จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 066


    เป็นเรื่องซึ่งดูเหมือนเป็นตัวเลข แต่ที่เป็นตัวเลขนั้นเป็นขณะจิตจริงๆ ซึ่งเกิด ซ้ำไปซ้ำมาวนไปเวียนมาในวันหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น ควรที่จะทราบว่า แต่ละท่านมีกามาวจรจิตมากหรือน้อย ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีกามาวจรจิตทั้งหมด ไม่เกิน ๔๕ ประเภท ที่ใช้คำว่าไม่เกิน แสดงว่ามีน้อยกว่านั้นก็ได้ สำหรับบางท่าน มีน้อยกว่า ๔๕ และบางท่านมีครบทั้ง ๔๕

    เป็นเรื่องที่ละเอียดที่ควรจะได้ทราบ แต่ก่อนที่จะได้ทราบ ควรที่จะชินหูกับกามาวจรจิตทั้ง ๓ หมวดนี้

    สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีกามาวจรจิต ๓๔ ประเภท เว้นอกุศลจิต ๑๒ และกุศลจิต ๘ รวมเว้น ๒๐ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระอรหันต์มีกามาวจรจิตเพียง ๓๔ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์

    ท่านผู้ฟังอยากจะขาดกามาวจรจิตประเภทไหนบ้าง ใน ๔๕ ประเภทที่ท่านมี

    อกุศลจิต ๑๒ ไม่มีทางจะดับได้ ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงความเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น ไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นที่จะดับการเกิดดับของอกุศลจิต ซึ่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น นอกจากการอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล จึงจะดับอกุศลจิตได้ตามขั้นของความเป็น พระอริยะ

    สำหรับอเหตุกจิต ๑๘ จำแนกเป็นอกุศลวิบาก ๗ กุศลวิบาก ๘ และกิริยา ๓

    สำหรับอกุศลวิบาก ๗ ทุกท่านมีครบ คือ จักขุวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ เห็นสิ่งที่ไม่ดีในวันหนึ่งๆ โสตวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ในขณะที่ได้ยินเสียงไม่ดี ฆานวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ในขณะที่ได้กลิ่นไม่ดี ชิวหาวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ในขณะที่ลิ้มรสไม่ดี กายวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ ในขณะที่กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาปริยัติธรรมและสติระลึก จะรู้ได้ว่า ขณะที่กำลังเห็น ในขณะนั้น สภาพของจิตที่เห็นสิ่งที่ไม่ดีนั้นเป็นอกุศลวิบาก ที่กล่าวว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าเป็นอกุศลวิบากเกิดขึ้นทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดี ทางตา ฉันใด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ฉันนั้น

    นี่เป็นอกุศลวิบาก ๕ ประเภทแล้ว แต่ว่ากรรมไม่ได้ทำให้เพียงอกุศลวิบาก ๕ ประเภทนี้เกิด แต่ยังทำให้วิบากจิตเกิด รับอารมณ์ต่อจากจิตเห็น ต่อจากจิตได้ยิน ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า สัมปฏิจฉันนะ

    ถ้าจักขุวิญญาณเห็นสิ่งที่ไม่ดีดับไป สัมปฏิจฉันนะที่เป็นอกุศลวิบากเกิด รู้อารมณ์ที่ไม่ดีต่อ เมื่อจักขุวิญญาณเป็นอกุศลวิบาก สัมปฏิจฉันนะต้องเป็น อกุศลวิบากด้วย ถ้าจักขุวิญญาณเป็นอกุศลวิบาก จะให้สัมปฏิจฉันนกุศลวิบากเกิด เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจิตแต่ละขณะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย หรือเมื่อ จักขุวิญญาณดับแล้ว ให้โลภมูลจิตเกิดต่อทันที ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการที่จิตแต่ละประเภทจะเกิดขึ้นและดับไป ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะทราบว่า ในขณะที่ทุกท่านกำลังเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่มีแต่จักขุวิญญาณเท่านั้น ทันทีที่จักขุวิญญาณดับไป สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อ เป็นวิบากจิตประเภทเดียวกัน และเมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับ จิตที่เกิดต่อ คือ สันตีรณจิต ถ้าเห็น สิ่งที่ไม่ดี สัมปฏิจฉันนะที่เป็นอกุศลวิบากดับไป สันตีรณะที่เป็นอกุศลวิบากต้องเกิดต่อ

    นี่คืออกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะ คือ ไม่ประกอบด้วยโลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก หรืออโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก จึงเป็นอเหตุกจิต ซึ่งมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีแต่จิตที่เป็นเหตุเท่านั้น ยังมีจิตที่ไม่เป็นเหตุคือ เป็นอเหตุกจิตด้วย

    สำหรับกุศลวิบาก ๘ ต่างกับอกุศลวิบาก ๗ ตรงที่ว่า สันตีรณจิตมี ๒ ไม่ใช่ มี ๑ เหมือนทางฝ่ายอกุศลวิบาก คือ สันตีรณจิตอกุศลวิบากมี ๑ แต่สันตีรณจิตกุศลวิบากมี ๒ คือ ดวงหนึ่งเกิดกับอุเบกขาเวทนา อีกดวงหนึ่งเกิดกับโสมนัสเวทนา เพราะว่าอารมณ์ที่เป็นฝ่ายดี ที่เป็นอิฏฐารมณ์ มีทั้งอารมณ์ที่ดีปานกลาง และ อารมณ์ฝายดีที่ประณีต เพราะฉะนั้น ขณะใดที่มีการเห็น หรือการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่ประณีตจริงๆ ไม่มีใครจะยับยั้งการเกิดขึ้นของโสมนัสสันตีรณกุศลวิบากได้ เพราะว่าเป็นไปตามอารมณ์ซึ่งเป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายอเหตุกกุศลวิบากจึงมี ๘ ไม่ใช่มี ๗

    เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกท่านจะสังเกตได้ว่าเป็นวิบากประเภทใด

    ขณะนี้มีสันตีรณจิตไหม มี

    มีสัมปฏิจฉันนจิตไหม มี

    สำหรับอเหตุกวิบาก มี ๑๕ ประเภท ซึ่งทุกท่านมีครบ แต่อเหตุกกิริยาจิต ๓ ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นอเหตุกกิริยาจิต เกิดก่อนจักขุวิญญาณ หรือ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก่อนเห็น ซึ่งกำลังเห็นในขณะนี้ จะต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นอเหตุกกิริยาจิตเกิดก่อน ๑ ขณะ และดับไปก่อน จักขุวิญญาณในขณะนี้จึงเห็นได้

    ไม่ว่าจะเป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็มีจิตดวงนี้ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นอเหตุกกิริยาจิต เกิดก่อนจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ

    เวลาที่หลับสนิท มีปัญจทวาราวัชชนจิตไหม ไม่มี

    จะรู้ได้อย่างไรว่ามีปัญจทวาราวัชชนจิต ถ้าขณะที่นอนหลับสนิทไม่มี ปัญจทวาราวัชชนจิต ขณะไหนจึงจะรู้ได้ว่ามีปัญจทวาราวัชชนจิต ก็คือ ขณะที่ไม่ใช่หลับสนิท ขณะที่มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด คือ สี หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือโผฏฐัพพะ เพราะชื่อของจิตดวงนี้บอกแล้วว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต จิตที่รำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบทางทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร

    เพราะฉะนั้น จิตดวงนี้จะไม่ทำหน้าที่เกี่ยวกับทางมโนทวารเลย แต่ขณะใด ก็ตามที่จะมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จะขาดจิตดวงนี้ไม่ได้ เพราะจิตดวงนี้ต้องเกิดก่อน และเป็นกิริยาจิต

    ปัญจทวาราวัชชนจิต มีอีกชื่อหนึ่งว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ หมายความว่า เป็นวิถีจิตดวงแรก ขณะแรก หรือเป็นจิตซึ่งกระทำทางให้วิถีจิตอื่นๆ เกิดต่อ

    กำลังหลับสนิท ยังไม่เห็น ภวังคจิตเกิดดับอยู่ มีอารมณ์กระทบทางหนึ่งทางใด เช่น เสียงกระทบกับโสตปสาท ทำไมจึงมีการได้ยิน ถ้ายังคงเป็นภวังคจิตอยู่จะไม่มีการได้ยินเสียงเลย แต่ที่มีการได้ยินเสียง เพราะว่าโสตปสาทเกิด ยังไม่ดับ เสียงเกิดยังไม่ดับ และเสียงที่ยังไม่ดับนั้นก็กระทบกับโสตปสาทที่ยังไม่ดับ และไม่ใช่เพียงกระทบเฉยๆ ต้องทำให้ภวังคจิตไหวด้วย เนื่องจากว่าจิตเกิดดับเป็นภวังค์ตราบเท่าที่ไม่มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดกระทบทวารหนึ่งทวารใด และเมื่อมีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดกระทบทวารหนึ่งทวารใด ภวังคจิตไหวแล้ว (คือ ภวังคจลนะ) แต่ก็ยังคงเป็นภวังค์ต่อไปอีก ๑ ขณะ คือ ภวังคุปัจเฉทะ

    จะหยุดการเป็นภวังค์ทันทีไม่ได้ เพราะกระแสของภวังค์ที่เกิดดับสืบต่อมีปัจจัยว่า เมื่อภวังคจิตเกิดและดับไป ก่อนที่จะรู้อารมณ์อื่นทางหนึ่งทางใดต่อได้ ต้องมีการกระทบระหว่างอารมณ์อื่นกับทวารหนึ่งทวารใดทำให้ภวังคจลนะเกิดก่อน และเป็นปัจจัยให้ภวังคุปัจเฉทะ คือ ภวังค์ดวงสุดท้ายของกระแสภวังค์เกิดขึ้นและดับไป ต่อจากนั้น วิถีจิต คือ เปลี่ยนจากอารมณ์ของภวังค์มารำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบที่ทวารหนึ่งทวารใด มิฉะนั้นก็ไม่มีการตื่น ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน แม้ว่าอารมณ์จะกระทบกับทวารแล้ว คือ จะต้องมีจิตซึ่งเป็นอเหตุกกิริยาจิต รำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบทวาร

    เพราะฉะนั้น ปัญจทวาราวัชชนจิต ไม่ใช่ภวังค์ จิตใดก็ตามที่ไม่ใช่ภวังค์เป็น วิถีจิต แต่เพราะปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตขณะแรก จึงยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน เพียงแต่รำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบที่ทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร เพราะฉะนั้น ปัญจทวาราวัชชนจิตจึงชื่อว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ หมายความว่า เป็นจิตซึ่งกระทำทางให้วิถีจิตต่อๆ ไปเกิดขึ้น ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิด จักขุวิญญาณเกิดไม่ได้ โสตวิญญาณเกิดไม่ได้ ฆานวิญญาณเกิดไม่ได้ ชิวหาวิญญาณเกิดไม่ได้ กายวิญญาณเกิดไม่ได้ โลภมูลจิตเกิดไม่ได้ กุศลจิตเกิดไม่ได้ วิถีจิตทั้งหลายเกิดไม่ได้ ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้น จึงต้องมีอเหตุกกิริยาจิตหนึ่งขณะเกิดก่อน ซึ่งวิริยเจตสิกไม่เกิดร่วมกับปัญจทวาราวัชชนจิต

    อเหตุกจิตทั้งหมด มี ๑๘ ประเภท วิริยเจตสิกไม่เกิดกับอเหตุกจิต ๑๖ ประเภท ถ้าศึกษาเรื่องของสภาพธรรมละเอียดขึ้นๆ โดยจุดประสงค์ที่จะให้เห็นว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จะเห็นเหตุผลที่ละเอียดขึ้นว่าเพราะเหตุใดจิตประเภทนั้นจึงประกอบด้วยเจตสิกประเภทนั้นๆ หรือไม่ประกอบด้วยเจตสิกประเภทนั้นๆ ซึ่งเมื่อกล่าวถึงสัมมัปปธานซึ่งเป็นโพธิปักขิยธรรม ได้แก่ วิริยเจตสิก ก็จะรู้ว่าขณะใดจิตมี วิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะใดไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งจำนวนก็ไม่มากและ ไม่ยาก คือ ถ้าทราบว่าอเหตุกจิตมี ๑๘ วิริยเจตสิกไม่เกิดกับอเหตุกจิต ๑๖ เพราะฉะนั้น เกิดกับอเหตุกจิตเพียง ๒ ดวง ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป

    สำหรับอเหตุกจิต ๑๘ เป็นวิบากจิต ๑๕ ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะที่กำลังเห็นจริงๆ จักขุวิญญาณกำลังทำทัสสนกิจ คือ กิจเห็นในขณะนี้ ไม่ต้องมี วิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย สัมปฏิจฉันนจิตซึ่งเกิดต่อ เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย คือ เมื่อจักขุวิญญาณเกิดแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ต้องเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ ไม่ต้องมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย แม้สันตีรณจิตซึ่งเกิดต่อก็ไม่ต้องมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย แม้อเหตุกกิริยาจิตดวงแรก คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ก็ไม่ต้องมีวิริยเจตสิกเกิด ร่วมด้วย

    วิริยเจตสิกจะเกิดกับอเหตุกจิตเพียง ๒ ดวงเท่านั้น คือ มโนทวาราวัชชนจิต และหสิตุปปาทจิต

    ทุกท่านไม่มีหสิตุปปาทจิต เพราะไม่ใช่พระอรหันต์ แต่มีมโนทวาราวัชชนจิต คือ จิตที่เกิดทางมโนทวาร ไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่ได้กระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่คิด

    ขณะที่คิด ให้ทราบว่า จิตที่คิดต้องเป็นกุศลหรืออกุศลสำหรับผู้ที่ไม่ใช่ พระอรหันต์ แต่แม้กระนั้นก่อนที่การคิดคำหนึ่งคำใดจะเกิดขึ้น จะต้องมีอเหตุกจิตซึ่งเป็นมโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน เพราะฉะนั้น อีกชื่อหนึ่งของมโนทวาราวัชชนจิต คือ ชวนปฏิปาทกมนสิการ หมายความว่าเป็นจิตซึ่งกระทำทางให้ชวนจิตเกิดต่อ ชวนจิต ได้แก่ กุศลจิตหรืออกุศลจิตนั่นเอง

    ในวันหนึ่งๆ จะเห็นความเกิดดับสืบต่อกันระหว่างภวังคจิต กิริยาจิต วิบากจิต กุศลจิตหรืออกุศลจิต และก็วิบากจิต กิริยาจิต สลับกันไปเรื่อยๆ

    สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต ผู้ใดจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม ขณะที่จะคิด เรื่องหนึ่งเรื่องใด วิริยเจตสิกต้องเกิดกับมโนทวาราวัชชนจิตด้วยในขณะนั้น ต่างกับ ปัญจทวาราวัชชนจิต เพราะปัญจทวาราวัชชนจิตอาศัยทวาร คือ ต้องมีอารมณ์กระทบทวารเป็นปัจจัยให้ปัญจทวาราวัชชนจิตรำพึงถึงอารมณ์ ไม่ใช่เพราะวิริยะ แต่เพราะอาศัยทวารกระทบกับอารมณ์ ทำให้ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น รำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบ

    แต่มโนทวาราวัชชนจิต แม้ไม่มีตากระทบกับอารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าเสียงไม่ได้กระทบกับหู โสตปสาท แต่ทำไมจึงคิด เพราะฉะนั้น ขณะที่จะคิดนั่นเอง ต้องอาศัยวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    สำหรับอเหตุกจิต ๑๘ ประเภท มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๒ ประเภท คือ มโนทวาราวัชชนจิต และหสิตุปปาทจิต เป็นจิตที่ทำให้เกิดการแย้มหรือยิ้มเพียงเห็นไรฟันของพระอรหันต์ ซึ่งขณะนั้นต้องมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว แม้ว่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็วเกิดดับสลับกัน แต่ปัจจัยที่ปรุงแต่สภาพของจิตแต่ละขณะก็ต่างกัน

    มโนทวาราวัชชนะและโวฏฐัพพนะเป็นจิตประเภทเดียวกัน ประกอบด้วยเจตสิกเท่ากัน เป็นชาติเดียวกัน คือ เป็นชาติกิริยา ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เป็นอเหตุกะ แต่กระทำกิจต่างกัน คือ ถ้ากระทำกิจทางปัญจทวาร เมื่อสันตีรณจิตดับแล้ว โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้นก่อนกุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้น โวฏฐัพพนจิต อีกชื่อหนึ่งคือ ชวนปฏิปาทกมนสิการ เป็นจิตซึ่งกระทำทางให้ชวนจิตเกิดต่อ ไม่ใช่ว่ากุศลจิตและอกุศลจิตจะเกิดได้ตามใจชอบ อย่างท่านผู้ฟังถามเสมอว่า เป็นกุศลหรืออกุศล ทำอย่างนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ดูเสมือนว่าอยากจะทำให้กุศลจิตเกิด แต่ทำไม่ได้ ต้องแล้วแต่โวฏฐัพพนจิต ถ้าเป็นทางปัญจทวารที่เห็น ทันทีที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าสติ ไม่ระลึก จะไม่ทราบว่า อกุศลจิตเกิดต่อแล้ว

    เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไป จักขุวิญญาณดับไป สัมปฏิจฉันนจิตดับไป สันตีรณจิตดับไป โวฏฐัพพนจิตดับไป กุศลหรืออกุศลเกิดแล้ว โดยที่ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เห็นทางตาเป็นอะไร หรือว่าเสียงที่ได้ยินทางหูเป็นอะไร แต่กุศลหรืออกุศลก็เกิดเพราะโวฏฐัพพนจิตซึ่งเกิดก่อน เป็นชวนปฏิปาทกมนสิการ คือ เป็นจิตที่กระทำทาง ให้ชวนจิตเกิดต่อเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล โดยไม่มีใครยับยั้งได้เลย

    ผู้ฟัง โวฏฐัพพนจิตมีวิริยะเกิดร่วมด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ โวฏฐัพพนะจิตต้องมีวิริยะเกิดร่วมด้วย

    มโนทวาราวัชชนจิต อีกจิตหนึ่ง คือ โวฏฐัพพนจิตทางปัญจทวาร จะเรียกว่า โวฏฐัพพนะก็ได้ จะเรียกว่า มโนทวาราวัชชนะก็ได้ แต่ควรจะเรียกตามทวาร เมื่อไม่ได้เกิดทางมโนทวาร ไม่ได้ทำกิจของมโนทวารเลย จึงไม่ชื่อว่ามโนทวาราวัชชนะ ในขณะที่ทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร แต่ที่ใช้ชื่อประจำว่า มโนทวาราวัชชนะ เพราะว่ามโนทวาราวัชชนจิตเกิดได้ทุกภูมิ ไม่ว่าจะในกามภูมิ หรือในรูปพรหมภูมิ หรือในอรูปพรหมภูมิ เพราะฉะนั้น จึงใช้ชื่อประจำว่า มโนทวาราวัชชนะ แต่ถ้าโดยกิจ เมื่อเกิดทางมโนทวารก็ดับทางมโนทวาร เมื่อเกิดทางปัญจทวารก็ดับทางปัญจทวาร และเมื่อเกิดทางปัญจทวารไม่ได้ทำอาวัชชนกิจ แต่ทำโวฏฐัพพนกิจ

    จะเห็นได้ว่า มโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อนชวนจิต คือ เกิดก่อนกุศลจิตและอกุศลจิตทุกครั้ง และเมื่อเกิดทางมโนทวารกระทำอาวัชชนกิจ จึงเป็น มโนทวาราวัชชนจิต กระทำทางให้ชวนจิตซึ่งเป็นกุศลหรืออกุศลทางมโนทวารเกิดต่อ

    เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตจึงเป็นชวนปฏิปาทกมนสิการ เป็นจิตที่กระทำทางให้ชวนะซึ่งเป็นกุศลหรืออกุศลเกิดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวารหรือทางมโนทวาร

    ผู้ฟัง ต่อจากชวนะเป็นตทาลัมพนะ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ใช่

    ผู้ฟัง ที่ว่ายึดหน่วงอารมณ์ ไม่ทราบว่ายึดหน่วงอารมณ์ต่อจากชวนะ หรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังกล่าวถึงจิตที่เกิดต่อจากชวนะ คือ เกิดต่อจากกุศลหรืออกุศล ก่อนที่จะเป็นภวังค์ นี่คือชีวิตจริงๆ ในขณะนี้ เมื่อมีการเห็น หรือการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส รูปๆ หนึ่งมีอายุเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ในขณะที่กระทบกับจักขุปสาทก็ดี หรือโสตปสาทก็ดี และจิตเกิดดับสืบต่อตั้งแต่ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ อาวัชชนจิต ถ้าเป็นทางปัญจทวาร ก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต จากนั้นเป็นจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ แล้วแต่ว่าเป็นอารมณ์ใด สัมปฏิจฉันนจิตดับแล้ว สันตีรณจิตดับแล้ว โวฏฐัพพนจิตดับแล้ว ชวนจิต ๗ ขณะดับแล้ว อารมณ์ยังไม่ดับ ยังมีเหลือต่ออีก ๒ ขณะจิต เป็นปัจจัยอีกแล้วที่จะให้วิถีจิต คือ จิตที่ไม่ใช่ภวังค์ เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากชวนจิต

    สำหรับกามบุคคล คือ ผู้ที่เกิดในกามภูมิ ผู้ที่ยังไม่สามารถออกไปจากกามภูมิ ได้ จะต้องมีกรรมซึ่งเนื่องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วแต่ว่าจะเป็น กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตาม เป็นปัจจัยที่ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นอีกต่อจากชวนะ เพื่อที่จะรู้อารมณ์หลังจากที่ชวนจิตเกิดและดับไปแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจิต ๒ ขณะนั้นเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากชวนะโดยที่ไม่ใช่ภวังคจิต จึงกระทำตทาลัมพนกิจ หมายความว่า มีอารมณ์เดียวกับชวนะ เท่านั้นเอง

    ไม่ควรจะแปล ตทาลัมพนะ เป็นอย่างอื่น เพราะโดยชาติเป็นวิบาก จิตที่เป็นวิบากเมื่อเกิดขึ้นและหมดไป ไม่สามารถกระทำให้วิบากอื่นเกิดอีก เพราะสภาพของวิบากจิตเป็นผลของกรรม

    วิบากจิตจะเกิดได้ต้องอาศัยกรรม เมื่อกรรมหนึ่งกรรมใดมี พร้อมด้วย เหตุปัจจัยที่จะให้ผล ก็ทำให้วิบากจิตนั้นเกิดขึ้นได้ และเมื่อจิตที่เป็นวิบากเกิดแล้ว ดับแล้ว ก็หมดเรื่อง ไม่เหมือนกุศลและอกุศลกรรมซึ่งถึงแม้ว่าจะดับไปแล้ว ก็ยังเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นข้างหน้าได้

    เพราะฉะนั้น สำหรับตทาลัมพนจิตซึ่งเป็นวิบากจิต ไม่สำคัญเท่ากับชวนจิต เพราะว่าอาศัยกรรมจึงเกิด ซึ่งต้องเป็นกรรมประเภทกามาวจรด้วย และบุคคลนั้นต้องเป็นกามบุคคล คือ เกิดในกามภูมิ และอารมณ์ซึ่งกำลังรู้ ต้องเป็นกามอารมณ์ด้วย คือ จะต้องเป็นรูปทางตา หรือเสียงทางหู หรือกลิ่นทางจมูก หรือรส หรือโผฏฐัพพะเท่านั้น ที่วิบากนี้จะเกิดขึ้น โดยชาติเป็นกาม เพราะฉะนั้น ก็เกิดขึ้นรับกามอารมณ์ตามที่เคยสะสมมา ไม่ทิ้งไปเลย แม้ว่าอารมณ์จะเหลือเพียง ๒ ขณะ รูปทางตา เหลือ ๒ ขณะ เสียงทางหูเหลือ ๒ ขณะ หลังจากที่ชวนจิตซึ่งเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ดับไปแล้ว แต่กามบุคคลซึ่งเกิดเพราะกามาวจรกุศลหรืออกุศลเป็นปัจจัย ทำให้ วิบากจิตไม่ทิ้งอารมณ์นั้น

    เห็นความเหนียวแน่นไหมว่า กามบุคคลต้องติดในกาม รูปเหลือนิดเดียว เพียงชั่ว ๒ ขณะจิต ก็ไม่ผ่านไป ยังเป็นปัจจัยให้กามวิบากเกิดขึ้นกระทำตทาลัมพนกิจ คือ ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่ภวังคกิจ

    ข้อความในอรรถกถาอุปมาตทาลัมพนจิต เหมือนอย่างว่า เวลาที่ท่านผู้ฟังบริโภคอาหารแล้วเคยกลืนน้ำลายต่อไหม หรือว่ามีอะไรที่ยังค้างอยู่ในปากหรือในคอ ก็ไม่ใช่จะทิ้งไป นั่นคือขณะที่ตทาลัมพนะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากชวนะ คือ ไม่ยอมทิ้งกามอารมณ์นั้นไป เมื่อยังเหลืออยู่ ก็เป็นปัจจัยให้กามวิบากเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นต่อ

    ผู้ฟัง โลภมูลจิตจำแนกโดยชาติแล้ว ได้แก่ชาติอะไร

    ท่านอาจารย์ ชาติอกุศล

    การศึกษาเรื่องจิต จำเป็นต้องทราบชาติ เพราะว่าจิตที่เป็นเหตุไม่ใช่จิตที่เป็นผล จิตที่เป็นเหตุมี ๒ คือ กุศลเหตุและอกุศลเหตุ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 19
    20 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ