โสภณธรรม ครั้งที่ 056


    ตอนที่ ๕

    ผู้ฟัง ต่อมาเมื่อมีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยแล้ว ก็รู้ว่าการกระทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง อันนี้ก็เท่ากับว่าอาจารย์สุจินต์แนะนำให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูก ทีนี้สิ่งหนึ่งที่กระผมเป็นห่วงหนักหนาก็คือ ตัวเองหลอกตัวเอง สมมติว่าคืนไหนเกิดฟุ้งซ่าน นอนไม่หลับ ก็คิดว่า ก่อนจะหลับก็เอาเทปอาจารย์สุจินต์มาเปิด และก็ให้หลับพร้อมกับเทป เพราะเทปพอหมดม้วน เครื่องก็ตัดเอง ในขณะที่คิดอย่างนั้น สติก็เกิด อย่างนี้เป็นโลภะหรือเปล่า แต่ว่าการที่ตัวเองหลอกตัวเองว่า ไม่ใช่ นี่เป็นศรัทธาหรือเป็นวิริยะ ซึ่งมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้น ถ้าผมมาเรียนถามอาจารย์ อาจารย์ก็จะต้องบอกว่า ทุกคนจะต้องรู้เองในขณะนั้น แต่ว่าในลักษณะอย่างนี้ อาจารย์พอจะพิจารณาได้ไหมว่า ในขณะที่ฟุ้งซ่านและนอนไม่หลับ ก็หยิบเทปเปิด ในขณะที่หยิบเทปเปิด สติก็เกิดว่า กำลังติด โลภะอย่างหนึ่งแล้วว่า พอนอนไม่หลับก็จะต้องเปิดเทป แต่สติก็เกิดขึ้นอีกว่า อันนี้ก็เป็นวิริยะ เป็นศรัทธา กระผมก็ไม่ทราบว่า จะตัดสินใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนจะเห็นความรวดเร็วซึ่งเกิดดับสลับกันของกุศลและอกุศล เพราะเหตุว่าถ้าโดยปัจจัยที่ได้ศึกษา จะมีปัจจัยหนึ่ง คือ อุปนิสยปัจจัย กุศลก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลเกิดได้ และอกุศลก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลได้ ลองคิดดูว่า ในขณะที่นอนไม่หลับ แล้วอยากจะหลับ ชั่วขณะที่อยาก เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล นี่คือความที่จะต้องเป็นผู้ตรง ตอนที่อยากเป็นกุศลหรืออกุศล

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าตอนที่คิดว่าถ้าไม่หลับ ฟังธรรมจะมีประโยชน์กว่า ถ้าคิดอย่างนี้ คือว่าคิดว่า การที่จะมีชีวิตอยู่แล้วไม่หลับ แทนที่จะหลับโดยเปล่าประโยชน์ หรือด้วยความกังวล หรือความอยากจะหลับ หรือโดยความวุ่นวายใจ ก็เป็นการที่ว่าเมื่อไม่หลับแล้ว ก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์ คือ ฟังธรรมเพื่อจะได้เข้าใจ ผลพลอยได้ก็เกิดขึ้น คือ หลับ ฟังๆ ไปก็หลับ มีใครบ้างที่จะไม่หลับ เพียงแต่ว่าจะช้าหรือจะเร็วเท่านั้นเอง บางท่านอาจจะฟังแล้วก็เพลินไป แล้วก็ไม่หลับ นั่นก็เป็นโดยเหตุปัจจัยอื่นๆ หรือบางท่านพอฟังปุ๊บก็อาจจะหลับไปเลยก็ได้ นั่นก็แล้วเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า ในขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล คือ อยากจะหลับ หรือว่าอยากจะเข้าใจ อยากจะมีชีวิตที่มีประโยชน์ แม้ไม่หลับก็ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กว่า โดยมากตอนแรกๆ ทุกคนอยากจะหลับเวลาไม่หลับ บางคนก็ทานยานอนหลับ นั่นสำหรับผู้ที่ยังไม่มีวิธีอื่น บางคนก็ฟังธรรมแล้วหลับ ก็เลยฟังธรรมให้หลับ แต่จะสังเกตได้ว่า ผู้ที่อยากจะหลับ ขณะนั้นต้องเป็นอกุศลแน่ๆ แต่ว่าพอปัญญาเกิดมากๆ แม้ไม่หลับยิ่งกว่านั้นก็ยอม เพื่อที่จะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กว่านั้น เพราะฉะนั้นบางคนนอนหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาสติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที เป็นประโยชน์แล้ว ถือโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ประเสริฐกว่าการหลับ โดยการที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ต้องห่วงเรื่องการที่สุขภาพเสีย เพราะเหตุว่าจิตตชรูปที่เกิดจากกุศลย่อมดีกว่าจิตตชรูปที่เกิดจากอกุศล บางคนก็กลัวว่า หน้าตาจะไม่แช่มชื่นผ่องใส เพราะเหตุว่าอดหลับอดนอน ก็อยากที่จะหลับ ขณะนั้นก็จะมีจิตตชรูปที่เกิดขึ้นเพราะอกุศล บางคนก็เห็นว่า อกุศลทำให้หน้าตาผ่องใส สนุกสนานร่าเริง อันนั้นก็เป็นเรื่องของความพอใจในทางโลก แต่จริงๆ แล้วถ้าเป็นจิตตชรูปที่เกิดจากกุศล จะมีประโยชน์กว่ามาก แม้แต่รูปก็จะปรากฏความไม่กังวล นี่ก็เป็นเรื่องซึ่งต้องแล้วแต่การเห็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าเมื่อยังเป็นผู้ที่มีกิเลสมากก็อยากจะหลับ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ว่าถ้าได้ฟังพระธรรมมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น ไม่หลับก็ไม่เดือดร้อนเลย ถ้ามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม หรือมีโอกาสที่สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรม

    นี่เป็นเรื่องความละเอียดของจิต ซึ่งจะต้องอาศัยปัญญาที่พิจารณาโดยละเอียดรอบคอบถี่ถ้วนถึงขณะที่อกุศลเกิดสลับกับกุศล ที่จะต้องรู้ตามความจริงว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นมัชฌิมาปฏิปทาก็เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตึงหรือหย่อน แต่ว่าผู้ที่จะดำเนินทางสายกลางได้ ก็คือ รู้ประโยชน์ของสติปัฏฐาน แล้วก็เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานขณะใด ขณะนั้นจึงเป็นมัชฌิมปฏิปทา มิฉะนั้นแล้วบางท่านก็ถามว่า ต้องนอนกี่ชั่วโมง หรือว่าต้องเจริญสติปัฏฐานเท่าไร หรืออะไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่เป็นเรื่องการเข้าใจที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง จิตเกิดดับสลับกัน กุศลและอกุศลอย่างที่อาจารย์พูดนี่ถูกต้องแล้ว จากที่ได้พบได้คุยกับผู้สนทนาธรรม หรือสหายธรรมทั้งหลาย การใช้วิธีอย่างคุณประทีปนี่มีไม่น้อย เพราะว่ามาฟังทีหลังก็อยากจะมีสติเร็ว แล้วมีมากๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูก ต้องใช้วิธีอบรมไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนการจับด้ามมีด การฟังตลุยเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เลิกล้ม แต่ให้มนสิการให้ถูกต้องเสียใหม่ว่า เราฟังเพื่อความเข้าใจ แล้วในขณะนั้นจิตเกิดดับสลับกัน ถึงแม้อยากจะนอน ก็เอาธรรมมาฟัง ขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลอีก มันจะเกิดสลับกันอย่างนี้เอง ฟังธรรมไว้เป็นกำไร ผมคิดว่าใช้ต่อไปเถอะ ฟังตลุยต่อไป อย่าท้อแท้ ดีกว่า ไม่ใช่พูดแล้ว ก็เลิกฟังเลย

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญอย่าคิดว่า จะมีวิธีอื่น นอกจากระลึกทันที นี่เป็นหัวใจของการ

    เจริญสติปัฏฐาน

    สำหรับอุเบกขา ๑๐ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว คือ ๑. ฉฬังคุเบกขา ๒. พรหมวิหารุเบกขา

    ๓. โพชฌังคุเปกขา

    อุเบกขาที่ ๔ คือ วิริยุเปกขา ได้แก่ วิริยเจตสิก คือ ความเพียรที่ไม่ตึงนัก ไม่หย่อนนักในการใส่ใจด้วยอุบายในนิมิตตามระยะกาล

    ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าผิดจากสัมมาวายามะในมรรคมีองค์ ๘ ในการระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติ ตามเหตุตามปัจจัย ตามความเป็นจริง ชื่อว่า ตึงไปหรือหย่อนไปทันที ถ้าตึงไปก็คือ รีบๆ ๆ ๆ ใช่ไหม อยากจะให้สติเกิดมากๆ ๆ ๆ ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยหวังว่า เมื่อทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วสติจะเกิด อย่างนั้นตึงไปไหม แทนที่ไม่ต้องไปทำอะไรให้เหนื่อยยากเลย เพียงสติระลึกทันที นั่นเป็นวิริยุเปกขา ความเพียรที่ไม่ตึงนักไม่หย่อนนัก ซึ่งจะต้องประกอบด้วยปัญญา ถ้าขาดปัญญาแล้วไม่มีทางที่จะเป็นวิริยุเปกขาได้ เพราะเหตุว่าก็คงจะต้องทำสิ่งที่ผิดพลาดไปจากการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

    สำหรับเรื่องมรรคมีองค์ ๘ ท่านผู้ฟังก็คงจะได้ยินบ่อยๆ แต่ว่าตามปกติเวลาที่โลกุตตรจิตยังไม่เกิดก็จะเป็นมรรคมีองค์ ๕ ซึ่งขอกล่าวถึงข้อความในอรรถกถาสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อรรถกถามรรคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑ อรรถกถาอวิชชาสูตร ข้อ ๑ – ข้อ ๓ ซึ่งมีข้อความว่า

    องค์แม้ ๘ เหล่านั้นย่อมไม่เกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกียมรรค แต่ย่อมเกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกุตตรมรรค

    อันนี้ก็คงจะทราบได้ว่า ที่ใช้คำว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เสมอในพระไตรปิฎก และบางที่บางแห่งจะใช้คำว่า มรรคมีองค์ ๕ ก็จะต้องเข้าใจด้วยว่า เพราะเหตุใดจึงกล่าวถึงมรรคมีองค์ ๘ และมรรคมีองค์ ๕ ถ้าเป็นโลกียมรรคแล้ว วิรตีเจตสิก ๓ บางขณะก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นก็มีแต่สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑

    และสำหรับวิรตีเจตสิกก็เกิดไม่ครบทั้ง ๓ พร้อมกันในขณะจิตเดียว จะต้องเกิดเพียงวิรตีหนึ่งวิรตีใดในวิรตี ๓

    สำหรับวิรตี ๓ ก็คือ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑

    จะเห็นได้ว่า ขณะใดที่สัมมาวาจาเกิด ขณะนั้นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะก็ไม่เกิด ขณะใดที่สัมมากัมมันตะเกิด ขณะนั้นสัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะก็ไม่เกิด ขณะใดที่สัมมาอาชีวะเกิด ขณะนั้นสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะก็ไม่เกิด

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จึงรู้ว่า ตามปกติที่เป็นโลกียมรรค โดยทั่วไปเวลาที่วิรตีเจตสิกไม่เกิด จะประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๕ เท่านั้น

    สำหรับมรรคมีองค์ ๘ ย่อมมีได้ในโลกุตตรมรรคที่ประกอบด้วยปฐมฌาน ถ้าเป็นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมพร้อมด้วยองค์ฌานขั้นต่างๆ ส่วนในมรรคที่ประกอบด้วยทุติยฌานเป็นต้นไป ย่อมมีองค์ ๗ เท่านั้น คือเว้นสัมมาสังกัปปะ คือเว้นวิตกเจตสิก

    นี่ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่ถึง แต่ก็ควรที่จะได้ทราบว่า เหตุผลที่แสดงมรรคมีองค์ ๕ เพราะเหตุว่าโดยปกติแล้ว ถ้าวิรตีเจตสิกไม่เกิดแล้ว มรรคมีองค์ ๘ จะเกิดเพียง ๕ องค์เท่านั้น

    ข้อความต่อไปมีว่า

    แม้คำใดอันท่านกล่าวในอภิธรรมว่า ก็สมัยนั้นแลมรรคย่อมประกอบด้วยองค์ ๕ คำนั้นท่านกล่าวเพื่อแสดงในระหว่างกิจอย่างหนึ่ง

    คือแล้วแต่ว่าจะเป็นกิจที่มีวิรตีเกิดร่วมด้วย หรือว่าไม่มีวิรตีเกิดร่วมด้วย หรือว่ามีวิรตีประเภทใดเกิดร่วมด้วย

    ก็ในกาลใดบุคคลละการงานผิดแล้ว ย่อมยังการงานที่ชอบให้บริบูรณ์ ในกาลนั้นมิจฉาวาจาหรือมิจฉาอาชีวะย่อมไม่มี สัมมากัมมันตะ ย่อมให้บริบูรณ์ในมรรคที่เป็นมรรค ๕ เหล่านี้ คือ ทิฏฐิ ๑ สังกัปปะ ๑ วายามะ ๑ สติ ๑ สมาธิ ๑ ก็สัมมากัมมันตะ ชื่อว่า ย่อมให้บริบูรณ์ได้ด้วยสามารถแห่งวิรัติ แม้ในสัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะก็มีนัยนี้แล คำอันท่านกล่าวแล้วอย่างนี้เพื่อแสดงในระหว่างกิจนี้

    ส่วนในขณะแห่งโลกียมรรคย่อมมีองค์ ๕ แน่ แต่วิรตีไม่แน่ เพราะฉะนั้นท่านไม่กล่าวว่า มีองค์ ๖ แต่กล่าวว่า มีองค์ ๕ เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้

    อันนี้ก็โดยย่อๆ ก็คงพอที่จะทราบได้ว่า ปกติที่ไม่ใช่โลกุตตรจิตแล้วเป็นมรรคมีองค์ ๕ เพราะเหตุว่าไม่แน่ว่าวิรตี ๓ วิรตีหนึ่งวิรตีใดจะเกิด แต่เวลาเกิดต้องเกิดเพียงวิรตีเดียว จะเกิดพร้อมกันทั้ง ๓ ไม่ได้

    สำหรับวิริยุเปกขามีข้อสงสัยไหม

    ถ้าไม่มีขอต่อไปถึงอุเบกขาที่ ๕ คือ

    สังขารุเปกขา ได้แก่ ปัญญาเจตสิก ปัญญาก็เป็นสภาพของความเป็นกลาง เพราะฉะนั้นอุเบกขาใดที่วางตนเป็นกลางในการพิจารณาธรรมมีนิวรณ์เป็นต้น แล้วไตร่ตรองที่ตรัสไว้ว่า สังขารุเปกขาเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมาธิมีเท่าไร เกิดด้วยอำนาจวิปัสสนามีเท่าไร

    สังขารุเปกขาเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมาธิมี ๘ อย่าง เกิดด้วยอำนาจวิปัสสนามี ๑๐ อย่าง ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่า สังขารุเปกขา

    เรื่องของปัญญาที่เจริญอบรมจนถึงขั้นที่จะวางเฉย เป็นกลาง ในสังขารทั้งหลาย มีทั้งในการเจริญสมถภาวนาและการเจริญวิปัสสนาภาวนา

    สำหรับในการเจริญสมถภาวนาและในการเจริญวิปัสสนาภาวนาจะต้องอาศัยโสภณสาธารณเจตสิก ต้องมีทั้งสติ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ ตัตตรมัชฌัตตตา แต่ถ้าเป็นเรื่องของการเจริญสมถภาวนาและการเจริญวิปัสสนาภาวนาแล้ว ต้องมีปัญญาด้วย ด้วยเหตุนี้อุเบกขาที่ ๕ คือ สังขารุเปกขา จึงได้แก่ ปัญญาเจตสิก

    ข้อความในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ญาณกถา ข้อ ๑๓๓ มีข้อความว่า

    สังขารุเปกขาเท่าไร ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ สังขารุเปกขาเท่าไร ย่อม

    เกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา

    สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา

    สำหรับสังขารุเปกขา ๘ คือ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยนิวรณ์ เพื่อต้องการได้ปฐมฌาน

    ต้องเป็นปัญญาขั้นที่สามารถจะรู้หนทางด้วยว่า ทำอย่างไรจิตจึงจะสงบถึงขั้นที่จะบรรลุปฐมฌานได้ ตลอดไปจนกระทั่งถึงทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน โดยจตุตถนัยรวมเป็นรูปฌาน ๔ แล้วก็ต้องมีสังขารุเปกขาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉย เพื่อที่จะได้บรรลุถึงอรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ รวมเป็นสังขารุเปกขา ๘ เหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ

    นี่แสดงว่า ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว เจริญสมถะภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาไม่ได้เลย เพราะโดยมากถ้าไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดยิ่งขึ้น ก็อาจจะคิดว่า สังขารุเปกขาญาณนั้นเป็นเฉพาะวิปัสสนาภาวนาเท่านั้น แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว สภาพที่วางเฉยเป็นกลางในธรรมซึ่งเป็นสังขาร มีทั้งส่วนที่เป็นสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เพราะเหตุว่าทุกอย่างที่เกิดเป็นสังขาร เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นกลาง วางเฉย ในสังขาร ในการอบรมเจริญสมถภาวนานั้น ก็เป็นเหตุที่จะให้บรรลุถึงปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน โดยจตุตถนัย และสำหรับสังขารุเปกขาญาณซึ่งต่อจากปัญจมฌานโดยปัญจกนัย หรือจตุตถฌานโดยจตุตถนัย ก็เป็นเหตุให้บรรลุถึงอรูปฌานทั้ง ๔ รวมเป็นสังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถภาวนา ซึ่งถ้าไม่มีการอบรมเจริญสมถภาวนา ก็ไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสังขารุเปกขา ๘ นี้ได้ เพราะว่าเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา มีทั้งส่วนที่เป็นสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา

    สมถภาวนา คือ สติสัมปชัญญะที่สามารถจะระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิต แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะใดเป็นนิวรณธรรม คือ เป็นอกุศลธรรมประเภทใด คือ เป็นความยินดีพอใจในรูป หรือในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งทุกวันๆ ทุกคนก็ยังคงยินดีพอใจในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในโผฏฐัพพะบ้าง แต่ว่าสติสัมปชัญญะจะเกิด แล้วก็รู้ลักษณะของจิตที่ต่างกันไหมว่า ในขณะนั้นเป็นอกุศล ที่กำลังยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ทุกท่านก็ปล่อยไปตามรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ จากทางตาไปถึงทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ได้ปราศจากความยินดีพอใจที่เป็นกามฉันทะเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะอบรมเจริญความสงบของจิต จึงจะขาดสติสัมปชัญญะไม่ได้ เพราะเหตุว่าสามารถจะมีการระลึกได้ แล้วก็รู้ในลักษณะที่เป็นอกุศลธรรม ซึ่งเมื่อรู้ในลักษณะที่เป็นอกุศลธรรมแล้ว ถ้าเป็นผู้ที่รู้ในการที่จะกระทำจิตให้สงบระงับจากกามฉันทะ ด้วยการตรึกถึงอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบ ในขณะนั้นกุศลจิตก็เกิด

    เพราะฉะนั้นระหว่างที่เจริญความสงบของจิต ก็จะต้องรู้ความต่างกันว่า ขณะนี้จิตกำลังสงบเป็นกุศล แล้วขณะต่อไป หรือขณะอื่นก็มีอกุศลจิตเกิดสลับ เกิดแทรก คือ ความคิดนึกถึงรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญภาวนา ไม่ว่าจะเป็นสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนา ก็จะต้องประกอบพร้อมด้วยสติและสัมปชัญญะ มิฉะนั้นแล้วจะไม่ใช่การอบรมเจริญภาวนาเลย ไม่ใช่ทั้งสมถภาวนาและไม่ใช่ทั้งวิปัสสนาภาวนา

    เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่า สมถภาวนา หรือสมถะ ก็อย่าพอใจเพียงว่า ไม่รู้อะไรเลย หรือจะไปจดจ้องที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แล้วเข้าใจว่า ขณะที่จดจ้อง จิตไม่รู้อารมณ์อื่น รู้เฉพาะอารมณ์เดียวนั้น เป็นสมถะ แต่ตามความเป็นจริงแล้วต้องเป็นสติสัมปชัญญะที่สามารถจะรู้ลักษณะของจิตที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แล้วจึงเจริญจิตซึ่งเป็นกุศลให้เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งสงบขึ้นๆ สามารถที่จะถึงความสงบที่มั่นคงเป็นสมาธิขั้นต่างๆ นั่นถึงจะเป็นสมถภาวนา จนกว่าจะถึงสังขารุเปกขา ซึ่งจะทำให้บรรลุถึงปฐมฌาน และสำหรับผู้ที่ถึงปฐมฌานแล้ว ที่จะถึงทุติยฌานก็จะต้องมีสังขารุเปกขา คือ สติสัมปชัญญะที่ประกอบด้วยปัญญาที่วางเฉยในสังขารที่เกิดสลับคั่นกับที่เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็ลองพิจารณาดูว่า มีท่านผู้ใดเจริญสมถภาวนาบ้าง ในวันหนึ่งๆ ขณะที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็ต้องเป็นกามฉันทะบ้าง เป็นพยาปาทบ้าง เป็นถีนมิทธะบ้าง หรือว่าเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ หรือเป็นวิจิกิจฉา

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมในแต่ละวัน เวลาที่ผู้ใดก็ตามเจริญความสงบที่เป็นสมถะ สภาพธรรมเหล่านี้ก็มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดสลับ ไม่ใช่ว่ากุศลจิตนั้นจะเกิดสืบต่อได้ตลอดไป แต่หมายความว่าจะต้องอาศัยองค์ของฌาน เช่น วิตก ตรึกในอารมณ์ที่ทำให้สงบ วิจาร ประคองให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์นั้นตามที่วิตกตรึก แล้วจะต้องประกอบด้วยปีติ สุข เอกัคคตา

    เพราะฉะนั้นเรื่องของการเจริญภาวนาต้องเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาโดยละเอียดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนา มิฉะนั้นแล้วถ้ากล่าวถึงสังขารุเปกขา ก็เพียงแต่ได้ยินเป็นชื่อ แล้วก็ไม่ทราบว่าสังขารุเปกขาเมื่อไรจะเกิด และก็จะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยปัญญาที่เข้าใจชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง

    ถ้าปัญญาในชีวิตประจำวันยังไม่มี ก็ไม่สามารถที่จะเจริญกุศลขั้นภาวนาได้ ก็คงจะเป็นกุศลขั้นทาน ขั้นศีล

    มีท่านผู้ใดเจริญสมถภาวนาบ้างไหม ไม่จำเป็นต้องให้ถึงฌาน เพียงสมถภาวนาในชีวิตประจำวันก็มีประโยชน์ ถ้าสามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่า แต่ละบุคคลในวันหนึ่งๆ อกุศลมากแค่ไหน โลภมูลจิตซึ่งเกิดเป็นประจำทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ยังไม่ค่อยจะรู้ว่าเป็นอกุศล ใช่ไหมเวลาเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอกุศล เห็นแล้วก็ชอบ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สวยงาม มีทุกสิ่งทุกอย่างแวดล้อมที่น่าพอใจ และขณะนั้นจะรู้ไหมว่า เป็นอกุศล หรือว่ายังปรารถนาที่จะให้มีมากกว่านั้นอีก

    นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ในขณะที่เป็นอกุศลนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า เป็นอกุศลอยู่เป็นประจำ

    นี่คือทางตา ทางหูก็เช่นเดียวกัน ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ บางท่านมีเพลงเพราะเกือบจะทั้งวัน เรียกได้ว่าไม่หยุดเลย และบางท่านก็ถึงกับในขณะที่เดินทาง ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ก็ยังมีเสียงเพลงเพราะๆ ติดตามฟังไปเรื่อยๆ ก็ลองคิดดู ตลอดเวลาที่ได้ยินเสียงเพราะ ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล ทางตาก็ไม่รู้ ทางหูก็ไม่รู้ ทางจมูกก็ไม่รู้ ทางลิ้นขณะที่กำลังบริโภคอาหารที่มีรสอร่อย ก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล ทางกายกระทบสัมผัสที่เย็นสบาย ก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล ทุกคนก็บอกว่าร้อนมาก รู้สึกว่าในขณะนั้นไม่ชอบเลย ขณะที่ไม่ชอบก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล แต่พอสามารถที่จะทำให้ความร้อนนั้นคลายลงเป็นความเย็นสบาย ก็ไม่รู้อีกว่าเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นสมถภาวนาแม้ในชีวิตประจำวัน ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ ที่จะเห็นว่า ทั้งวันและทุกวันเต็มไปด้วยอกุศลจริงๆ เมื่อนั้นจึงจะเป็นผู้ที่เห็นโทษ และเจริญกุศลเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นทาน หรือขั้นศีล หรือความสงบของจิตแม้เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ยังดีกว่าที่จะเป็นอกุศลทางหนึ่งทางใด เช่น เป็นกามฉันทะบ้าง ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นพยาปาทะ ความขุ่นเคืองใจบ้าง หรือเป็นถีนมิทธะ ความหดหูท้อถอย ง่วงเหงา ซึมเซา หรือว่าเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดที่เดือดร้อนรำคาญใจในอกุศลที่ได้กระทำแล้ว หรือในกุศลที่ยังไม่ได้กระทำ หรือเป็นวิจิกิจฉา สภาพที่สงสัยในลักษณะของสภาพธรรม ในพระรัตนตรัย ในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในอดีต ในปัจจุบัน ในอนาคต

    นี่ก็เป็นชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน ซึ่งก็ควรที่จะได้ทราบว่า พระธรรมจะช่วยทำให้ปัญญาสามารถที่จะรู้จักตนเอง เมื่อรู้จักตนเองแล้วก็ย่อมเลือกได้ว่าจะเจริญกุศลเพื่อให้อกุศลลดน้อยลง หรือว่ายังคงพอใจที่จะเป็นอกุศลมากๆ อยู่

    มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ไหม

    สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เจริญสมถภาวนาจนกระทั่งถึงอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจลักษณะของสังขารุเปกขาซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ

    สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา

    ทุกท่านเป็นผู้ที่ต้องการจะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เพื่อที่จะดับกิเลสโดยละ ดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ และถ้าไม่พิจารณาข้อปฏิบัติจนกระทั่งเป็นสัจจญาณ มีความมั่นใจ แน่ใจ เข้าใจโดยถูกต้องจริงๆ ในเรื่องการเจริญสติปัฏฐานแล้ว กิจญาณ คือ มรรคมีองค์ ๘ หรือมรรคมีองค์ ๕ ก็ย่อมจะเกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะกล่าวถึงสังขารุเปกขาญาณ ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ก็จะต้องกล่าวถึงเรื่องของการอบรมเจริญสติปัฏฐานตั้งแต่ขั้นต้นทีเดียว ซึ่งจะต้องเป็นความเห็นถูก ซึ่งเป็นสัจจญาณ เพราะเหตุว่าบางท่านก็เพิ่งจะรับฟัง และก็มีท่านที่บอกว่า สติไม่ค่อยเกิด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 24
    24 ม.ค. 2565

    ซีดีแนะนำ