โสภณธรรม ครั้งที่ 074


    ตอนที่ ๗๔

    เพราะเหตุว่าบางครั้งเมื่อความรู้นิดหน่อย เริ่มเกิด แล้วก็หายไปนาน เพราะเหตุว่าอวิชชาที่สะสมมาก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นปิดบังลักษณะของสภาพธรรมได้

    เพราะฉะนั้นก็จะต้องสังเกตพิจารณาไป ในวันหนึ่งๆ เป็นเครื่องสอบสติและปัญญาของแต่ละคนว่า ได้อบรมเจริญเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ต้องกังวลถึงแม้นามรูปปริจเฉทญาณเลย

    นิภัทร ปัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว สมมติว่าอย่างท่านสุเมธดาบส ตอนที่ท่านจะได้รับพยากรณ์จากท่านพระทีปังกร ท่านได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ก็หากอยากจะสำเร็จเป็นสาวกก็อาจจะได้สำเร็จในชาตินั้น เพราะท่านมีปัญญามากสามารถจะบรรลุมรรคผลได้ในชาตินั้น แต่ท่านก็ไม่ปรารถนาที่จะเป็นสาวก ท่านปรารถนาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้สร้างบารมีมาถึงพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ ตลอดเวลานั้นท่านก็เกิดในกำเนิดต่างๆ เป็นสัตว์บ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง จนกระทั่งในชาติใหญ่ๆ ที่เรียกว่า มหาชาติ หรือทศชาติ ท่านก็ยังเกิดเป็นพระยางู ที่เรียกว่า ภูริทัตตนาคราช ขณะนั้นสติปัญญาของท่านขาดตอนหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคิดถึงท่านดีไหม สาวความท้าวไปก็ไม่มีใครจะรู้ได้ ไม่ทรงแสดงไว้เพราะเหตุว่า สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นทรงแสดง อย่างลักษณะของสภาพธรรมหรือสัจธรรม หรืออริยสัจจ์

    นิภัทร ไม่ต้องเอาอย่างท่านมา อย่างตัวกระผมเอง สมมติว่าชาตินี้ฟังธรรมพอเข้าใจบ้าง แต่พอชาติต่อไป ตายไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน กระผมก็ต้องหมดโอกาสขาดตอนไปเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่สามารถจะเข้าใจพระธรรมได้

    นิภัทร แล้วถ้าต่อไป กระผมไปเกิดเป็นมนุษย์อีก พระธรรมจะติดต่อได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เกิดที่ไหน มีโอกาสได้ฟังไหม ถ้าไม่มีโอกาสก็ไม่มีทาง

    นิภัทร อย่างนั้นการสะสมคงจะขาดตอน

    ท่านอาจารย์ เก็บไว้ สะสม สะสมแล้วก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นแต่ละชาติที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเห็นพระมหากรุณาคุณจริงๆ และจะได้ประจักษ์ในการที่เป็นบุญจริงๆ ที่มีโอกาสได้ฟังเรื่องของสัจจะ คือความจริง เรื่องของการเห็น ของการได้ยิน และนี่คือการสะสม แม้แต่ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ฟังไปเถอะ จะคิดจะพิจารณาอย่างไร ก็ยังดี เพราะเหตุว่ายังเป็นการสะสมเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏที่จะให้เข้าใจถูกต้อง

    สำหรับวิปัสสนาญาณขั้นต้น ขั้นที่ ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความแยกขาดลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางมโนทวาร

    เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ แม้ว่าเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๑ ก็ละสักกายทิฏฐิ แต่ไม่ใช่เป็นสมุจเฉท หมายความว่าในขณะนั้นสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏรวมกันเป็นก้อน เป็นแท่ง หรือว่าเป็นตัวตน แต่ว่าจะปรากฏเฉพาะลักษณะของนามและรูป ทีละลักษณะ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นละสักกายทิฏฐิ

    วิปัสสนาญาณที่ ๒ คือ ปัจจยปริคคหญาณ เป็นการประจักษ์แจ้งปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดปรากฏ เพราะเหตุว่าเมื่อรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนทางมโนทวาร เวลาที่ปัจจยปริคคหญาณเกิด ในขณะนั้นจะใส่ใจรู้ถึงลักษณะความเป็นปัจจัยของนามธรรมหรือรูปธรรมที่เกิดในขณะนั้นด้วย เพราะเหตุว่าลักษณะของนามมีหลายอย่าง เช่น ได้ยิน ทันทีที่เกิดขึ้นก็รู้ว่าลักษณะนี้มีปัจจัยคือเสียง เวลาที่กลิ่นปรากฏ สภาพนามธรรมที่รู้กลิ่นปรากฏทางมโนทวาร ปัญญาในขณะนั้นก็รู้ปัจจัยของสภาพที่รู้กลิ่นที่เกิดปรากฏในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้นปัจจยปริคคหญาณเป็นขณะที่รู้ปัจจัยของสภาพธรรมที่เกิด ประจักษ์แจ้งในปัจจัยของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏทางมโนทวาร

    เพราะฉะนั้นปัจจยปริคคหญาณละความเห็นผิดว่าไม่มีเหตุ และการที่เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุอันควรที่จะให้เกิดของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นก็รู้ด้วยว่า สภาพธรรมซึ่งไม่มีแล้วเกิดมีขึ้นเพราะเหตุ จะไม่ใช่ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม นามธรรมแต่ละลักษณะ รูปธรรมแต่ละลักษณะ เหมือนอย่างนามรูปปริจเฉทญาณ แต่ว่าปัญญาเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าพิจารณาทันที รู้แจ้งทันทีในลักษณะของปัจจัยที่ทำให้สภาพนามธรรมนั้นๆ ต่างกัน

    สำหรับวิปัสสนาญาณที่ ๓ คือ สัมมสนญาณ เป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อกันของนามธรรมและการเกิดดับสืบต่อกันของรูปธรรมอย่างรวดเร็วทางมโนทวาร เพราะขณะนี้นามธรรมก็เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว รูปธรรมก็เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้นสัมมสนญาณละความยึดถือว่าเราหรือของเราได้ด้วยกลาปสัมมสนญาณ เพราะว่าเป็นญาณที่ประจักษ์รูปกลาปและสภาพของนามธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันในขณะนั้น เวลาที่เกิดปวดเมื่อย จะรู้ได้ไหมว่าเพิ่มขึ้นๆ เวลาที่จะประจักษ์สภาพการเกิดของเวทนาทางมโนทวาร ซึ่งเป็นการประจักษ์แจ้ง ก็สามารถที่จะประจักษ์สภาพที่เกิดดับๆ ๆ สืบต่อเพิ่มขึ้นได้ ตามปกติตามความเป็นจริง โดยสภาพที่ไม่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน หรือเป็นเรา หรือเป็นของเรา นั่นจึงจะเป็น สัมมสนญาณ

    ซึ่งทั้ง ๓ ญาณนี้ยังเป็นตรุณวิปัสสนา เพราะเหตุว่าแม้ในขณะนั้นก็ยังมีการตรึกถึงลักษณะที่กำลังปรากฏในขณะนั้นด้วยได้

    เป็นเรื่องกาลข้างหน้าซึ่งการรู้แจ้งชัดในลักษณะของสภาพธรรมจะต้องมี จากการที่สติเริ่มระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไปเรื่อยๆ แต่ว่าจะต้องสังเกตจนเป็นความรู้ที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าระลึกเฉยๆ แต่ขณะที่กำลังระลึกนั้นเองศึกษาเพื่อที่จะแยกรู้ชัดในลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม

    บางท่านก็เข้าใจว่าเวลาที่พิจารณาว่า นามนี้เกิดเพราะรูปนั้น หรือว่ารูปนั้นเกิดเพราะนามนี้ เป็นปัจจยปริคคหญาณ ซึ่งความจริงนั่นเป็นเพียงแต่เพียงขั้นคิด ยังไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง จนกว่านามรูปปริจเฉทญาณจะเกิดแล้ว ต่อจากนั้นความสมบูรณ์ของปัญญาจึงเป็นปัจจยปริคคหญาณได้ หรือแม้แต่การที่สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อกันของนามธรรมและรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัมมสนญาณ ก็ต้องเป็นหลังจากที่นามรูปปริจเฉทญาณและปัจจยปริคคหญาณเกิดเสียก่อน ถ้าทั้ง ๒ ญาณนี้ยังไม่เกิด สัมมสนญาณก็เกิดไม่ได้

    อดิศักดิ์ อาจารย์บอกว่า สัมมสนญาณละความเป็นตัวตนได้ และนามรูปปริจเฉทญาณก็ละสักกายทิฏฐิ ก็เหมือนๆ กันไหม

    ท่านอาจารย์ ละสักกายทิฏฐิ โดยที่ขณะนั้นไม่มีตัวตนเลยทางมโนทวาร ไม่มีความสำคัญหมายที่เป็นอัตตสัญญาเลย เพราะเหตุว่ามีลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทีละลักษณะกำลังปรากฏตามความยาวนานของนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะเหตุว่าแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน แล้วไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า ในขณะที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณนั้น สำหรับบุคคลนั้นนามธรรมใดปรากฏ รูปธรรมใดปรากฏ มากน้อยกี่อย่าง อันนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่เนื่องด้วยในขณะนั้นไม่มีอัตตสัญญา จึงเป็นการละสักกายทิฏฐิ คือ การยึดถือสภาพธรรมรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นแท่ง

    อดิศักดิ์ ก็ไม่ผิดอะไรกับเป็นตัวเป็นตน

    ท่านอาจารย์ ละสักกายทิฏฐิ แต่พอถึงสัมมสนญาณ การที่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปด้วยสืบต่อกัน ก็ยิ่งจะเพิ่มการที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเราหรือว่าเป็นของเรา

    อดิศักดิ์ มันยังไม่ถึง ผมว่าไม่มีทางที่จะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง

    ณรงค์ เมื่อเป็นวิปัสสนาญาณแล้ว สภาพธรรมปรากฏทีละอย่างทางมโนทวาร และขณะที่จะเป็นสัมมสนญาณได้จะต้องพิจารณาสภาพธรรมนั้น เมื่อสภาพธรรมปรากฏทีละอย่างแล้ว ที่จะเข้าใจว่าสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นแล้วดับไปต้องเทียบเคียงกับสภาพธรรมแต่ละอย่างไหม หมายความว่าเมื่อเราจะทราบว่ารูปธรรมกำลังเกิดดับไป รูปธรรมชนิดใดกำลังเกิดขึ้นและดับไป ถึงได้มีรูปธรรมชนิดอื่นเกิดขึ้นมา หรือว่าถ้าจะเป็นวิปัสสนาญาณที่เป็นสัมมสนญาณแล้ว ต้องรู้ชัดจริงๆ ว่า สภาพธรรมใดกำลังเกิดขึ้นและดับไปจริงๆ ในขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ เวลานี้รูปที่กำลังแข็ง ไม่ได้ดับเลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่สัมมสนญาณ และถ้าเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ โลกที่เกิดดับสืบต่อรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นแท่ง ไม่มีเลย อย่างที่ถามว่า มีฟันไหม มีผมไหม มีปอดไหม มีนิ้วไหม มีมือไหม ก็จะไม่มีความสงสัยเลย เพราะไม่มี เพียงแต่ว่าจำไว้ เวลานี้ถ้าถามดูว่า ใครมีปอดบ้าง ใครมีหัวใจบ้าง ใครมีผมบ้าง ใครมีเล็บบ้าง ใครมีฟันบ้าง อัตตสัญญาจะจำไว้ว่ามี นั่นคืออัตตสัญญา แต่ว่าเมื่อเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่มีสภาพธรรมที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนเลย ก็ลองคิดดูถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงอย่างเดียว ทางทวารเดียว

    เพราะฉะนั้นลักษณะนั้นเป็นการประจักษ์ลักษณะที่รู้ชัดว่า สภาพรู้ต่างกับรูปธรรม นั่นคือนามรูปปริจเฉทญาณ และเมื่อนามรูปปริจเฉทญาณดับแล้ว ทุกอย่างก็ปรากฏเหมือนเดิม แต่ว่าอนัตตสัญญาเริ่มมี เพราะเหตุว่าเคยประจักษ์ว่า สิ่งที่เคยเข้าใจว่ามี เป็นแต่เพียงความทรงจำเท่านั้น ลักษณะจริงๆ ไม่ได้ปรากฏเลย เพราะเหตุว่ารูปใดเกิดแล้วดับแล้ว ถ้ารูปนั้นไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่า รูปทุกรูปมีอายุที่สั้นมาก เพียงแค่ ๑๗ ขณะจิตที่เกิดดับเท่านั้นเอง และ ๑๗ ขณะจิตที่เกิดดับ ขณะที่กำลังเห็นแล้วก็ดูเหมือนได้ยินด้วยเกิน ๑๗ ขณะแล้ว เพราะฉะนั้นรูปในขณะนี้ก็ต้องดับไปหมดถ้ารูปนั้นไม่ปรากฏ

    เมื่อมีอนัตตสัญญาที่ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว เวลาพิจารณาลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรม ก็ย่อมจะพิจารณาในลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันที่เกิดในขณะนั้น เช่น เวลาที่สติระลึกลักษณะที่ได้ยิน ลักษณะที่ได้ยินเป็นธาตุรู้ ไม่มีความสงสัย พร้อมกันนั้นก็รู้ด้วยว่า ลักษณะธาตุรู้นี้เกิดเพราะเสียง เพราะว่าเป็นของแน่นอน ที่ถ้าเสียงไม่กระทบ หรือไม่มี ไม่ปรากฏ ได้ยินย่อมได้ยินไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็รู้ปัจจัยของนามธรรมแต่ละชนิด

    นี่คือการรู้ปัจจัย คือในขณะที่เกิดนั้นเอง เกิดเพราะปัจจัยอะไร หรือแม้แต่การที่มือจะเคลื่อนไหวไป หรือว่าการกล่าววาจา ซึ่งปกติไม่เคยสังเกตเลยว่า ทันทีที่คิด เสียงก็ดังแล้วตามความคิดนั้น เพราะเหตุว่าทุกคนพูดโดยปราศจากสติ แต่เวลาที่สติเกิดระลึกลักษณะของจิตที่คิด เสียงปรากฏ เพราะฉะนั้นการประจักษ์แจ้งลักษณะของปัจจยปริคคหญาณจึงเป็นทางมโนทวารวิถี ซึ่งในขณะนั้นไม่มีตัวตนเลย เหมือนเดิม เหมือนนามรูปปริจเฉทญาณซึ่งสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่ว่าในขณะนั้นเพิ่มการที่จะรู้ลักษณะของปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏสืบต่อกันในขณะนั้น นั่นคือปัจจยปริคคหญาณ ละการที่คิดหรือเข้าใจผิดว่า สภาพธรรมเกิดได้โดยไม่มีเหตุ เพราะว่าในขณะนี้ไม่มีการพิจารณาถึงเหตุที่จะให้เกิดของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด อย่างเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังต้องพิจารณาว่า เป็นแต่เพียงสภาพรู้ ธาตุรู้ แล้วก็ยังไม่แปลอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ให้เข้าใจอรรถของคำว่า “ธรรม” คือ สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งที่ปรากฏทางตา

    นี่ก็ต่างขั้นกันแล้วระหว่างการพิจารณาที่เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดนามรูปปริจเฉทญาณ แล้วปัจจัยที่จะให้การพิจารณาปัจจัยที่จะให้เกิดปัจจยปริคคหญาณ แล้วสำหรับสัมมสนญาณ ที่เป็นวิปัสสนาญาณทั้งหมดต้องประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทางมโนทวาร

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นเมื่อปัญญาที่สะสมเหตุสมควรแก่การที่จะประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับสืบต่อกันของนามธรรมและรูปธรรม ขณะนั้นไม่มีการที่จะต้องคิดไตร่ตรอง หรือว่าคาดหวัง หรือตระเตรียม เพราะเหตุว่าสภาพธรรมแม้วิปัสสนาญาณก็เป็นอนัตตา ทันทีที่สติเกิด ขณะนั้นความสมบูรณ์ของปัญญาที่ได้อบรมมาแล้ว ก็ทำให้มโนทวารวิถีเกิดปรากฏ ประจักษ์ในลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกัน ถ้าเป็นรูปก็จะประจักษ์ในรูปกลาปซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน อย่างแข็ง ก็จะประจักษ์การเกิดดับๆ ๆ ๆ ของแข็ง หรือนามธรรมที่เกิดดับสืบต่อกัน ก็สามารถที่จะรู้ได้ด้วยสัมมสนญาณ แต่ทั้ง ๓ วิปัสสนาญาณนี้ยังเป็นตรุณวิปัสสนา

    วิปัสสนาญาณขั้นต่อไป คือ อุทยัพพยญาณ เป็นพลววิปัสสนา

    เมื่อไรจะเกิด หรือทำอย่างไรถึงจะเกิด หรือว่ามีเหตุอะไรที่จะทำให้เกิด แต่ก็เป็นปัญญาที่จะต้องหลังจากที่พิจารณารู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมทั่วทั้ง ๖ ทวาร คือ ไม่ว่าขณะนี้ทางตา สติก็สามารถจะเกิดระลึกรู้เป็นปกติ หรือว่าจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมที่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏว่า กำลังเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ ก็รู้ในลักษณะของนามธรรมในขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงธาตุรู้ สามารถจะแยกลักษณะของปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถีออกจากกันได้

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่เคยพิจารณาเลยว่า ทางตาในขณะนี้กำลังแปลสี ก็แยกไม่ออก เพราะฉะนั้นก็จะต้องฟัง และพิจารณา และอบรมเจริญปัญญาโดยไม่คำนึงถึงอุทยัพพยญาณเลย จนกว่าเหตุจะสมควรเมื่อไร แต่ลองคิดดูว่า อุทยัพพยญาณนั้นคืออะไร

    อุทยัพพยญาณ คือ ปัญญาที่สามารถจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังเป็นปัจจุบันทีละอย่าง

    สำหรับสัมมสนญาณประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับสืบต่อกันของนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจชัดในสภาพธรรมที่เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับๆ ๆ เพราะฉะนั้นก็รู้ว่าอดีตคือสิ่งที่ดับแล้ว ปัจจุบันคือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และสิ่งที่เกิดต่อที่เป็นอนาคต ก็เป็นปัจจุบันอีก และก็สิ่งที่เป็นปัจจุบันนั้นก็เป็นอดีตอีก เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อกัน แต่ว่าวิปัสสนาญาณที่ ๓ คือ สัมมสนญาณนั้น เป็นการประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ตามปกติที่เร็วทีเดียว ด้วยเหตุนั้นปัญญาในขณะนั้นจึงไม่ละเอียดพอที่จะละคลายหรือว่าเห็นโทษของการเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม เพราะเหตุว่าการเกิดขึ้นสืบต่อสภาพธรรมที่ดับไปนั้นเร็ว จนกระทั่งปิดบังโทษของการดับไป หรือการเกิดดับของนามและรูปที่ดับไปแล้ว

    ถ้าขณะนี้ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับๆ ๆ จะเห็นโทษของการเกิดดับไหม ในเมื่อเกิดดับ ก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก จะเห็นโทษไหม ในเมื่อเกิดใหม่มีสภาพธรรมใหม่ ยังเป็นความอบอุ่นใจว่ายังเหลืออยู่ หรือว่ายังมีอยู่ ยังไม่ได้ปราศไปโดยสิ้นเชิง ถ้าจะคิดถึงในขั้นของการพิจารณา เมื่อวานนี้หมดแล้ว น่าใจหาย แต่ก็ไม่ใจหายเพราะว่าวันนี้ก็ยังมี ใช่ไหม หรือได้ยินขณะเมื่อกี้นี้ก็ดับไปแล้ว ก็น่าใจหายจริงๆ ในขณะที่กำลังได้ยินก็ยึดถือว่าเป็นเราแท้ๆ ที่กำลังได้ยิน แต่ได้ยินเมื่อกี้นี้ที่ว่าเป็นเราก็ดับหมดไปแล้ว ไม่เห็นมีใครใจหาย หรือว่าเดือดร้อน หรือว่าละคลาย หรือว่าเห็นโทษ เพราะเหตุว่าการเกิดใหม่อย่างรวดเร็วสืบต่อการดับไป หรือการเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดแล้ว ปิดบังไม่ให้เห็นโทษของการเกิดขึ้นและดับไป

    เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ละคลาย เพราะเหตุว่ายังไม่เห็นโทษของการเกิดดับใกล้ชิดยิ่งกว่านั้น

    เพราะฉะนั้นปัญญาจะต้องสมบูรณ์ถึงขั้นต่อไป ที่สามารถจะแทงตลอดการเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละประเภทชัดเจนยิ่งขึ้นในขณะที่กำลังเป็นปัจจุบันทีละอย่าง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วมาก กับการที่สังเกตละเอียดขึ้น พิจารณาละเอียดขึ้น ประจักษ์ลักษณะที่เกิดและดับไปชัดขึ้นทีละอย่าง

    นี่คือความต่างกันของตรุณวิปัสสนากับพลววิปัสสนา

    ก็เป็นสภาพธรรมในขณะนี้ทั้งหมด และถ้าเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นก็จะต้องเป็นความรู้ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้น จนกว่าจะถึงการที่จะคมกล้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าจะต้องมีเหตุที่จะทำให้คมกล้าขึ้น ถ้าจะเปรียบเทียบก็ต้องระดมกำลังของปัญญาทั้งหมด ไม่ว่าในอดีตที่เคยฟังมาแล้วเท่าไร เป็นพหุสูตมาแล้วมากน้อยเท่าไร เคยได้ยินแม้แต่สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ๑๐,๐๐๐ ครั้ง ๑๐๐,๐๐๐ ครั้ง สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมแล้วก็ค่อยๆ พิจารณาไป ไม่ว่าในเรื่องของพระสูตร หรือพระวินัย หรือพระอภิธรรม ธรรมทุกอย่างจะเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งทำให้ปัญญาสมบูรณ์ถึงขั้นที่จะถึงพลววิปัสสนา เพราะเหตุว่าเป็นความสมบูรณ์ของตีรณปริญญา ซึ่งเป็นการพิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ตามปกติในชีวิตประจำวัน

    นิภัทร ตอนพลววิปัสสนาเกิด อุทยัพพยญาณเกิดก็คงจะมีกำลังมาก และคงจะเกิดติดต่อกัน หรือว่าไม่แน่

    ท่านอาจารย์ ไม่แน่ เพราะว่าแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันเลย

    สำหรับบางท่านเมื่อนามรูปปริจเฉทญาณเกิดแล้ว ปัจจยปริคคหญาณและสัมมสนญาณต่อได้ทันที และสำหรับบางท่านก็อาจจะต่อไปจนกระทั่งถึงพลววิปัสสนา อุทยัพพยญาณ บางท่านก็สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ว่าผู้ที่รู้ช้า ต้องทั้งฟัง ทั้งศึกษา ทั้งอบรม ทั้งพิจารณา ทั้งสนทนา ทั้งไตร่ตรอง ทุกสิ่งทุกประการ แล้วก็ค่อยๆ เขยิบไป ก้าวไปทีละขั้นๆ

    นิภัทร ตอนที่เป็นอุทยัพพยญาณแล้ว กระผมก็เข้าใจว่ามีกำลังมากแล้ว ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ยังต้องมีปัญญาขั้นที่คมกล้ากว่านั้นต่อไปอีก เพราะนี่เพิ่งเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๔ เท่านั้นเอง

    นิภัทร เหมือนนายขมังธนูที่ว่ายิงเร็ว ยิ่งแม่น คือ คล้ายกับว่านามธรรมรูปธรรมอะไรจะเกิด เมื่ออุทยัพพยญาณเกิดก็คงจะมีกำลังสามารถจะรู้ได้ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่เป็นเนยยบุคคล ต้องพากเพียรมากเหลือเกินสำหรับวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ไม่ใช่ผู้ที่เป็นอุคฆฏิตัญญู หรือวิปัญจิตัญญู

    นิภัทร กระผมนึกว่าถ้าวิปัสสนาญาณเกิดแล้ว จะมีกำลังสามารถจะเกิดติดต่อกันไปได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นบุคคลก็ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นอย่าหวัง ใครที่ไปคิดว่า นั่งนิ่งๆ แล้วก็จะไปประจักษ์เกิดๆ ดับๆ ปัญญาไม่ได้รู้อะไรเลย แต่นี่เป็นปัญญาจริงๆ แล้วก็เป็นความสมบูรณ์ของตีรณปริญญา ซึ่งพิจารณาความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ตามปกติในขณะนี้เอง

    เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะถึง ก็จะต้องพิจารณาชีวิตตามปกติของตนเองในแต่ละวัน ข้ามไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นการรู้แจ้งนามธรรมและรูปธรรมในชีวิตประจำวัน ตามปกติ และจะต้องมีการละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมลงเรื่อยๆ ไม่ใช่ยิ่งรู้ยิ่งอยากได้ นั่นไม่ใช่ลักษณะของปัญญา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นปัญญาแล้ว ยิ่งรู้ยิ่งละ เช่น ถ้ารู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น จะวิตก กังวล เดือดร้อน ห่วงใยไหม ในเมื่อประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่า ทุกขณะจิต สภาพธรรมต้องมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น แม้แต่เพียงการได้ยินก็ต้องมีปัจจัยจึงเกิด การเห็นก็มีปัจจัยจึงเกิด

    เพราะฉะนั้นเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะเหตุว่าเพียงการเห็นก็ยังต้องมีปัจจัยจึงเกิด การได้ยินก็ต้องมีปัจจัยจึงเกิด การได้กลิ่น การลิ้มรส การคิดนึก ความสุข ความทุกข์ แต่ละอย่าง การพูด การกระทำใดๆ ทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว สติปัฏฐานจะไปคอยจดจ้องอยู่ที่นามใดรูปใดไหมคะ หรือว่ายิ่งละ แล้วก็ไม่ต้องจดจ้องเลย เพราะเหตุว่ามีนามธรรมและรูปธรรมอยู่ทุกขณะปรากฏ แล้วแต่ว่าสติจะระลึกศึกษารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นหรือไม่

    ไม่ต้องไปดิ้นรนขวนขวายแสวงหานามธรรมและรูปธรรมอะไรเลย ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น แม้ว่าแต่ละท่านจะยังไม่ถึงนามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคคหญาณ สัมมสนญาณ แต่ก็ควรที่จะศึกษาพิจารณาให้เข้าใจเรื่องของวิปัสสนาญาณ พอที่จะไม่เข้าใจผิด เพราะเหตุว่าการที่จะหลงผิด เข้าใจผิดในข้อปฏิบัติจนกระทั่งสำคัญว่าได้บรรลุธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 24
    1 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ