โสภณธรรม ครั้งที่ 090


    ตอนที่ ๙๐

    เพราะฉะนั้นก็ขอกล่าวถึงเรื่องของนิพพิทาญาณเพียงย่อๆ แต่ควรที่จะได้กล่าวถึงพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้เป็นอันมากที่จะเป็นเหตุให้เจริญกุศล เพื่อที่จะให้เกิดนิพพิทาญาณ เพราะเหตุว่าทุกชีวิตก็จะต้องดำเนินต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ละชาติๆ ก็ไม่พ้นไปจากเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็มีความทุกข์โศกนานาประการ มีการเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจบ้าง แต่ถ้าไม่อาศัยพระธรรม ไม่มีทางเลยที่สติปัญญาจะน้อมพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งเจริญกุศลขึ้น เพราะเหตุว่าการสะสมของอกุศลยังมีกำลังที่ในวันหนึ่งๆ อกุศลจะต้องเกิดมากกว่ากุศล

    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันของแต่ละท่านที่ได้ฟังพระธรรมมาพอสมควร เคยพิจารณาถึงผลหรือยัง ยังไม่ต้องเป็นนิพพิทาญาณ เพียงแต่ผลที่ได้ฟังพระธรรมที่จะเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล ไม่มีอะไรอื่นเลยแม้แต่ในเรื่องของสติปัฏฐาน ในเรื่องของวิปัสสนาญาณ ในเรื่องของพระธรรมทั้งหมด ก็เพียงแต่อัญเชิญพระพุทธพจน์ที่ทรงพร่ำสอนเพื่อที่จะให้ผู้ฟังทุกท่านได้พิจารณาด้วยความแยบคาย ด้วยความถูกต้อง ด้วยการเห็นโทษของอกุศล และอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ

    ข้อความในมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาสุญญตสูตร ว่าด้วยกถาวัตถุ ๑๐ ข้อ ๓๕๑ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรอานนท์ สาวกไม่ควรจะติดตามศาสดาเพียงเพื่อฟังสุตตะ เคยยะ และ

    ไวยากรณะเลย

    คือไม่เพียงเพื่อฟังปริยัติเท่านั้น

    นั่นเพราะเหตุไร เพราะธรรมทั้งหลายอันพวกเธอสดับแล้ว ทรงจำแล้ว คล่องปากแล้ว เพ่งตามด้วยใจแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็นเป็นเวลานาน

    ดูกรอานนท์ แต่สาวกควรจะใกล้ชิดติดตามศาสดาเพื่อฟังเรื่องราวเห็นปานฉะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบายแก่การพิจารณาทางใจ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส เพื่อสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ เรื่องมักน้อย เรื่องยินดีของของตน เรื่องความสงัด เรื่องไม่คลุกคลี เรื่องปรารภความเพียร เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องวิมุตติ เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ

    ข้อความในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโทษของความคลุกคลี คือ การที่จะคบหาสมาคม แม้แต่การที่จะติดตามศาสดา ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อฟังปริยัติ แต่เพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม นี่เป็นประโยชน์ของการฟัง เพื่อที่จะละการคลุกคลี

    ลองคิดดูถึงชีวิตตั้งแต่เกิด เมื่อมีความเป็นตัวตน มีความเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ มีการที่จะต้องอยู่ร่วมกันกับหลายบุคคล ก็ควรที่จะพิจารณาได้ว่า ในวันหนึ่งๆ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายของการที่ต้องอยู่ร่วมกัน อยู่ร่วมกันด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง ไม่พ้นเลย แต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพื่อให้ละการคลุกคลี เพราะเหตุว่าแม้จะมีท่านผู้ใดที่เห็นโทษของการคลุกคลีด้วยกาย และปลีกตัวออกไป แต่ว่าเมื่อใจยังคิดถึง ขณะนั้นก็ยังชื่อว่า ยังคลุกคลีในความคิดนึก เพราะฉะนั้นก็ลองคิดถึงกิเลสว่า มากมายหนาแน่นสักแค่ไหน กว่าจะเริ่มเห็นชีวิตว่าต้องละคลายจากบุคคลอื่น จากความคลุกคลี จนกระทั่งถึงละคลายจากขณะของอุปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้น ที่จะไม่ยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา

    นี่ก็เป็นการหน่ายหรือคลายจากกิเลสจริงๆ มิฉะนั้นแล้วถ้าไม่พิจารณาพระธรรมโดยละเอียด ก็จะมีชีวิตดำเนินต่อไปเพียงการฟังปริยัติเท่านั้น

    ครั้นนั้นพระองค์ได้มีพระดำริว่า ขึ้นชื่อว่า การอยู่เป็นคณะนี้ได้ประพฤติปฏิบัติกันมาในวัฏฏะแล้ว เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำ การอยู่เป็นคณะก็ได้ประพฤติกันมาแล้วในนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย และอสุรกาย ก็มี ในมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลกก็มี

    การที่จะทรงแสดงธรรมให้เห็นโทษ แสดงถึงความจริงเรื่องของการที่แต่ละชีวิตต้องอยู่เป็นหมู่คณะ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่มีมานาน และไม่ใช่แต่ในมนุษย์ แม้ในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัยและ อสุรกายก็มี ในมนุษยโลก พรหมโลก และ

    เทวโลกก็มี

    นรกหมื่นโยชน์แน่นไปด้วยสัตว์ทั้งหลาย เหมือนทะนานที่เต็มไปด้วยผงดีบุก

    แน่นมากไหม

    ทะนานที่เต็มไปด้วยผงดีบุก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หมู่ปลวกในจอมปลวกแห่งหนึ่งย่อมจะประมาณหรือกำหนดไม่ได้

    บ้านหนึ่งๆ ต้องน้อยกว่าปลวกในจอมปลวก และแต่ละครอบครัวก็ลองคิดดู รวมเป็นประเทศชาติ รวมเป็นโลก ความติดความยึดมั่นจะแผ่ขยายไปสักแค่ไหน

    และหมู่มดแดงเป็นต้นแม้ในรังแต่ละรัง เป็นต้น ก็เหมือนกัน แม้ในพวกเปรต อสุรกาย มนุษย์ เทวโลก พรหมโลก ก็อยู่กันเป็นคณะ เพื่อที่จะทรงชี้แจงให้เห็นโทษ ก็ทรงยกตัวอย่างของการที่อยู่รวมกันเป็นคณะ

    แต่นั้นทรงดำริว่า เราบำเพ็ญบารมีสิบทัศถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ก็เพื่อกำจัดการอยู่รวมเป็นคณะ แต่ภิกษุเหล่านี้นับจำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุเหล่านี้ย่อมเกาะกลุ่มยินดีในหมู่ กระทำกรรมไม่สมควรเลย พระองค์ทรงเกิดธรรมสังเวชเพราะภิกษุทั้งหลายเป็นเหตุ ทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุ ๒ รูปไม่พึงอยู่ในที่เดียวกัน แต่ไม่สามารถจะบัญญัติได้

    เพราะเหตุว่าพระบัญญัติทุกอย่างต้องสมบูรณ์ด้วยเหตุผล เมื่อไม่ประกอบสมบูรณ์ด้วยเหตุผล ถึงแม้ว่าเป็นสิ่งที่ควร แต่ก็ไม่ใช่ข้อที่จะพึงบัญญัติ

    พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า ฉะนั้นเราจะแสดงพระสูตรชื่อ มหาสุญญตาปฏิบัติ ซึ่งจักเป็นเหมือนการบัญญัติสิกขาบทสำหรับกุลบุตรผู้ใคร่ต่อการศึกษา และเหมือนกระจกสำหรับส่องหมู่สัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วางไว้ ณ ประตูเมือง แต่นั้นกษัตริย์เป็นต้นเห็นโทษของตนในกระจกบานหนึ่ง ละโทษนั้น ย่อมเป็นผู้หาโทษมิได้ ฉันใด แม้เมื่อเราปรินิพพานแล้วล่วงไปถึง ๕,๐๐๐ ปี กุลบุตรทั้งหลายย่อมระลึกถึงพระสูตรนี้ จะบรรเทาความเป็นหมู่ ยินดีในความอยู่ผู้เดียว จักกระทำที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์ได้

    ทุกพระสูตรก็จะไม่พ้นจากการที่จะให้เป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าถ้าไม่เป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะเป็นผู้ที่อยู่ผู้เดียวได้

    เพราะฉะนั้นกระจกที่ทุกคนเห็นทุกวัน ไม่ควรจะเป็นกระจกที่เพียงส่องให้เห็นกาย แต่ก็ควรจะส่องให้ถึงจิตในขณะที่กำลังส่องกระจกด้วยหนทางเดียว คือ สติปัฏฐาน แต่นอกจากนั้นแล้วพระธรรมทั้งหมดเหมือนกระจกที่ส่องให้ทุกคนระลึกถึงลักษณะของจิตของตนเองในขณะที่ฟังพระธรรม หรือในขณะที่ประสบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเหตุว่าการยินดีในความอยู่ผู้เดียวนั้นไม่ใช่ด้วยกาย ต้องเป็นผู้ที่อบรมจิต จึงจะยินดีในการอยู่ผู้เดียวด้วยปัญญาได้

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    ก็ถ้าภิกษุผู้บวชใหม่ ผู้มีความรู้ต่ำบางรูปจะพึงกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีแต่นำพวกเราออกจากหมู่ ประกอบไว้ในความโดดเดี่ยว เหมือนชาวนานำโคที่เข้าไปสู่นาออกจากนา ส่วนพระองค์เองทรงแวดล้อมไปด้วยพระราชาและข้าราชบริพารเป็นต้น

    เพราะฉะนั้นพระตถาคตแม้จะประทับนั่งท่ามกลางบริษัท มีจักรวาลเป็นที่สุด ก็ทรงเริ่มเทศนานี้ เพื่อจะทรงแสดงว่า เป็นผู้อยู่โดดเดี่ยว เพื่อจะไม่ให้โอกาสภิกษุบางรูปพูดจ้วงจาบได้

    นี่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของจิตซึ่งแต่ละคนก็ช่างคิดไปต่างๆ จนกระทั่งภิกษุซึ่งบวชใหม่มีความรู้ต่ำบางรูปอาจจะคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงแวดล้อมด้วยบริษัท แต่ก็ให้พวกตนเป็นผู้ที่อยู่โดดเดี่ยว

    สำหรับผู้ที่เลิศด้วยการอบรมจิต คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ข้อความในอรรถกถามีว่า

    พระผู้มีพระภาคสำเร็จสีหไสยาสน์ในพระคันธกุฎีภายหลังภัตตาหาร ออกจากสีหไสยาสน์แล้วประทับนั่งเข้าพลสมาบัติ

    โดดเดี่ยวไหม

    ในสมัยนั้นบริษัททั้งหลายย่อมประชุมกันเพื่อฟังธรรม ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทราบเวลาแล้ว เสด็จออกจากพระคันธกุฎี ตรงไปยังพุทธอาสน์ ทรงแสดงธรรม ไม่ให้เวลาล่วงไป เหมือนบุรุษผู้ถือเอาน้ำมันที่หุงไว้สำหรับประกอบยา ทรงส่งบริษัทไปด้วยจิตที่น้อมไปในวิเวก

    ในขณะที่ทรงแสดงพระธรรมนั่นเอง ด้วยพระสติสัมปชัญญะ แล้วก็ทรงสลับกับพลสมาบัติ

    นี่เป็นความวิเวกของผู้ที่อบรมจิตอย่างเลิศประเสริฐที่สุด

    นับจำเดิมแต่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว แม้วิญญาณทั้ง ๑๐ ของพระองค์ก็น้อมไปเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว

    ไม่ว่าจะทางตา เห็นอะไร ทางหู ได้ยินอะไร ทางจมูก ได้กลิ่นอะไร ทางลิ้น ลิ้มรสอะไร ทางกาย สัมผัสอะไร จิตของผู้อื่นเป็นอกุศลเสียหมด แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วน้อมไปเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้นก็ลองคิดดูข้อความในพระสูตรนี้ ที่ทรงแสดงเกื้อกูลอย่างยิ่งที่ให้เห็นโทษของการอยู่เป็นหมู่คณะ เพียงเพื่อการฟังพระปริยัติ แต่ถ้าเพื่อประโยชน์แล้ว เมื่ออยู่รวมกันเป็นคณะก็เพื่อฟังพระธรรม แล้วน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ตามข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วจากพระตถาคต ย่อมละอกุศล เจริญกุศล

    นี่คือพระธรรมที่ทรงพร่ำสอนจริงๆ เพราะฉะนั้นหลังจากที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ถ้าไม่พิจารณาจิตของตนเอง ขาดประโยชน์ หรือว่าได้รับประโยชน์จากการฟัง

    พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วจากพระตถาคต ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ดังนี้ เป็นอันทำตนให้เป็นพหุสูตร เหมือนทหารที่พรั่งพร้อมด้วยอาวุธ ๕ อย่าง ก็เพราะภิกษุแม้ถึงจะเรียนสุตตปริยัติ แต่ไม่ปฏิบัติอนุโลมปฏิปทาสมควรแก่สุตตปริยัตินั้น เธอย่อมชื่อว่า ไม่มีอาวุธนั้น ส่วนภิกษุใดปฏิบัติ ภิกษุนั้นแหละจึงชื่อว่า มีอาวุธ

    ภัยอันตรายรอบด้าน เพราะฉะนั้นก็มีอาวุธหรือไม่มีอาวุธ ก็อยู่ที่สติปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ว่า เมื่อฟังแล้วให้เป็นกระจกที่จะให้ส่องถึงจิต แล้วก็จะต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล และเจริญธรรมที่ไม่มีโทษที่เป็นกุศลด้วย

    ข้อความตอนท้ายของพระสูตรนี้มีว่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรอานนท์ ก็เหล่าสาวกย่อมเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตรอย่างไร

    ทั้งๆ ที่เป็นสาวก แต่ก็มีสาวกที่เป็นข้าศึกกับพระผู้มีพระภาค และมีสาวกที่เป็นมิตรกับพระผู้มีพระภาค

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรอานนท์ ศาสดาในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้อนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี้เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เธอ นี้เพื่อความสุขแก่พวกเธอ เหล่าสาวกของศาสดานั้นไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ และประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา

    ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล เหล่าสาวกชื่อว่า เรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตร

    ส่วนเหล่าสาวกชื่อว่า เรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นมิตร ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นข้าศึก ก็โดยนัยตรงกันข้าม คือ ย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้ และไม่ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของพระศาสดา

    ข้อความตอนท้าย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรอานนท์ เราจักไม่ประคับประคองพวกเธอเหมือนช่างหม้อประคับประคองภาชนะดินดิบที่ยังดิบๆ อยู่ เราจักข่มแล้วๆ จึงบอก จักยกย่องแล้วๆ จึงบอก ผู้ใดมีแก่นสาร ผู้นั้นจักตั้งอยู่

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล

    รู้จักตัวเองใช่ไหม เรียกร้องพระผู้มีพระภาคด้วยความเป็นข้าศึก หรือว่าด้วยความเป็นมิตร ไม่ต้องมีคนอื่นบอกเลย แต่ว่าใครก็ตามที่ตั้งใจจงใจที่จะไม่ประพฤติตาม ผู้นั้นเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก ไม่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตร

    ข้อความในอรรถกถาอธิบายว่า

    พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงสั่งสอนหนเดียวแล้วนิ่งเสีย แต่จะตำหนิแล้วสั่งสอน คือ พร่ำสอนบ่อยๆ

    สำหรับมูลเหตุที่ทรงตำหนิแล้วทรงพร่ำสอนแสดงพระสูตรนี้ ก็เนื่องจากสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารนิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท

    เมื่อเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาพระกระยาหารแล้ว จึงเสด็จเข้าไปยังวิหารของเจ้ากาฬเขมกศากยะ พระผู้มีพระภาคทรงทอดพระเนตรเห็นเสนาสนะที่แต่งตั้งไว้มากด้วยกัน

    คือมีทั้งเตียง ตั่ง ฟูก หมอน เสื่อ

    จึงทรงมีพระดำริดังนี้ว่า ในวิหารของเจ้ากาฬเขมกศากยะนี้ มีภิกษุอยู่มากมายหรือหนอ

    ซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นข้อสงสัย เพียงแต่เป็นการปรารภ เพราะเหตุว่าตามปกติแล้วภิกษุจะไม่อยู่รวมกันมากมายอย่างนั้น

    ซึ่งภายหลังท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พวกสาวกกำลังกระทำจีวรกันเพื่อที่จะให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า การที่ภิกษุอยู่รวมกันนั้นก็เพื่อช่วยกันทำจีวร ไม่ใช่ว่าอยู่รวมกันโดยไม่มีกิจ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรอานนท์ กัมมสมัยก็ดี อกัมมสมัยก็ดี จีวรกาลสมัยก็ดี อจีวรกาลสมัยก็ดี จงยกไว้ ภิกษุที่ยินดีด้วยการคลุกคลีย่อมไม่งามเลย เธออย่าได้ช่วยเหลือในฐานะที่ไม่ควรช่วยเหลือ

    เพียงแต่ท่านพระอานนท์กราบทูลให้ทรงทราบว่า ที่ภิกษุอยู่รวมกันเพื่อที่จะกระทำจีวรเท่านั้น แต่พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า เธออย่าได้ช่วยเหลือในฐานะที่ไม่ควรช่วยเหลือ เพราะเหตุว่าควรที่จะข่มอกุศล และควรที่จะยกย่องกุศล ถ้าเป็นผู้ที่ยังยินดีการคลุกคลีก็จะต้องชี้โทษ ให้เห็นโทษให้เห็นภัยของอกุศลทั้งหลายจริงๆ และขณะใดที่เป็นกุศลก็ทรงยกย่อง นี่คือพระธรรมที่ทรงพร่ำสอน เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะช่วยเหลือกันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่ควรที่จะช่วยกันด้วยความคลุกคลี คือ ด้วยโลภะหรือด้วยโทสะ

    เหตุที่ภิกษุทั้งหลายกระทำจีวร ก็เพราะเหตุว่าเมื่อคนทั้งหลายได้ถวายผ้าจีวรแก่ท่านพระอานนท์ ท่านก็ได้ชวนภิกษุหลายรูปไปทำจีวรกรรมในวิหารนั้น

    แม้ภิกษุเหล่านั้นนับแต่เริ่มร้อยเข็มแต่เช้าตรู่ ลุกขึ้นในเวลาไม่ปรากฏ เมื่อเย็บเสร็จแล้ว ภิกษุเหล่านั้นคิดว่าจักจัดเสนาสนะ แต่ก็ยังไม่ทันได้จัด พระผู้มีพระภาคก็เสด็จมา และได้ยินว่าท่านพระอานนท์เถระคิดว่า พระผู้มีพระภาคจะทรงเห็นเสนาสนะทั้งหลายที่ภิกษุเหล่านี้ยังไม่ได้เก็บไว้แน่แท้ด้วยประการฉะนี้ พระศาสดาจักไม่ทรงพอพระทัย ประสงค์จักกำราบ เราจักช่วยเหลือภิกษุเหล่านี้ พระเถระจึงทูลว่า

    “พระเจ้าข้า ภิกษุเหล่านี้มิใช่มุ่งแต่การงานอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่อย่างนี้โดยจีวรกิจ”

    ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ เรื่องของการคลุกคลี ก็ต้องมาจากการยึดถือขันธ์ซึ่งเกิดดับว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นเมื่อมีความจำเป็นที่จะอยู่ด้วยกันโดยที่ปัญญายังไม่ถึงขั้นนิพพิทาญาณ ก็ควรที่จะเจริญกุศลโดยอยู่ด้วยกันด้วยเมตตา ซึ่งจะไม่เป็นโทษเป็นภัยอะไรเลย แต่ลองพิจารณาดูว่าถ้ายังคงอยู่ด้วยกันสืบต่อไปด้วยโลภะและโทสะ ไม่มีวันที่จะเจริญกุศลและออกจากสังสารวัฏฏ์ได้

    ยังเป็นอย่างนี้อยู่หรือเปล่า ข้อสำคัญที่จะต้องพิสูจน์ว่าเมื่อได้รับฟังแล้ว จะน้อมประพฤติปฏิบัติตามเพิ่มขึ้นแม้ทีละเล็กทีละน้อย หรือว่าเพียงพิจารณาเห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล ก็เป็นผลของการฟังพระธรรมจนกว่าจะถึงนิพพิทาญาณ

    อดิศักดิ์ เรื่องนิพพิทาญาณ อาจารย์ก็ได้ยกพระธรรมขึ้นมาแสดงมากมาย ครั้งหนึ่งผมฟังธรรมใหม่ๆ ผมก็นึกว่าผมคงมีนิพพิทาญาณ เพราะเกิดเบื่อหน่ายที่จะออกไปพบกับคนอื่น คิดว่าเราควรจะอยู่คนเดียว เราคงได้นิพพิทาญาณแล้ว ซึ่งขณะนั้นยังไม่รู้จักการเจริญสติปัฏฐาน แต่จากการที่อาจารย์พูด ความจริงมันเบื่อเพราะร่างกายเราไม่แข็งแรง เบื่อเพราะมีโรคภัย เบื่อเพราะไม่ประสบกับอิฏฐารมณ์เสียมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องการเข้าใจผิดทั้งนั้น แต่ในชีวิตประจำวันของผมซึ่งอาจารย์แสดงเมื่อกี้นี้ถึงชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส มันมีพร้อมในชีวิตผมทั้งนั้นเลย แล้วมันก็จริงๆ และค่อนข้างรุนแรงถึงกับต้องเข้ามาศึกษาธรรม เมื่อเข้ามาศึกษาธรรมแล้ว ยิ่งเห็นว่าน่าจะหนีไปจากชาติ ชรา มรณะ ซึ่งทางก็คือต้องเจริญสติปัฏฐาน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๒๖ เดือนที่แล้ว ที่ไปบ้านอาจารย์กลับมาก็ป่วยมาตลอด ในช่วงนั้นก็มานึกถึงมรณานุสติว่า น่าจะตายไปเสีย เราก็ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมที่จะไปถึงอริยสัจจธรรมได้ แต่ว่าในช่วงนั้นก็เป็นผลดี ระยะนั้นก็พิสูจน์ธรรมได้อย่างหนึ่งว่า การเจริญสติปัฏฐานซึ่งอาจารย์เคยพร่ำสอนว่า ทางตา เมื่อเห็นให้ระลึกรู้ ทางหู ให้ระลึกรู้ กลิ่น รส กาย และการคิดนึก ทั้งๆ ที่อาจารย์ได้สอนมานาน ฟังมานาน ก็ยังไม่ค่อยระลึก ซึ่งบางคนเคยพูดว่า ไม่ยอมระลึก ความจริงเหตุปัจจัยยังไม่พร้อม ผมเองในระยะ ๒ อาทิตย์ที่ป่วยนั้น ก็เกิดมีการระลึกทางกลิ่นบ่อยครั้ง เกือบทุกวัน แม้กระทั่งเมื่อกี้นี้ขนาดอยู่ในห้อง ได้กลิ่นอะไรก็ระลึกรู้ถึงสภาพ รูปธรรมว่าเป็นกลิ่น และเราระลึกรู้เป็นนามธรรม ในระยะนี้ก็มีระลึกถึงรูปธรรมนามธรรมทางจมูก คือทางกลิ่น และที่หนักใจคือการระลึกรู้ทางใจ ก็เกิดมีมากขึ้น และวันนี้ก็ยังไม่ตาย ผมก็ต้องเจริญต่อไป ผมว่าเมื่อได้ฟังมานานแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็น่าจะระลึกรู้มานานแล้ว ก็ยังไม่ได้ และระยะที่ป่วย ๒ อาทิตย์นี้ก็มีการพิจารณาถึงเรื่องความตาย ก็มีการระลึกรู้สิ่งที่นานๆ จะระลึกสักครั้ง ก็เกิดระลึกได้บ่อยขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นท่านที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็ขออย่าได้คิดเรื่องอยากจะตายๆ เสีย เพราะควรที่จะอยู่ๆ ต่อไปอีก เพื่อที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้ว แล้วก็เพียงแต่ว่าการสะสมการฟังจะเป็นปัจจัยทำให้สติเกิดระลึกได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าตายๆ ไปเสีย ใครจะรู้ว่าจะมีโอกาสได้ฟังอีกหรือเปล่า หรือว่ามีโอกาสที่สติปัฏฐานจะเกิดอีกหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นทุกท่านที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้ว จงเป็นผู้ที่อย่าคิดว่า จะตายๆ ไปเสียเลย

    นิภัทร การคลุกคลีด้วยหมู่คณะ หมายถึงอยู่ด้วยความติด ความข้อง หมายความว่ามีความผูกพันกันด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง หมายความว่าอยู่ด้วยอกุศล อยู่รวมกันด้วยเรื่อง หรือคิด หรือทำในทางที่เป็นอกุศล อย่างนี้เรียกว่า อยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ พระธรรมแสดงให้เห็นถึงชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกท่านพิจารณาชีวิตของท่านในวันหนึ่งๆ ได้ว่า การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในระหว่างมิตรสหาย เป็นไปในลักษณะของคลุกคลีหรือไม่ ตรงตามที่ทรงแสดงไหม เพราะว่าย่อมเป็นไปด้วยโลภะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ซึ่งหนทางที่จะทำให้เป็นกุศล มี คืออยู่ด้วยเมตตา

    นิภัทร แต่ถ้าอยู่ด้วยเมตตา หรืออยู่ด้วยมีสติระลึกรู้ธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น อย่างนี้ก็ถือว่า ถึงแม้ว่าจะอยู่รวมกันก็ไม่ถือว่า คลุกคลีด้วยหมู่คณะอย่างนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นกุศลไม่คลุกคลี

    นิภัทร ไม่จำเป็นว่าจะต้องโดดเดี่ยวตัวเองไปอยู่ในที่สงัด หลีกเร้นไปอยู่ต่างหากเฉพาะ จึงจะว่าไม่คลุกคลี

    ท่านอาจารย์ ถ้าปลีกกายไป แต่ใจยังคิดถึงด้วยโลภะหรือโทสะ ก็ยังชื่อว่า คลุกคลีด้วยความคิด เพราะที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏสั้นนิดเดียว แล้วคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นในขณะที่ปลีกตัวไปก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏทางตาแม้ว่าจะเปลี่ยนจากสัตว์บุคคล อาจจะเป็นธรรมชาติป่าเขาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่กั้นความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาผ่าน ความคิดเรื่องสัตว์บุคคลทั้งหลายก็เกิดอีก เพราะเหตุว่ายังมีอัตตสัญญา ความทรงจำว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้

    เพราะฉะนั้นจะเป็นผู้โดดเดี่ยวจริงๆ ก็ต่อเมื่อปัญญารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    นิภัทร อย่างนั้นความหมายของคำว่า “คลุกคลีด้วยหมู่คณะ” หรือไม่คลุกคลีนี่ ก็ควรจะตัดสินด้วยว่าอยู่ด้วยกุศลธรรม หรือว่าอยู่ด้วยอกุศลธรรมมากกว่าใช่ไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 24
    8 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ