จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 070


    ผู้ฟัง ขณะที่จักขุวิญญาณเกิด เป็นสภาพธรรมนามธรรมที่รู้ ก็รู้เพียงสี ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่รู้ว่าเป็นสีอะไร แต่ก็เกิดโยนิโสมนสิการในจิตดวงที่เป็นโวฏฐัพพนะแล้ว เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ชวนะเกิดเป็นกุศล ผมสงสัยว่า ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้แต่เพียงปรมัตถธรรมอย่างเดียว ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ น่าสงสัย ใช่ไหม เพราะปกติแล้ว ปุถุชนมักจะเป็นผู้ที่ตกจากกุศล ใช้คำว่า ตกจากกุศล บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ใช่เป็นผู้ที่พร้อมด้วยกุศลที่จะเกิด สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน จะเห็นได้ว่า วันหนึ่งๆ ตกไปในทางโลภะ อยากจะได้สิ่งที่ปรากฏ ทางตาบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง เพราะฉะนั้น ตกจากกุศลบ่อยเหลือเกิน

    ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน อย่าลืม หนทางเดียวที่จะรู้ได้ว่า ทางตาที่กำลังเห็น แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร กุศลจิตก็เกิดได้ คือ เมื่อเป็นผู้ที่มีปกติ เจริญสติปัฏฐาน แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน เห็นแล้วก็เป็นอกุศล ประเภทหนึ่งประเภทใดเป็นประจำ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

    เสียงดังที่เกิดขึ้น ตกใจกลัว ยังไม่รู้เลยว่าเสียงอะไร ต้องรู้ก่อนหรือเปล่าจึง จะกลัว จะตกใจ แต่เสียงอย่างนั้นเป็นปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดแล้ว เป็นโทสมูลจิต โดยยังไม่ต้องรู้เลยว่าเป็นเสียงอะไร

    ถ้าในขณะที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน สติก็ระลึกสืบเนืองต่อกันทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเป็นปกติ เป็นปกติเมื่อไร เมื่อนั้นแม้เห็น กุศลจิต ก็เกิดได้ โดยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของแต่ละบุคคล เป็นเครื่องพิสูจน์ธรรมตามความเป็นจริงว่า ปกติของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม หรือว่าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ได้อบรมเจริญ สติปัฏฐาน ก็เป็นอย่างหนึ่ง คือ จะเกิดกุศลได้อย่างไรทั้งๆ ที่ทางตาเห็น จะทำอย่างไร มนสิการอย่างไร จึงจะเป็นกุศล

    แต่ไม่ใช่ให้ใครไปมนสิการ หรือไม่ใช่เพียงใช้ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ ซึ่งตามความจริงเป็นอโยนิโสมนสิการ เพราะเป็นความเข้าใจผิด เป็นความเห็นผิด แม้จะใช้คำว่า โยนิโสอย่างนั้น โยนิโสอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถทำได้ตามใจชอบ

    ขอย้อนกลับไปที่สันตีรณอกุศลวิบาก ซึ่งท่านผู้ฟังก็ได้ทราบกิจของจิตที่เป็นอกุศลวิบากแล้วว่า จักขุวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจเห็นสิ่งที่ไม่ดี โสตวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจได้ยินเสียงที่ไม่ดี ฆานวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจได้กลิ่นที่ไม่ดี ชิวหาวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจลิ้มรสที่ไม่ดี กายวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจกระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี สลับกันไม่ได้ และจิตแต่ละประเภทนี้ทำกิจอื่นไม่ได้เลย ทำกิจได้เฉพาะของตนๆ รู้อารมณ์เฉพาะของตนๆ เช่น โสตวิญญาณ ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่สามารถลิ้มรส หรือกระทบสิ่งที่สัมผัสกายได้ เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากจิตทั้ง ๕ นี้เป็นวิญญาณธาตุ ๕

    สำหรับสัมปฏิจฉันนจิต ไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจ และเป็นมโนธาตุ เพราะสามารถรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๕

    สันตีรณอกุศลวิบากจิต ทำปฏิสนธิกิจ ๑ ทำภวังคกิจ ๑ ทำจุติกิจ ๑ เพราะว่าจิตใดก็ตามที่ทำปฏิสนธิกิจ จิตประเภทเดียวกันนั้นแหละทำภวังคกิจ และจิตประเภทเดียวกันนั้นแหละทำจุติกิจ

    สันตีรณอกุศลวิบาก นอกจากจะทำกิจปฏิสนธิเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือสัตว์ประเภทหนึ่งประเภทใดในอบายภูมิ ทำภวังคกิจ ทำจุติกิจ ยังทำสันตีรณกิจ และทำ ตทาลัมพนะกิจหลังจากชวนจิตดับไปแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ในจิตทั้งหมด ๘๙ อุเบกขาสันตีรณะทำกิจได้ ๕ กิจ

    ผู้ฟัง ผู้ที่พิการมาแต่กำเนิด หรือเป็นผู้ที่มีปัญญาน้อย เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประจำ เพราะว่ากุศลกรรมนั้นมีกำลังน้อย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สำหรับการเกิดในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรม แต่สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์พิการตั้งแต่กำเนิด เป็นผลของกุศลกรรม นี่คือความต่างกัน

    ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ทำให้เกิดในอบายภูมิ ๔ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ไม่ทำให้เกิดในอบายภูมิ แต่ทำให้เกิดในสุคติภูมิ แต่เพราะกุศลนั้นมีกำลังอ่อนมาก จึงทำให้เป็นผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด

    บางท่านอาจจะพิการหลังจากโตแล้ว เช่น บางคนอาจจะตกใจมากทำให้เป็นใบ้ หรืออาจจะได้รับอุบัติเหตุ รับประทานยาต่างๆ ทำให้ร่างกายพิกลพิการไป และไม่ถือในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ แต่ถือกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิว่า กรรมที่ทำให้ปฏิสนธินี้ ทำให้บุคคลนั้นพิการ เมื่อถึงเวลาที่จักขุปสาทจะเกิด ก็ไม่มีจักขุปสาทเกิดขึ้น นั่นจึงจะนับว่าเป็นการพิการตั้งแต่กำเนิด เพราะฉะนั้น การเกิดเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ ต้องเป็นผลของกุศลกรรม แต่เป็นกุศลกรรมอย่างอ่อน เพราะจิตที่ทำกิจปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ไม่ใช่มีประเภทเดียว แต่จำแนกออกไปตามกำลังของกุศลกรรม

    กุศลจิตมี ๘ ดวง หรือ ๘ ประเภท เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากซึ่งเป็น กามาวจรกุศลวิบากหรือมหาวิบาก ๘ ดวงเกิดขึ้น มหาวิบาก ๘ แต่ละดวงทำกิจปฏิสนธิได้ สำหรับผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิดไม่ได้ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากดวงหนึ่งดวงใด ใน ๘ ดวง แต่สันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิ เป็นบุคคลที่ใบ้ บ้า บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด

    ผู้ฟัง ตรงกันข้ามกับบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ที่ตั้งแต่เกิดมาก็ได้รับความสุขความสบายจนกระทั่งตาย มีทั้งทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ บริวารสมบัติ ได้รับแต่อารมณ์ที่ดีอยู่เป็นประจำ ต้องกล่าวว่าบุคคลผู้นั้นได้สะสมกุศลกรรมที่มีกำลังมาก ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ผลของกุศลกรรม จำแนกชีวิตของมนุษย์ในโลกนี้ ให้ต่างกันไป ตามปฏิสนธิจิต

    การเกิดเป็นมนุษย์ มีจิตที่ทำปฏิสนธิกิจ ๙ ดวง ไม่ใช่แต่เฉพาะมหาวิบากจิต ๘ ดวงเท่านั้น แม้สันตีรณกุศลวิบากก็ทำกิจปฏิสนธิได้ เพราะฉะนั้น บุคคลใดเป็นผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นเป็นสันตีรณกุศลวิบาก แต่ถ้าไม่ใช่เป็น ผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด ปฏิสนธิจิตต้องเป็นมหาวิบากดวงหนึ่งดวงใดใน ๘ ดวง

    สำหรับมหาวิบากที่ยอดเยี่ยมที่สุด ต้องเป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ญาณสัมปยุตต์ และอสังขาริก ซึ่งเป็นมหาวิบากดวงที่ ๑

    เพราะฉะนั้น แล้วแต่แต่ละบุคคลจะมีกรรมใดที่ได้กระทำแล้ว สะสมมาเป็นปัจจัยทำให้มหาวิบากจิตดวงหนึ่งดวงใดเกิดขึ้นเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้

    บางคนเกิดมาเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดจริง แต่ในทางโลก ไม่ใช่ในทางธรรม ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นจะเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ คือ มีปัญญา ได้ไหม

    ความเฉลียวฉลาดในทางโลก ต่างกับความเฉลียวฉลาดในทางธรรม ถ้าไม่ได้สะสมปัญญาในทางธรรมที่จะพิจารณาเหตุผลโดยรอบคอบ โดยถี่ถ้วน โดยถูกต้อง อาจจะมีปัญญาฉลาดในทางโลก แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจเหตุผลในทางธรรมได้เลย เพราะไม่ได้สะสมมาที่จะเข้าใจเหตุผลในทางธรรม

    บางท่านศึกษาวิชาทางโลกไม่เก่ง คำนวณไม่ชอบเลย ยาก ยุ่งจริงๆ แต่ท่านสะสมมาในการพิจารณาศึกษาธรรม เพราะฉะนั้น ท่านก็สามารถที่จะเป็น ญาณสัมปยุตต์ คือ มีปัญญา เข้าใจเรื่องของธรรมได้

    ผู้ฟัง ภวังคจิตมี ๑๗ ดวง อตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ ๓ ขณะนี้เกิดซ้อนๆ กัน หลายๆ ครั้ง ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่า ๑๗ ดวงหมายถึงอะไร ที่ว่าภวังคจิตมี ๑๗ ดวงนั้น ถูกต้องหรือเปล่า เรื่องของตัวเลขบางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงมีประโยชน์ คือ ป้องกันความเห็นผิด ความเข้าใจผิด หรือความหลงลืม เพราะถ้าไม่มีตัวเลขกำกับ อาจจะเข้าใจธรรมคลาดเคลื่อน เช่น ปฏิสนธิจิต อาจจะคิดว่าเป็นจิตดวงนั้นทำกิจปฏิสนธิได้ จิตดวงนี้ทำกิจปฏิสนธิได้ แต่ความจริงไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตใดที่ทำกิจปฏิสนธิ จิตประเภทเดียวกันนั้นแหละทำกิจภวังค์ จนกว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นในภพนั้น ในชาตินั้น

    เรื่องของจำนวนเป็นเรื่องที่คิดได้ ถ้าทราบว่า กามาวจรจิตมี ๕๔ และจิตที่ทำกิจปฏิสนธิได้ที่เป็นกามาวจรจิตมี ๑๐ คือ สันตีรณอกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ สันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในมนุษย์หรือเทวดาชั้นต่ำ มหาวิบาก ๘ ทำกิจปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ เวลาที่เกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะมหาวิบากดวงหนึ่งดวงใดใน ๘ ดวงทำกิจปฏิสนธิ เกิดในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใด จะเป็นชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี หรือจาตุมหาราชิกาก็ตามแต่ ก็เป็นมหาวิบากดวงหนึ่งดวงใด เพราะไม่ใช่การเกิดในรูปพรหมภูมิ

    เพราะฉะนั้น สำหรับภูมิที่เป็นกามภูมิทั้งหมดจะมีจิตที่ทำปฏิสนธิกิจ หรือจะเรียกว่า ปฏิสนธิจิต ก็ได้ ๑๐ ดวง แบ่งตามภูมิก่อน จะจำตัวเลขได้ตามเหตุผล

    อีก ๙ ดวงมาจากไหน ที่เป็นปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง

    คือ ปฏิสนธิจิตเป็นรูปพรหมบุคคลในรูปพรหมภูมิ ๕ ดวง ปฏิสนธิจิตเป็น อรูปพรหมบุคคลในอรูปพรหมภูมิ ๔ ดวง ทั้งหมดรวมเป็นปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง แต่ถ้ากล่าวถึงเฉพาะในกามภูมิ มีจิตที่ปฏิสนธิเพียง ๑๐ ดวงเท่านั้น

    ผู้ฟัง อตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ เป็นวิบากใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นวิบาก

    ผู้ฟัง อตีตภวังค์เกิดได้หลายครั้งหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ได้หลายครั้ง

    ผู้ฟัง เพราะอะไร

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังนอนหลับนานไหม หรือหลับชั่วนิดเดียวแล้วตื่น ตามความเป็นจริง เมื่อคืนนี้

    ผู้ฟัง ก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ บางช่วงอาจจะหลับสนิท บางช่วงอาจจะตื่น นี่เป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมทั้งหมด เป็นการที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์แต่ละอารมณ์ซึ่งต่างกัน บางทีตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียง ขณะนั้นอตีตภวังค์เกิดขึ้นครั้งหนึ่งพร้อมกับเสียงที่กระทบกับโสตปสาท และภวังคจลนะเกิดต่อ ดับไปแล้ว ภวังคุปัจเฉทะเกิดต่อ จากนั้น ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดต่อ โสตวิญญาณเกิดต่อ สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อ สันตีรณจิตเกิดต่อ โวฏฐัพพนจิตเกิดต่อ ชวนจิต ๗ ขณะเกิดต่อ ตทาลัมพนจิตเกิดต่อ และอารมณ์ก็ดับ

    อารมณ์ทุกอารมณ์ที่เป็นรูป มีอายุเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น อตีตภวังค์จะมากหรือจะน้อย ย่อมแล้วแต่ว่า เมื่ออารมณ์เกิดและกระทบกับปสาท ภวังคจิตจะไหวเมื่อไร หรืออาจจะไม่เป็นปัจจัยให้ภวังคจิตไหวเลย ก็ได้ และถ้าอารมณ์เกิด กระทบกับภวังค์ แต่กระทบหลายครั้งมากภวังคจลนะจึง จะเกิด เพราะฉะนั้น อารมณ์นั้นจะมีอายุไม่พอสำหรับตทาลัมพนจิตจะเกิดบ้าง หรือว่าชวนจิตจะเกิดบ้าง ทำให้วิถีจิตมีเพียงปัญจทวาราวัชชนะ ปัญจวิญญาณดวงหนึ่ง ดวงใด สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ และโวฏฐัพพนะ เพราะชวนะที่จะเกิดเพียง ๑ ขณะ หรือ ๒ - ๓ ขณะนั้น ตามปกติไม่มี ชวนะที่จะเกิดเพียง ๕ ครั้ง หรือ ๕ ขณะติดต่อกันได้นั้น ต้องเป็นก่อนที่จุติจิตจะเกิดเท่านั้น และชวนะ ๖ ขณะที่จะเกิดติดต่อกันก็ต้องเป็นขณะที่สลบเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว โดยอาเสวนปัจจัย ชวนะต้องเกิดดับสืบต่อกันตามปกติ ๗ ขณะ

    สำหรับการรับอารมณ์ หรือการรู้อารมณ์ของวิญญาณธาตุต่างๆ ก็ต่างกันไป ซึ่งใช้คำว่า วิสยัปปวัตติ

    ที่กล่าวย้ำเรื่องของกามาวจรจิต ๕๔ บ่อยๆ ก็เพื่อให้ไม่ลืมว่า ชีวิตของแต่ละท่านไม่พ้นไปจากจิตที่เป็นกามาวจรจิต แม้แต่ละท่านจะมีกามาวจรจิตไม่ครบ แต่การที่กล่าวถึงจำนวน ก็เพื่อเป็นเครื่องฝึกหัดความคิดในสิ่งที่มีประโยชน์ว่า แม้ว่ากามาวจรจิตจะมีจำนวนซึ่งดูเหมือนจะมากถึง ๕๔ ดวง หรือ ๕๔ ประเภท แต่ถ้าจำแนกเป็นหมวดหมู่ และทราบว่าจิตเหล่านั้นเกิดกับแต่ละท่าน ก็จะไม่ยากแก่ การเข้าใจ เพราะขณะที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และรูป

    เมื่อได้ศึกษาเรื่องลักษณะของจิตแต่ละชนิดให้ละเอียดขึ้น จะทราบว่า ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าสติระลึกว่าในขณะนี้เป็นอาการรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ในขณะที่กำลังเห็นนี้มีจิตอะไรบ้างที่อาศัยเกิดขึ้นเพราะการเห็น ซึ่งทุกคนมีอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพียงเห็นขณะเดียวและหมดไป แต่ยังมีจิตอีกหลายประเภทที่เกิดโดยอาศัยจักขุปสาท ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ซึ่งถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดจะไม่รู้เลยว่า ทันทีที่เห็นอย่างรวดเร็วนี้ อกุศลเกิดแล้ว ตามปกติ

    เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวภัยของการสะสมของอกุศลจริงๆ ว่า ในวันหนึ่งๆ มีมาก แต่เหตุใดจึงไม่รู้ชัดว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและก็ ดับไป ก็เพราะเหตุว่าเครื่องประกอบของปัญญายังไม่พอ

    ทั้งๆ ที่ทราบว่า ขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เป็นนามธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ทำไมจึงไม่ละ ทำไมจึงไม่ประจักษ์ชัดว่า ขณะนี้เป็นเพียงจิต ถ้าใช้คำว่า จิต ดูเหมือนทุกคนเข้าใจแล้วว่า เป็นสภาพที่ไม่ใช่รูปร่างกาย เป็นสภาพของจิตใจ เพราะฉะนั้น ที่กำลังเห็นเป็นจิต รู้แล้ว แต่ ไม่ละ เพราะเหตุว่าความรู้นั้นยังไม่มากพอ

    ด้วยเหตุนี้ กามาวจรจิต ๕๔ ดวง เกิดขึ้นเป็นไปในวันหนึ่งๆ อยู่เรื่อยๆ ถ้าสามารถเข้าใจลักษณะของจิตซึ่งเป็นกามาวจรจิต ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจให้ละเอียดขึ้น ย่อมเป็นการน้อมไปที่จะเห็นจริงๆ ว่า เป็นจิตประเภทหนึ่ง ภูมิหนึ่ง ระดับหนึ่ง ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    แม้แต่ในเรื่องของการฟัง ก็จะต้องน้อมไปที่จะเข้าใจลักษณะของกามาวจรจิตแต่ละประเภทที่เกิดขึ้น ซึ่งท่านผู้ฟังจะยิ่งเห็นความละเอียดของจิตแต่ละประเภทที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และจะเห็นว่า ยากมากที่จะเข้าใจจิตแต่ละประเภทได้โดยตลอด

    แม้แต่เพียงขั้นการฟังที่จะน้อมไปรู้ในลักษณะของจิตยังยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น การที่สติจะระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมและให้ประจักษ์ชัดว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ให้เห็นแจ้งความเกิดขึ้นและดับไปจริงๆ ย่อมต้องยิ่งยากกว่าการที่จะฟังเรื่องของกามาวจรจิต ๕๔ โดยละเอียด

    แต่ให้เห็นประโยชน์ของการฟังเรื่องของกามาวจรจิตแต่ละประเภท เพราะแต่ ละท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ และไม่ใช่ผู้ที่อบรมเจริญฌานสมาบัติ เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นกามาวจรเท่านั้นที่สมควรที่จะฟังให้เข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อเกื้อกูลให้เห็นว่า ลักษณะสภาพนั้นๆ เป็นลักษณะของจิต ซึ่งเกิดขึ้นปรากฏเพียงชั่วขณะและดับไป

    สำหรับเรื่องของกามาวจรจิต โดยจำนวน ๕๔ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ยาก ถ้าจะจำโดยประเภทว่า กามาวจรจิต ๕๔ แบ่งเป็นอกุศลจิต ๑๒ เป็นอเหตุกจิต ๑๘ และเป็นกามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง

    อกุศลจิตเป็นเรื่องที่มีกันอยู่และได้ยินกันบ่อยๆ เพราะฉะนั้น สำหรับอกุศลจิต ๑๒ ก็ไม่มีปัญหา ได้แก่ โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ โมหมูลจิต ๒

    สำหรับอเหตุกจิต ๑๘ เป็นอเหตุกวิบากจิต ๑๕ และเป็นอเหตุกกิริยาจิต ๓

    อเหตุกวิบากจิต ๑๕ เป็นอกุศลวิบากจิต ๗ ซึ่งได้ฟังจนคุ้นหู คือ

    จักขุวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ จิตเห็นสิ่งที่ไม่ดี

    โสตวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ จิตได้ยินเสียงที่ไม่ดี

    ฆานวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ จิตได้กลิ่นที่ไม่ดี

    ชิวหาวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ จิตลิ้มรสที่ไม่ดี

    กายวิญญาณอกุศลวิบาก ๑ จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่ไม่ดี

    เหลืออีก ๒ ซึ่งชื่ออาจจะไม่คุ้นหู คือ สัมปฏิจฉันนจิต ๑ และสันตีรณจิต ๑ แต่ก็ได้กล่าวถึงบ่อยๆ

    เท่าที่ได้ทราบจากท่านที่ยังไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ท่านรู้สึกว่า เป็นเรื่องชื่อ เป็นเรื่องจำนวน เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าง่วง เพราะยังไม่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า การที่จะเป็นพหุสูต คือ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังมากในเรื่องของจิตซึ่งเกิดกับตัวท่านเองแต่ละวัน จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สติระลึกบ่อยขึ้น พร้อมกันนั้น การฟัง การพยายามน้อมไปเข้าใจในลักษณะของจิต จะช่วยให้สามารถระลึกได้ในสภาพที่เป็นแต่เพียงธาตุรู้ อาการรู้ มิฉะนั้นแล้วถ้าปราศจากความเป็นผู้ฟังมาก หรือความเป็นพหุสูต จะอาศัยเพียงสติอย่างเดียวที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม จะระลึกได้ไม่นาน เพราะขณะอื่นซึ่งไม่ใช่ขณะที่สติเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรม จะเป็นการคิดนึกเรื่องอื่น ไม่ใช่เป็นการสนใจที่จะน้อมมาศึกษาเรื่องลักษณะของจิต ซึ่งสามารถเข้าใจละเอียดขึ้นๆ ได้

    ถ้ามีเวลามากขึ้นสำหรับการศึกษา การฟัง การคิด การพิจารณาเรื่องจิต จะทำให้แทนที่จะคิดเรื่องอื่น ก็เป็นการคิดในสิ่งที่จะทำให้เป็นพหุสูต ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์เกื้อกูลต่อการที่เมื่อสติระลึกแล้วก็น้อมรู้ได้จริงๆ ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม

    ท่านที่มีเวลาพอที่จะคิดไตร่ตรองเรื่องของกามาวจรจิตด้วยตัวของท่านเอง จะเห็นได้ว่า มีการคิดถึงแม้จำนวนโดยหลายนัย เช่น กามาวจรจิตมี ๕๔ ประเภท แบ่งเป็นประเภท ๓ ก็ได้ คือ เป็นอกุศลจิต ๑๒ เป็นอเหตุกจิต ๑๘ เป็นกามโสภณะ ๒๔ โดยนัยหนึ่ง

    หรืออีกนัยหนึ่งก็ได้ คือ โดยโสภณะและอโสภณะ ถ้าโดยโสภณะและอโสภณะ อกุศลจิต ๑๒ เป็นจิตที่ไม่ดี อเหตุกจิต ๑๘ ก็เป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดี เพราะฉะนั้น ใน ๕๔ ประเภท แบ่งได้อีกนัยหนึ่ง คือ เป็นอโสภณจิต ๓๐ และเป็นโสภณจิต ๒๔


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 19
    20 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ