จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 056


    ด้วยโลภะ โทสะต่างๆ ทางจมูก มีการแสวงหากลิ่นต่างๆ ประดิษฐ์กลิ่นต่างๆ ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตเกิดขึ้นไปสู่อารมณ์ต่างๆ และไปสู่ เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่จบ ถึงแม้จะจุติจากโลกนี้แล้ว ก็ไปสู่คติ แล้วแต่กรรมจะทำให้ ปฏิสนธิในสุคติภูมิ หรือทุคติภูมิ ซึ่งสำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน ไม่มีทางพ้นไปจากคติทั้ง หลาย คือ ทั้งสุคติและทุคติ แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ท่านก็ดับคติ คือ ทุคติได้ แล้วไปสู่สุคติตามลำดับขั้น จนกว่าจะไม่มีการปฏิสนธิอีก

    7923 ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า สร้างอภิสังขารต่างๆ เป็นส่วนมาก

    ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า สร้างอภิสังขารต่างๆ เป็นส่วนมาก

    อภิสังขารมี ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

    ปุญญาภิสังขาร คือ กุศลทั้งหลายที่ยังเกี่ยวเนื่องเป็นไปในรูป อกุศลกรรมทั้งหลายก็เป็นอปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร หมายถึงอรูปฌานกุศลจิต

    เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า สร้างอภิสังขารต่างๆ เป็นส่วนมาก ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง กุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ในวันหนึ่งๆ ท่านกระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมมาก

    7924 ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกโอฆะต่างๆ พัดไปเป็นส่วนมาก

    ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกโอฆะต่างๆ พัดไปเป็นส่วนมาก

    โอฆะก็เป็นอกุศลกรรมประเภทหนึ่ง ได้แก่ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ และอวิชโชฆะ

    ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นกาโมฆะ วันหนึ่งๆ ถูกพัดไปมากไหมคะ ความพอใจในรูปที่ปรากฏทางตา ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    นอกจากนั้นยังมีภโวฆะ ความยินดีพอใจในขันธ์ ในภพที่กำลังเป็นอยู่ ไม่อยากจะจากโลกนี้ไป นั่นก็เป็นภโวฆะ แล้วก็ยังมีทิฏโฐฆะ คือ ความเห็นผิด เป็นความเห็น เป็นอกุศลธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งพัดไปทำให้ไม่กลับมาสู่ความเห็นถูก

    เพราะฉะนั้นเป็นอันตรายมาก ถ้ามีความเห็นผิดเพียงเล็กน้อย แล้วก็จะทำให้ความเห็นผิดนั้นพาไปสู่ความเห็นผิดที่มากขึ้นและลึกขึ้น ก็ยากแก่การที่จะละ

    นอกจากนั้นก็มีอวิชโชฆะ คือ โอฆะ ห้วงน้ำ คือ อวิชชา ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

    แล้วจะเป็นปุถุชนจริงๆ ไหมคะ เพราะว่าพร้อมไปด้วยโอฆะทั้ง ๔ คือ ทั้งกาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ และอวิชโชฆะ

    ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่อบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น ก็จะต้องถูกพัดไป และเป็นผู้หนาด้วยอกุศลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    7925 ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกความเดือดร้อนต่างๆ ให้เดือดร้อนอยู่เป็นส่วนมาก

    ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกความเดือดร้อนต่างๆ ให้เดือดร้อนอยู่เป็นส่วนมาก จริงไหมคะ คนที่กำลังเดือดร้อนเป็นปุถุชน ถ้าเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ความเดือดร้อนก็น้อยลง น้อยลง น้อยลง แต่สำหรับปุถุชนเดือดร้อนมากจริงๆ เพราะอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ในวันหนึ่งๆ ขณะใดที่รู้สึกเดือดร้อนใจ ขณะนั้นให้ทราบว่า เป็นอกุศลธรรม แล้วก็เพิ่มความเป็นปุถุชน ผู้ที่หนาด้วยกิเลสมากขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นความเห็นถูก เป็นปัญญาแล้ว ขณะนั้นจะไม่เดือดร้อน

    7926 ชื่อว่าปุถุชน ล้วนแต่เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ มีแต่ยึดมั่นอยู่ในธรรมต่ำๆ

    ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกความเร่าร้อนต่างๆ ให้เร่าร้อนอยู่เป็นส่วนมาก

    ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า กำหนัด ยินดี รักใคร่ สยบ หมกมุ่น ติด ขัด พัวพันอยู่ในเบญจกามคุณเป็นส่วนมาก

    ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกนิวรณธรรมทั้ง ๕ กางกั้น ปิดบัง ซ่อนไว้เป็นส่วนมาก

    อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน เพราะหยั่งลงภายในของชนส่วนมาก คือ พ้นคนณา ซึ่งล้วนแต่เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ มีแต่ยึดมั่นอยู่ในธรรมต่ำๆ ก็มี จริงไหมคะ

    ถาม

    ท่านอาจารย์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ความยินดีพอใจ

    ถาม

    ท่านอาจารย์ ก็จะอยู่ต่อไปหรือคะ

    ผู้ถาม

    ท่านอาจารย์ ทำไมจะไม่พ้น ผู้ที่ท่านพ้น มีนี่คะ ถ้าท่านที่พ้นได้ มี ผู้ที่อบรมเจริญหนทางเช่นเดียวกัน ก็ย่อมจะพ้นได้ อย่าคิดว่าจะต้องอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซิคะ

    เพราะฉะนั้นถ้าคิดอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่ล้วนแต่เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ ถ้าคิดว่า ไม่สามารถที่จะพ้น และยังคงไม่ประพฤติปฏิบัติที่จะให้พ้น ก็ยังคงมีแต่ยึดมั่นอยู่ในธรรมต่ำๆ

    7927 ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ชนนี้เป็นปุถุ

    อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน ด้วยอรรถว่า ชนนี้เป็นปุถุ คือ ถึงการนับว่าเป็นพวกหนึ่งทีเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับพระอริยะทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยคุณ มีศีล และสุตะ เป็นต้น แสดงว่าแยกจากกันโดยเด็ดขาด สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน กับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล

    7928 อันธปุถุชน และ กัลยาณปุถุชน

    ด้วย ๒ บท ที่ว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ดังที่กล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธ์พระอาทิตย์ได้ตรัสปุถุชนนั้นใด เป็น ๒ พวก คือ อันธปุถุชนพวกหนึ่งกัลยาณปุถุชนพวกหนึ่ง

    7929 การทรงเจ้า เป็นมงคลตื่นข่าวหรือไม่

    ผู้ฟัง เรื่องมงคลตื่นข่าว พระผู้มีพระภาคก็ทรงห้ามพุทธบริษัทไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว ทีนี้มงคลตื่นข่าว ส่วนใหญ่ก็รู้ว่า ไปบูชาก้อนหินใหญ่ๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ หรือผู้วิเศษเกิดขึ้นทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง เท่านี้ก็ถือว่ามงคลตื่นข่าว

    เรื่องมงคลตื่นข่าว เวลานี้ผมก็สงสัยอยู่หลายอย่าง เช่น พวกทรงเจ้า จะถือว่าเป็นมงคลตื่นข่าวหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่จะกระทำ ควรจะพิจารณาถึงเหตุผล เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง ทรงเจ้าก็เพื่อรักษาโรคบ้าง เพื่อหวังความร่ำรวยบ้าง เผื่อว่าเจ้าจะได้ช่วย เวลานี้มีเยอะครับ มีเจ้ามาเข้าทรงบุคคลนั้นบุคคลนี้ ผู้ที่ป่วยไข้ก็ไปให้เจ้ารักษาให้หายโรค หายภัย เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า มงคลตื่นข่าวหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ รู้สึกว่าทุกท่านจะเคยไป ใช่ไหมคะ เรื่องทรงเจ้า คงไม่มีท่านผู้ใดซึ่งไม่เคย คงจะได้ยินได้ฟังและเกิดความสนใจ อย่างน้อยที่สุดก็ใคร่ที่จะเห็นด้วยตาของตัวเองว่าจริงหรือเท็จประการใด หรือว่าจะมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด แต่ไม่ได้พิจารณาถึงโทษ ว่าจะมีบ้างหรือเปล่า

    สำหรับท่านที่ป่วยไข้ได้เจ็บ เป็นของธรรมดาที่คงอยากหายจากโรค วิธีการสมัยใหม่อาจจะไม่ทันใจ เพราะเหตุว่าผู้ป่วยย่อมอยากจะหายเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าจะมีหนทางอื่นใดประกอบด้วยเพื่อจะหายเร็วขึ้น ทุกท่านก็ปรารถนา โดยที่ขาดการพิจารณาว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่จะได้ยินถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่รักษาโรคที่ทำให้โรคภัยร้ายแรงหายได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะฉะนั้นก็น่าจะพิจารณาว่า ส่วนที่ไม่หาย เพราะอะไร

    ทีนี้ถ้าคิดเสียว่า ในเมื่อตาก็ไม่เห็นชัดว่า เป็นเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ถูกไหมคะ ทั้งๆ ที่เห็น ก็ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ไม่วายว่า เจ้าหรือเปล่า หรือว่าไม่ใช่เจ้า ทั้งๆ ที่ไปดู ไม่สามารถตัดสินได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีใครที่หายโรค จะเป็นไปได้ไหมที่ว่า บุคคลนั้นก็กำลังจะหาย เพราะฉะนั้นเมื่อมีศรัทธา มีความเลื่อมใส มีความเชื่อมั่น ก็อาจจะเป็นเหตุให้โรคที่กำลังจะหาย หายได้ เพราะว่ามีโรคหลายโรค ซึ่งแม้ว่าไม่รักษาก็หาย หรือว่ามีหลายโรค ที่แม้รักษาก็ไม่หาย และก็มีหลายโรคที่ต้องรักษาจึงหาย ไม่รักษาไม่หาย

    เพราะฉะนั้นก็ควรจะพิจารณาจริงๆ ว่า ที่หายนั้น หายเพราะอะไร และที่ไม่หาย ไม่หายเพราะอะไร นั่นเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ สำหรับเรื่องของลาภ ของยศ ของตำแหน่งหน้าที่การงาน ของการพ้นจากคดี หรือเรื่องร้ายต่างๆ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ผู้อื่นสามารถบันดาล หรือว่าที่สำคัญที่สุดนั้น คือ กรรมของตนเอง

    และสำหรับสิ่งที่อาจเป็นโทษซึ่งมองไม่เห็น ก็คือการน้อมไปในการยึดถือมงคลตื่นข่าวทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย โดยปราศจากเหตุผล และจะทำให้เสียเวลาในการพิจารณาธรรมที่ปรากฏที่ควรพิจารณา ที่ควรศึกษา อย่างเรื่องของปรมัตถธรรมที่ได้ศึกษาไปแล้ว เรื่องของจิตประเภทต่างๆ ลักษณะต่างๆ แทนที่จะนึกถึงเรื่องมงคลตื่นข่าว กลับพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังให้เพิ่มขึ้น จนกระทั่งมีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วมีปัจจัยให้สัมมาสติระลึกลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จะมีประโยชน์กว่าการที่จะขวนขวาย นึกถึง หรือเพียรที่จะยึดถือมงคลตื่นข่าว ซึ่งไม่ใช่มีแต่เพียงอย่างเดียว มีอีก มีอีก มีอีก หลายๆ อย่าง หลายๆ สำนัก ซึ่งก็ไม่สามารถจะให้เหตุผลหรือให้เกิดปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และไม่ทำให้ยึดมั่นในเรื่องกรรมของตนด้วย เพราะเหตุว่าเข้าใจว่า บุคคลอื่นสามารถดลบันดาลได้

    เพราะฉะนั้นก็มีโทษภัยที่มองไม่เห็น ซึ่งจะต้องพิจารณาจนกว่าจะเห็นว่า ประโยชน์ที่สุดในชีวิต คือ การเข้าใจลักษณะของธรรม การศึกษาพิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏย่อมมีประโยชน์กว่า

    มีเรื่องอื่นอีกไหมคะ นอกจากเรื่องเข้าทรง และประโยชน์จริงๆ ไม่ทราบว่าคืออะไร นอกจากต้องการ และถ้าได้ ก็คิดว่าเป็นเพราะการดลบันดาลของบุคคลอื่น ซึ่งนั่นก็ไม่ช่วยให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องในเรื่องกรรมของตน

    7930 การสักตามตัว การแขวนพระเครื่อง

    ท่านอาจารย์ มีเรื่องอื่นอีกไหมคะสำหรับมงคลตื่นข่าว ซึ่งต้องหมดจริงๆ ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็จะปิดกั้นไม่ให้ธรรมเจริญขึ้น

    ผู้ฟัง ทุกวันนี้ส่วนใหญ่คนนับถือพระเครื่อง บางคนแขวนคอเต็มหน้าอกเลย หรือบางคนสักตามตัว สักหนุมานบ้าง สักลิงบ้าง สักอะไรต่ออะไรต่างๆ โดยเชื่อว่า ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก หรือแขวนพระเครื่องก็เหมือนกัน เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อจะระลึกถึงพระพุทธคุณ การสักก็ดี การแขวนพระเครื่องก็ดี จะถือว่าเป็นมงคลตื่นข่าวหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ปรากฏว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสอนให้กระทำเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นมงคลตื่นข่าว ในพระวินัยปิฎกมีไหมที่พระผู้มีพระภาคจะตรัสสอนให้กระทำเช่นนั้น ในพระสุตตันตปิฎก มีไหมในสูตรไหน ในพระอภิธรรมปิฎกมีไหม เมื่อไม่มี ก็ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ที่แขวนพระเครื่องแขวนเพื่ออะไร ต้องเป็นผู้ที่ตรงและมีเหตุผลจริงๆ แต่ละบุคคลเหมือนกันไหม และส่วนใหญ่เป็นอย่างไร มีใครแขวนบ้างไหมคะที่นี่ มีไหมคะ เชิญค่ะ มีเหตุผลอย่างไร นี่ไม่ใช่การลบหลู่พระพุทธคุณ แต่เป็นเรื่องที่ให้เข้าใจเหตุผลตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

    ผู้ฟัง คือพระเครื่องที่แขวนอยู่นี่ กระผมก็ไม่ได้ขวนขวายหามาแขวนเอง เนื่องจากมีเพื่อนสนิทรักชอบกันมาก เขาให้มาเป็นของขวัญ ในเมื่อเขาให้มาแล้ว

    ประการที่ ๑ แขวนเพื่อฉลองศรัทธาเขา และประการที่ ๒ เมื่อลูบคลำองค์พระ บางครั้งก็ทำให้เกิดสติ เตือนสติได้เหมือนกัน เป็นบางโอกาส แต่ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เกิดเสมอไป แต่ในขณะที่เพลิดเพลิน เช่น การดูโทรทัศน์ มีบางครั้งเผลอมาลูบคลำถูกเข้า ก็เกิดสติขึ้นมา อย่างนี้ก็มีครับ ส่วนเหตุผลอื่นๆ

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ “เกิดสติ” หมายความว่าอย่างไรคะ

    ผู้ฟัง เมื่อกระผมลูบถูก อาการแข็งก็ปรากฏ ใช่ไหมครับ นั่นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ครั้งหนึ่งแล้ว นี่พูดในกรณีที่สมมติ จริงๆ แล้วอาจจะยังไม่เกิดก็ได้ ส่วนประโยชน์อื่นๆ นั้น ก็ไม่ได้หวังว่าจะเกิดเป็นที่นิยมนับถือ อะไรอย่างนี้ก็ไม่มี หรือจะถือว่าขลัง จนกระทั่งฟันแทงไม่เข้า ก็ไม่เคยนึกถึง

    ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นทัศนะของท่านผู้หนึ่งซึ่งแขวนพระเครื่อง เพราะฉะนั้นท่านผู้ฟังต้องพิจารณาแต่ละราย ซึ่งถ้าไม่เรียนถามผู้ที่แขวนพระเครื่องจริงๆ ก็จะไม่ทราบว่า ผู้ที่แขวนพระเครื่อง แขวนด้วยเหตุอะไร และมีความคิดความหวังอย่างไรหรือเปล่า ไปคิดว่าเหมือนกันทั้งหมด คือ เพื่อหวังความศักดิ์สิทธิ์ หรืออะไรก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าท่านผู้แขวนก็มีเหตุผลของท่านแต่ละบุคคล เช่น ท่านผู้นี้แขวนเพราะได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อน และเวลาที่กระทบ ก็รู้สึกว่าสติเกิด

    เพราะฉะนั้นก็จะแขวนต่อไป ใช่ไหมคะ นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ซึ่งไม่ใช่มงคลตื่นข่าว แต่ถ้าเป็นมงคลตื่นข่าว ก็คิดว่า พระเครื่องสามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายต่างๆ หรือว่าถ้าบูชาด้วยการปฏิบัติบูชาเฉพาะพระประเภทของพระเครื่องแต่ละองค์นั้น นั่นก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นท่านผู้ฟังก็ต้องพิจารณาว่า มงคลตื่นข่าวนั้นคืออย่างไร

    ผมยังสงสัยเรื่องของมงคลตื่นข่าวที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงว่า พุทธบริษัททั้งหลายให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ อย่าถือมงคลตื่นข่าว แต่บุคคลบางคน ถ้ากำลังมีความเจ็บปวด มีโรคเบียดเบียนอย่างหนัก ถ้าไม่ไปหาเจ้าเข้าทรง จะถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะในขณะที่เจ็บปวดนั้น จะถืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าเป็นกรรมของตนหรือเปล่า และก็รักษาตามปกติธรรมดา

    . รักษาแล้วก็ยังไม่หาย

    ท่านอาจารย์ คิดว่าจะหายด้วยการไปให้เจ้ารักษาหรือ

    . ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดหาย เป็นเพราะเจ้า หรือเป็นเพราะกรรมของตน เพราะฉะนั้น การที่จะไม่รู้ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนาแสดงธรรมทุกประการที่ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ โดยเหตุและโดยผล เช่น เรื่องกรรมของตน เป็นสิ่งที่มีจริง รู้ได้ ว่าเป็นเพราะกรรมของตนแน่นอน

    . ถ้าพูดเรื่องกรรมของตน คนไข้ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ ๓ บุคคล คนไข้บางคนรักษาก็หายไม่รักษาก็หาย คนไข้บางคนรักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย คนไข้บางคนรักษาแล้วจึงจะหายถ้าไม่รักษาแล้วตาย เพราะฉะนั้น การเข้าหาเจ้าก็ดี เข้าหาการเข้าทรงต่างๆ ก็ดี ก็เป็นวิธีการรักษาประการหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เจ้าที่เข้าทรง จะบอกยาให้ใช่ไหม

    . บางทีก็บอกยาให้ บางทีก็เอาน้ำมนต์ หรือเอาอะไรให้ แต่ละสำนัก ไม่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขอให้ทราบว่า เจ้าผู้ที่เข้าทรงก็จะต้องมีความรู้เรื่องยา เวลานี้หลายท่านก็สนใจในเรื่องสมุนไพร ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าก็พอจะทราบได้ว่า พืชพันธุ์ชนิดไหนเป็นประโยชน์สำหรับโรคภัยชนิดไหน และถ้าจะมีการเข้าทรง ผู้ที่เข้าทรงก็ย่อมมีความรู้เรื่องยารักษาโรคบ้าง เป็นสิ่งที่แน่นอน เพราะฉะนั้น การที่จะหาย ก็ควรที่จะพิจารณาว่า เพราะเหตุอะไร และควรที่จะศึกษาโดยกว้างขวาง

    เช่น ได้ทราบข่าวว่า ที่ต่างประเทศมีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งใช้กำลังจิตฝึกหัดจนกระทั่งสามารถเพียงใช้มือแตะคนที่มาหา ก็สามารถที่จะรักษาโรคของคนนั้นได้ แต่เขาก็ไม่ได้อ้างว่าเป็นเจ้า ซึ่งถ้าใครจะอ้างว่าเป็นเจ้า ก็อาจจะมีคนเชื่อว่า มีเจ้ามาเข้าผู้หญิงคนนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ที่เปิดเผยตามความเป็นจริงว่า อาศัยกำลังจิต อาศัยสมาธิซึ่งฝึกหัดจนกระทั่งสามารถที่จะรักษาโรคได้ เพียงใช้มือแตะ

    เพราะฉะนั้น การที่จะหายด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดก็ควรพิจารณาว่า เหตุอะไรเป็นเหตุที่แท้จริง และถ้าหายแล้วก็ควรที่จะได้ทราบว่า หายเพราะเหตุใด ไม่ใช่ยังสงสัยว่า เป็นเจ้า หรือไม่ใช่เจ้า เพราะแม้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้า ก็มีความรู้ในเรื่องสมุนไพรต่างๆ ได้ หรือว่าในเรื่องกำลังของสมาธิ ซึ่งอาจจะฝึกอบรมจนกระทั่งสามารถที่จะรักษาโรคได้ โดยไม่ต้องอ้างว่าเป็นเจ้า

    . วิธีที่อาจารย์กล่าวนั้น ประเทศไทยก็มีมาก บางสำนักเขาใช้อำนาจจิต และใช้มือแตะก็มี ใช้เทียนจี้ก็มี อะไรต่างๆ อย่างนี้ ถ้าใช้เทียนจี้แล้ว โรคอะไรเขาก็สามารถจะรู้ได้ และภายหลังก็สามารถจะรักษาหายได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไปรักษาด้วยกำลังจิตก็ดี ใช้เทียนจี้ก็ดี และหายโรค จะถือว่าเป็นมงคลตื่นข่าวหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้รู้เหตุว่าหายเพราะเหตุอะไร ก็ไม่ใช่มงคลตื่นข่าว แต่ถ้าไม่รู้ สงสัย ไม่แน่ใจ และเชื่อว่าต้องเป็นเจ้าทั้งๆ ที่มองไม่เห็น และยังมีความผูกพันด้วย เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ไปหาเจ้าเข้าทรงก็เพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ใช่เรื่องรักษาโรค ก็เป็นเรื่องลาภ สักการะ ยศ คดีความต่างๆ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องละ แต่เป็นเรื่องติด และยังไม่เข้าใจในเหตุผลอันแท้จริงว่า ผู้อื่นสามารถจะดลบันดาลได้จริงๆ หรือเปล่า

    เชื่อแน่หรือว่า ผู้อื่นสามารถที่จะดลบันดาลได้จริงๆ หรือว่าเป็นเพราะ ผลของกรรมของตนเอง

    . บุคคลที่เป็นหนี้เขามากมาย และกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย ขณะนั้นถ้าจะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะต้องปฏิบัติอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ไปขอพระรัตนตรัยให้ช่วย เพราะว่าเวลาที่อยากจะได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดวิธีที่ง่ายที่สุดมักจะคิดว่า ด้วยการขอ เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเชื่อมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มักจะขอสิ่งนั้น โดยลืมว่าการมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คือ มีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ โดยเชื่อในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงธรรม เพราะได้ทรงตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง นี่เป็นที่พึ่งจริงๆ ที่จะให้พ้นทุกข์ โดยการที่ปัญญาค่อยๆ เกิดขึ้น จนสามารถเข้าใจในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และมีความมั่นคงในการที่จะประพฤติปฏิบัติตาม นี่จึงจะเป็นที่พึ่งจริงๆ แต่ไม่ใช่พึ่งชั่วคราว พึ่งประเดี๋ยวเดียว คือ โดยการขอ ซึ่งไม่มีเหตุผล ไม่ได้มีเหตุ ไม่ได้กระทำเหตุด้วยตนเองที่จะให้ได้รับผลนั้นด้วยตนเอง

    เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมต้องละเอียด แม้แต่การที่จะพึ่งพระธรรม ก็คือ ด้วยการศึกษาจนกระทั่งมีความเข้าใจในพระธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ลึกซึ้งละเอียดขึ้น เพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตามจนสามารถที่จะบรรลุความเป็นพระอริยสงฆ์ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่ามีพระอริยเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นที่เคารพ เป็นที่สักการะ เป็นสรณะ แต่ตนเองไม่ประพฤติปฏิบัติตามเพื่อให้ถึงความเป็นพระอริยเจ้าด้วย ไม่ใช่อย่างนั้น

    . ผู้ที่เป็นหนี้เขามากมาย ก็ต้องการหาเงินมาใช้หนี้ด้วยทางใดทางหนึ่ง ถ้ายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เงินทองที่จะหามาใช้ก็ไม่มี แต่ถ้าเขาไปหาเจ้า หาหลวงพ่อ บางทีหลวงพ่อให้หวยไปแทงแล้วถูก เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้นมองไม่เห็น แต่ไปหาเจ้าหรือหาหลวงพ่อให้หวย ไปแทงหวยแล้วถูก นี่มองเห็น เพราะฉะนั้น พึ่งหลวงพ่อดีกว่าพึ่งพระรัตนตรัย

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเห็นอย่างนี้ ก็เป็นความเห็นผิด เพราะการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้กระทำอะไรเลย แต่ไม่ว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ คือ เมื่อเหตุที่ดีมี ผลที่ดีย่อมเกิดขึ้น แต่รู้สึกว่าจะมั่นใจยาก ใช่ไหม หาทางลัด หรือทางขอ หรือทางช่วย หรือทางอื่น คิดว่าคงจะสะดวกดี แต่นั่นไม่ใช่เหตุ เพราะอกุศลจิตหรืออกุศลกรรมไม่เป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก

    เวลาที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความต้องการ ด้วยความปรารถนา ด้วยความอยากได้ และได้รับความสำเร็จ ความสำเร็จนั้นไม่ใช่เพราะอกุศลจิต แต่วิบากที่เป็นกุศลวิบากทั้งหมด เป็นผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 19
    15 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ