี ผู้ที่สามารถที่จะเบาบางจากความติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็มี เป็นพระสกทาคามี ผู้ที่ละความเห็นผิด ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรม เพราะไม่ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปในครั้งโน้นมีมาก เป็นพระโสดาบัน แต่กาลสมัยก็ผ่านมาจนถึงสมัยนี้ ถ้าคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมมาเลย ก็คงจะไม่อยู่ตรงนี้ คงไม่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง แต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วการสะสม ความเข้าใจมากน้อยย่อมต่างกัน แม้ในครั้งโน้นก็ต่างกัน ในครั้งนี้ก็ต่างกัน ในครั้งต่อๆ ไปก็ต่างกัน แต่ต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธาพอสมควรที่จะได้เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมเรื่องอะไร แล้วสอนเราเรื่องอะไร ที่จะให้ปัญญาของเราเองเกิดขึ้น เข้าใจพระธรรม ที่กำลังมีในขณะนี้ แต่ว่าเข้าใจถึงขั้นเป็นอริยบุคคลทันทีไม่ได้ ต้องเป็นไปตามลำดับ อยากเป็นไหม พระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง ในสมัยนี้ต่างจากสมัยโน้นมาก

    ท่านอาจารย์ ๒,๕๐๐ กว่าปี

    ผู้ฟัง ในสมัยนี้ก็น่าจะมีผู้ที่ประสบผลสำเร็จตามคำสั่งสอนของท่าน สามารถที่จะตรัสรู้ได้บ้าง มีบ้างไหม ในกาลของเรานี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรเลย ถูกไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้ว่า มีหรือไม่มี ฟังพระธรรมก่อน แล้วยังต้องรู้ว่าความรู้ขั้นฟังยังไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับ การที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล หรือพระอริยบุคคล ไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง สมัยนี้การฟังมีมากหรือมีน้อย เอาเพียงแค่ฟังก่อน

    ผู้ฟัง ท่านปฏิบัติกันทั้งหลาย ที่ปฏิบัติอยู่ ไม่ว่าจะในเมืองไทย ไม่ว่าจะเถรวาท หรือมหาญาณพวกนี้ ท่านสามารถแสดง กล่าวว่าท่านปฏิบัติไม่เพียงพอ หรือว่าเราไม่ทราบว่า ท่านบรรลุโสดาบัน หรือผลซึ่งควรจะได้รับตามที่ท่านทำ

    ท่านอาจารย์ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ พระปัญจวัคคีย์ไม่อยากฟังธรรม เพราะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเลิกทรมานพระองค์ ก็คิดว่า ทั้งๆ ที่ทรมานพระองค์ยังไม่ตรัสรู้ เลิกทรมานพระองค์แล้วจะตรัสรู้ได้อย่างไร นี่คือความเข้าใจของปัญจวัคคีย์ คือ เรื่องของการที่จะเข้าใจธรรมเป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องอาศัยการฟังก่อน พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับปัญจวัคคีย์ว่า พระองค์เคยตรัสก่อนนั้นหรือเปล่าว่า พระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระปัญจวัคคีย์ก็บอกว่ายังไม่เคยตรัสเลย พระองค์ก็ตรัสว่า ขณะนี้พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ขอให้พระปัญจวัคคีย์ตั้งใจฟังพระธรรม ไม่ได้บอกให้ไปปฏิบัติที่ไหนเลย เพราะว่าคนเราที่จะมีปัญญาโดยไม่ฟัง จะมีใครบ้าง จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า คือผู้ที่เคยฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายๆ พระองค์ แต่ว่าไม่สามารถที่จะตรัสรู้ในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใด โดยฐานะที่เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านที่เราเคยได้ยินชื่อเสียงกันบ่อยๆ ทั้งพระภิกษุ ทั้งภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านเหล่านั้นเป็นสาวก สาวโก คือ ผู้ฟัง ต้องฟังก่อน เพราะว่าปัญญาจะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้แน่นอน ถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เฉพาะในพระชาตินั้นเท่านั้นที่ไม่ได้ฟังธรรมจากใคร เพราะว่าบำเพ็ญบารมีพร้อมที่จะตรัสรู้ธรรมที่กำลังปรากฏ ที่กำลังเกิดดับ ที่เป็นปกติในขณะนี้ แต่ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ขณะที่กำลังฟัง ถ้ารู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสาวก ไม่ใช่ปัจเจกพุทธเจ้า ต้องกำลังฟัง ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานอันตรธานแล้ว ปัญญาที่ได้สะสมไว้ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่พระญาณไม่เท่ากัน เพราะเหตุว่าบารมีไม่เท่ากัน

    ถ้าไม่มีการฟังเลย แล้วเราจะบอกว่าปฏิบัติ เขาปฏิบัติด้วยอะไร เอาความรู้อะไรมาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่า คนนี้ปฏิบัติแล้วเป็นพระอริยบุคคล คงจะเป็น เพราะอาจจะปฏิบัติมา ๒๐ ปี ๓๐ ปี แต่ว่าถ้าถามเรื่องปัญญาจะตอบไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง บางคนคงจะนึกว่า ท่านคงบรรลุขั้นโสดาปัตติผล หรือว่าได้ผลที่ท่านปฏิบัติมาบ้าง เราก็ทราบว่าท่านปฏิบัติตามที่ทิศทางที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ทราบว่าโดยวิธีไหน

    ผู้ฟัง อันนี้เราไม่ทราบ ได้

    ท่านอาจารย์ ที่ถูก คือ เราไม่ทราบว่าท่านเป็นหรือเปล่า โดยประการหนึ่ง ประการที่ ๒ ฟังธรรมที่ทรงแสดง แล้วจะรู้ว่าเป็นธรรมที่ทำให้เป็นพระอริยบุคคลได้หรือเปล่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพาน ไม่ได้ตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์เลย ข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ครบถ้วน เป็นศาสดาแทนพระองค์ แม้แต่พระอรหันต์ที่ทำสังคายนา ๕๐๐ รูป ครั้งที่ ๑ สังคายนาพระธรรมที่ได้รับฟังจากพระองค์ ข้อความในพระสูตรจะมีว่า เอวัมเมสุตัง ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ ไม่ใช่คำของท่านพระอานนท์ ไม่ใช่คำของท่านพระมหากัสสปะ ไม่ใช่ของใครๆ แต่ธรรมที่ท่านกล่าวทั้งหมด ข้าพเจ้า คือ ท่านพระอานนท์ ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ คือ ได้ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าไม่มีพระธรรม หรือว่าไม่มีการศึกษาพระธรรม เรามีแต่ความคิด คนนั้นคงจะเป็นพระโสดาบัน คนนี้คงจะเป็นพระสกทาคามี คนนั้นคงจะเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ เราจะเอาอะไรที่จะเป็นเครื่องวัด ไม่มีอะไรเลย ที่จะบอกให้สามารถที่จะรู้ได้ แต่ถ้าเราศึกษาพระธรรม

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ มีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ หมายความถึงพระอริยบุคคลซึ่งไม่มีความเห็นผิด ไม่มีความเข้าใจผิดในพระธรรม และในพระพุทธเจ้า

    ถ้าเรามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะจริงๆ เราจะขาด ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรม เราจะไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร เราเห็นพระพุทธรูป เราก็บอกว่านี่เป็นพระพุทธรูป เราได้รับคำสอนให้กราบไหว้นับถือผู้เลิศ ผู้ไม่มีกิเลส แต่ว่าไม่ได้คิดถึงว่า ผู้ที่ทรงแสดงธรรมที่จะให้คนอื่นศึกษา เข้าใจ และประพฤติปฏิบัติ ตามจนสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้น ถ้าขาดพระธรรมแล้วไม่มีทาง

    ผู้ฟัง ผมเข้าใจว่า ธรรมอยู่แล้ว ตามในธรรมชาติ แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ค้นพบ แล้วมาตีแผ่ให้พวกเราฟัง นี้จะเป็นการเข้าใจถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบอีกว่า ธรรมคืออะไร คือทุกคำที่ใช้ ถ้าเราเป็นผู้ที่เป็นสาวก เป็นผู้ฟัง พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราเป็นคนเขลา ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนโง่ แต่ว่าคนที่มีอวิชชาอยู่ ไม่ใช่วิชชา ผู้ที่มีอวิชชาคือผู้ที่ไม่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ เฉพาะหน้า วิชชาคือปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงได้ ต้องเป็นผู้รู้ความจริงนี้ โดยการตรัสรู้ โดยการประจักษ์แจ้ง พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า พระองค์สร้างธรรม หรือว่าคิดธรรม แต่ว่าธรรมที่มีอยู่ในขณะนี้ เป็นธรรม แล้วเราล่ะ ธรรมที่มีอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นผลไม้ เป็นอะไรที่อร่อยๆ เราพูดว่าเป็นธรรมหรือเปล่า เราเข้าใจว่า เป็นธรรมหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาต้องเข้าใจธรรม ซึ่งเราใช้บ่อยมาก พอเกิดมาเราก็พูดตาม ใครเขาจะพูดประโยคไหน เราก็พูดตามได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เราก็พูดตามได้ แล้วบอกว่าธรรมมีอยู่แล้ว เราก็พูดตามได้ แต่ว่าเราเข้าใจจริงๆ หรือเปล่าว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ อะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ในสมัยของพระพุทธเจ้า เราใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่า คนนี้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วคนนี้เป็นพระอรหันต์ จะเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ว่าสมัยก่อนนั้นไม่มีประกาศนียบัตรเหมือนกับสมัยนี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นไปได้หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ใช้อะไรเป็นเครื่องวัดความรู้ ปัญญา แม้แต่คำว่าปัญญาคำเดียว ใครรู้แล้วว่าปัญญาคืออะไร คือทั้งหมด ถ้าไม่ศึกษาแล้วจะไม่รู้เลย ใช้คำมาตลอด แต่ไม่เคยรู้เลยว่าปัญญาคืออะไร

    ผู้ฟัง ถ้าหากว่าใช้ปัญญาเป็นเครื่องวัด

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วใช้ก็ไม่ได้ ปัญญายังไม่มี

    ผู้ฟัง ที่สมัยก่อน ดิฉันถามว่าจะใช้อะไรเป็นเครื่องวัดว่า ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน อาจารย์บอกว่าใช้ปัญญา

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่ประสูติ ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกไหม เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีกิเลสไหม มี ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องมีการอบรมปัญญาที่จะตรัสรู้ ไม่ต้องมีการดับกิเลส

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 17
    22 มี.ค. 2567