จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 038


    มโนวิญญาณว่างเปล่าจากตน หรือจากของๆ ตน มโนสัมผัสว่างเปล่าจากตน หรือจากของๆ ตน สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสมผัสเป็นปัจจัย ก็ว่างเปล่าจากตนหรือจากของๆ ตน

    ดูกรอานนท์ เพราะว่างเปล่าจากตน หรือจากของๆ ตน ฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า

    ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไร แล้วก็ว่างแล้ว โดยที่ไม่รู้อะไรเลย ว่าอะไรว่าง ว่างอย่างไร แต่จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ที่ว่างจากตน หรือว่างจากความเป็นของๆ ตน คือ ของเรา ก็เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละอย่าง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    7514 พอไหมที่เพียงรู้สึกว่าบางวันไม่มีอะไรเป็นของๆ เราเลย

    บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่า บางวันรู้สึกว่า เหมือนกับว่าไม่มีของอะไร ที่เป็นของเราเลย ทำไมถึงไม่รู้สึกอย่างนี้มาก่อน ใช่ไหมคะ แต่ก่อนเคยยึดถือทุกอย่างว่าเป็นของเราและเป็นเรา แต่อยู่ๆ วันหนึ่งฟังธรรมบ่อยๆ มากๆ เข้า ก็เกิดนึกขึ้นมาว่า ไม่เห็นมีอะไรที่จะเป็นของๆ เราสักอย่างเดียว ไม่น่าที่จะหลงยึดถือว่าเป็นของๆ เราเลยสักอย่างเดียว พอไหมคะอย่างนั้นน่ะ ไม่มีทางที่จะดับกิเลสเลย แต่ถ้าไม่รู้ก็คิดว่า คงได้ปัญญามากแล้ว ใกล้ต่อความที่จะได้เป็นพระอริยบุคคล เพราะว่าแต่ก่อนนี้ไม่เคยนึกอย่างนี้ ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ไม่เคยแม้จะเกิดความรู้สึกว่า ไม่น่าจะยึดถือสิ่งที่มีอยู่ว่า เป็นของเราเลย ดูเหมือนเป็นความอัศจรรย์ที่จะเกิดคิดอย่างนั้นขึ้น

    แต่ให้ทราบว่า นั่นไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลส เพราะเหตุว่าลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นนามธรรมอย่างไร เมื่อยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใกล้อรรถ คือ ลักษณะที่แท้จริงของสภาพที่เป็นเพียงสภาพรู้ ธาตุรู้ ก็ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดดับ ความไม่เที่ยงของสภาพนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับ ซึ่งเป็นโลก เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไร อย่าหลงคิดว่า นั่นเป็นปัญญา ซึ่งสามารถที่จะละกิเลส เพราะเหตุว่าถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่พิจารณาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความต่างกันของรูปธรรมและนามธรรมจริงๆ และถ้าลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมยังไม่ปรากฏทางมโนทวารทีละลักษณะ ซึ่งเป็นการประจักษ์แจ้งชัดเจน ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นเพียงโลกซึ่งว่างเปล่า สูญจากการที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตน หรือว่าเป็นสัตว์ บุคคล

    7515 เห็นความเกิดขึ้น สืบต่อของสังขารทั้งสิ้นตามความเป็นจริง ภัยย่อมไม่มี

    ตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร คามณิ เมื่อบุคคลเห็นซึ่งความเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งสิ้น ซึ่งความสืบต่อแห่งสังขารทั้งสิ้นตามความเป็นจริง ภัยนั้นย่อมไม่มี เมื่อใดบุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกเสมอหญ้าและไม้ด้วยปัญญา เมื่อนั้นบุคคลนั้นย่อมไม่พึงปรารถนาภพ หรืออัตภาพอะไรๆ อื่น เว้นไว้แต่นิพพาน อันไม่มีปฏิสนธิ

    นี่เป็นข้อความในขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ภาค ๒ โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส ข้อ ๕๐๕

    7516 พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลก โดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้

    สำหรับข้อความที่ผู้ใดจะพิจารณาเห็นโลกเสมอด้วยหญ้าและไม้ด้วยปัญญาจริงๆ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้ใด ที่มีอยู่ในเชตวันวิหารนี้ ชนพึงนำหญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้นั้นไปเสีย เผาเสีย หรือพึงทำตามควรแก่เหตุ. ท่านทั้งหลายพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ชนนำเราทั้งหลายไปเสีย เผาเสีย หรือทำตามควรแก่เหตุบ้างหรือหนอ

    ภิกษุกราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

    นั่นเป็นเพราะอะไร นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตน หรือสิ่งที่เนื่องกับตนของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย. สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.

    บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.

    เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้สึกว่า “รูป” ที่เคยเป็นของท่าน “เวทนา” ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งเคยเป็นของท่าน หรือเคยยึดถือว่าเป็นของท่าน “สัญญา” ความจำต่างๆ ว่าเป็นเรา ชื่อนี้อยู่ในโลกนี้ มีกิจหน้าที่อย่างนี้ “สังขารขันธ์ทั้งหลาย” ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมทั้งหลาย ถ้ายังไม่รู้สึกว่า เสมอกับหญ้าและไม้และกิ่งไม้และใบไม้ ตราบนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นของตน หรือว่าเป็นตัวตนได้

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ไม่ใช่รู้ขณะอื่น กำลังเห็นอย่างนี้ เป็นเพียงธาตุรู้ สภาพรู้ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป เหมือนกันไหมคะ กับเห็นขณะอื่นๆ ของบุคคลอื่นๆ ของขันธ์อื่นๆ เหมือนกันไหมคะ เสมอกันไหม ไม่ว่าจะเป็นการเห็นก็ดี การได้ยินก็ดี การได้กลิ่นก็ดี การลิ้มรสก็ดี สุขเวทนา ไม่ว่าจะเป็นของใคร ทุกขเวทนา ไม่ว่าจะเป็นของใคร โลภะ ไม่ว่าจะเป็นของใคร

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนี้จริงๆ ก็ยังไม่ใกล้ หรือยังไม่พร้อมแก่การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ไม่ว่าวันไหนจะเกิดปลงขึ้นมาว่า ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรจะยึดถือเป็นของเรา แต่ว่าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ ที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้

    7517 ตราบใดที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ชื่อว่ารู้จักโลกแม้จะอยู่ในโลกนี้มานาน

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แล้วพิจารณาพร้อมกับการอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะไม่ชื่อว่า รู้จักโลก แม้ว่าจะได้อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนกี่ปีสำหรับชาตินี้ และในอดีตชาติก่อนๆ ก็ไม่ได้รู้จักโลกค่ะ ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม และไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นไปจากโลก เพราะเหตุว่าเมื่อไม่รู้จักโลก จะพ้นไปจากโลกได้อย่างไร

    ไม่ว่าจะสุขสักเท่าไร ก็ไม่ได้สุขตลอดกาล เพราะเหตุว่าแท้ที่จริงแล้ว ความรู้สึกเป็นสุขก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะระยะที่สั้น เล็กน้อยมาก คือ ชั่วขณะจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ซึ่งถ้าไม่ศึกษาสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะไม่รู้แม้แต่ว่าอะไรปรากฏบนโลก อย่างเสียง เป็นต้น หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกคนไม่สงสัย เพราะว่าได้ยินเสียง แต่ว่าถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ ซึ่งกำลังได้ยินหรือรู้เสียง เสียงจะปรากฏไหม เพราะฉะนั้นอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้รู้ในลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ได้ เพราะถ้าไม่มีอารมณ์ต่างๆ ปรากฏ จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้กำลังเกิดดับนี้ ใครสามารถจะรู้ได้ในลักษณะของจิต ถ้าไม่เห็นเลย ไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ได้กลิ่นเลย ไม่ได้ลิ้มรสเลย ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเลย ไม่คิดนึกเลย จะรู้ไหมคะว่า มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังเกิดดับ ก็ไม่รู้ แต่เวลาที่มีการเห็น มีการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพของธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป สืบต่ออย่างรวดเร็ว จึงยึดถืออาการสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสัตว์บ้าง เป็นบุคคลต่างๆ บ้าง เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ บ้าง

    ตราบใดที่ยังเข้าใจว่า โลกเป็นอย่างนี้ ไม่ชื่อว่า รู้จักโลกตามความเป็นจริง แม้ว่าจะได้ศึกษาเรื่องของโลกโดยวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะโดยภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ถึงหลายล้านปีมาแล้วก็ตาม หรือว่าโดยวิชาวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ชื่อว่า รู้จักโลกโดยความเป็นจริง และวิชาการทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำให้พ้นจากโลกได้ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่รู้จักโลก ก็ย่อมพ้นจากโลกไม่ได้ แล้วโลกนี้วันหนึ่งๆ มีสาระอะไรบ้าง สุขเวทนาเกิดขึ้น แล้วก็หมดไปแล้ว จะให้สุขเวทนานั้นกลับคืนมาอีกก็ไม่ได้ หรือว่าท่านผู้ใดจะมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสในโลกนี้ อยากจะพ้นจากโลกนี้สักเท่าไร ก็พ้นไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง

    แต่ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท่านผู้ฟังพร้อมหรือยังคะที่จะไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แม้แต่ตัวท่านในขณะนี้ก็ไม่มี พร้อมไหมคะที่จะละทิ้งโลก เพราะต้องไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เสียก่อน จึงจะดับโลก หรือว่าพ้นโลกได้ เพียงแต่คิดก็ไม่ไหวแล้ว ใช่ไหมคะ ที่ไม่มีตัวที่กำลังนั่ง แล้วก็ได้ยิน แล้วก็มีวงศาคณาญาติ มีมิตรสหาย มีวัตถุต่างๆ ซึ่งเป็นที่พอใจ ยังไม่ต้องให้พ้นโลก หรือว่าให้หมดวัตถุสิ่งต่างๆ เพียงแต่สักอย่างสองอย่าง ซึ่งคิดจะสละให้บุคคลอื่น ลองคิดดูว่า จะสละได้ไหม ทุกอย่างที่เป็นของๆ ท่าน แล้วก็ยังไม่ได้ต้องละจากโลกนี้ไป ยังไม่ต้องพ้นจากโลก เพียงแต่คิดจะให้คนอื่น ก็ยังยากที่จะสละให้ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะไม่ให้มีตัวตนเลย ต้องเข้าถึงอรรถอันนี้ว่า การที่รู้จักโลกตามความเป็นจริง คือ มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็ดับไปแต่ละอย่าง ทีละอย่างที่ปรากฏ จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆ เลย พร้อมที่จะรับความจริง รู้ความจริงอย่างนี้ หรือว่ายังไม่พร้อม ยังทนไม่ไหว ทนไม่ได้ ที่จะเป็นอย่างนั้น ยังต้องเป็นเรา เป็นตัวตนอยู่

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักโลกตามความเป็นจริง จึงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะเหตุว่าผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องโลกตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ แล้วผู้ที่ฟังนี้ก็จะพิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติอบรมเจริญปัญญา จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น จึงจะรู้ลักษณะของโลกได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่รู้โลกในขณะอื่นเลย ขณะกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึกในขณะนี้ แล้วมีหนทางที่จะทำให้รู้โลกที่กำลังเกิดดับในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือการที่จะน้อมไปพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเหล่านี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโลก ถ้าวิธีอื่นแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักโลกได้

    7518 สมิทธิสูตรที่ ๔ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรจึงเป็นโลกหรือบัญญัติว่าโลก

    ข้อความในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมิทธิสูตรที่ ๔ ข้อ ๗๕ ท่านพระสมิทธิ ทูลถามว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า โลก โลก ดังนี้ ด้วย เหตุเพียงเท่าไรจึงเป็นโลก หรือบัญญัติว่าโลก

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรสมิทธิ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด โลกหรือการบัญญัติว่าโลกก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯลฯ

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักโลก ก็เพราะเหตุว่ามีตา จึงเห็นโลก มีหู จึงได้ยินเสียงโลก มีจมูก จึงได้กลิ่นโลก มีลิ้น จึงได้รู้รสโลก มีกาย จึงรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ซึ่งกระทบสัมผัสโลก ถ้าไม่มีทางเหล่านี้เลย โลกจะปรากฏได้ไหม ไม่มีการเห็นทางตา ไม่มีการได้ยินเสียงทางหู ไม่มีการได้กลิ่นทางจมูก ไม่มีการลิ้มรสทางลิ้น ไม่มีการรู้โผฏฐัพพะทางกาย โลกไหนจะปรากฏ โลกนี้ย่อมไม่ปรากฏ หรือว่าโลกไหนๆ ก็ย่อมไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นที่โลก ที่ยึดถือว่าเป็นโลกกำลังปรากฏ เพราะเห็น เห็นอะไร เห็นโลก สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นโลก ได้ยินเสียง เสียงอะไร เสียงโลกอีกเหมือนกัน ถ้าไม่มีเสียงเลย ไม่มีได้ยินเลย โลกเสียงก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นโลกซึ่งประกอบด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ปรากฏได้ เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแสวงหาโลกที่อื่น ไม่ว่าจะอยู่โลกไหนทั้งนั้น ที่โลกจะปรากฏ ก็เพราะตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และใจคิดนึกเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    7519 จักษุ-รูป-จักษุวิญญาณ-ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ดูกรสมิทธิ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด โลกหรือการบัญญัติว่าโลกก็ไม่มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ ไม่มีอยู่ ณ ที่ใด โลกหรือการบัญญัติว่าโลกก็ไม่มี ณ ที่นั้น ฯ

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง อยากจะพ้นจากโลก ก็พ้นไม่ได้ แล้วก็อยู่ในโลก อย่างไม่รู้จักโลก อยู่มานานไม่เฉพาะในชาตินี้ ในอดีตอนันตชาติก็ได้อยู่ในโลก แล้วก็จะอยู่ต่อไปอีกนาน ต้องอยู่ต่อไปอีกนาน ถ้ายังไม่รู้จักโลก

    เพราะฉะนั้นก็ทั้งอยู่ในโลก ด้วยความไม่รู้จักโลก และไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง วนเวียนไป สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นยังไงคะ ยังไม่พ้นจากโลก มีใครอยากจะพ้นหรือยังคะ ยัง แน่นอนค่ะ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้จักโลก ต่อเมื่อใดรู้จักโลกแล้ว ก็รู้จักหนทางที่จะพ้นจากโลกได้

    7520 พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วแต่ก็ยังมีตัวตนอยู่หรือไม่ - ผัคคุนสูตร

    มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะในตอนนี้

    บางท่านกล่าวว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว แต่ก็ยังมีตัวตนอยู่ เคยได้ยินบ้างไหมคะ อย่างนี้ ไปเฝ้า หรือว่าทำทานแล้ว มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในการถวายทานในครั้งนั้นๆ

    ขอกล่าวถึงข้อความใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรค ผัคคุณสูตร ข้อ ๙๙ เพื่อเป็นคำตอบที่ท่านผู้ฟังจะได้พิจารณาว่า เป็นข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎก

    ครั้งนั้นแล ท่านพระผัคคุณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเมื่อจะบัญญัติ พึงบัญญัติพระพุทธเจ้า ผู้ตัดตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้าแล้ว ตัดทางได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ด้วยจักษุใด จักษุนั้นมีอยู่หรือหนอ ฯลฯ ... หู จมูก ลิ้น กาย

    บุคคลเมื่อจะบัญญัติ พึงบัญญัติพระพุทธเจ้า ผู้ตัดตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้าแล้ว ตัดทางได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ด้วยใจใด ใจนั้นมีอยู่หรือหนอ พระพุทธเจ้าข้า ฯ

    คือถามว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จะยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่อีกหรือเปล่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรผัคคุณะ บุคคลเมื่อจะบัญญัติ พึงบัญญัติพระพุทธเจ้า ผู้ตัดตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้าแล้ว ตัดทางได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ด้วยจักษุใด จักษุนั้นไม่มีเลย ฯลฯ บุคคลเมื่อจะบัญญัติ พึงบัญญัติพระพุทธเจ้า ผู้ตัดตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้าแล้ว ตัดทางได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ด้วยใจใด ใจนั้นไม่มีเลย ฯ

    ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย หลังจากที่ปรินิพพานแล้ว ไม่มีอีกเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่า ความหมายของปรินิพพาน คือ ไปสู่สถานที่หนึ่งที่ใด แล้วก็มาเป็นประมุขของการรับทาน เมื่อมีบุคคลถวายทาน มิฉะนั้นก็จะไม่พ้นจากโลก ถ้ายังมีการเห็น ยังมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ก็ยังต้องมีทุกข์ เพราะมีการเกิดขึ้นและดับไป ยังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ และถ้าไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่จะดับกิเลส ไม่ใช่ทำอย่างอื่น หรือไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย ต้องเป็นปกติในขณะนี้ สภาพธรรมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วสติสามารถที่จะเกิดระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม

    7521 อกาลิโก - อกาลิกธรรม

    ท่านผู้ฟังจะได้ยินคำว่า อกาลิโก หรืออกาลิกธรรมบ่อยๆ นะคะ ซึ่งหมายความถึงโลกุตรมรรคจิต เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้โลกุตรวิบากจิต คือ ผลจิตเกิดสืบต่อทันที โดยไม่มีระหว่างคั่น นั่นเป็นผลขั้นปลาย ขณะที่โลกุตรกุศลเกิดแล้วดับไป แล้วโลกุตรวิบากเกิดสืบต่อทันที

    แต่ว่าในขณะนี้ซึ่งโลกุตตรจิต โสตาปัตติมรรคจิต โสตาปัตติผลจิต สกทาคามีมรรคจิต สกทามีผลจิต อนาคามิมรรคจิต อนาคามิผลจิต หรืออรหัตตมรรคจิต อรหัตผลจิต ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น “อกาลิกธรรม” คือ ในขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วสติสามารถที่จะระลึก ปัญญาสามารถที่จะพิจารณาศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง จึงจะชื่อว่า ไม่ต้องอาศัยกาลเวลา คือ ไม่ต้องเลือกว่า จะต้องเป็นตอนเช้า หรือตอนสาย หรือตอนบ่าย หรือตอนค่ำ

    7522 อุปวานสูตร ข้อ ๗๘ ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง

    ข้อความในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค อุปวาณสูตร ข้อ ๗๘ มีข้อความว่า

    ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่ตรัสว่า ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร พระธรรมจึงชื่อว่า อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน พระเจ้าข้า ฯ

    ขณะนี้สภาพธรรมที่เกิดปรากฏกับตัวท่าน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรอุปวาณะ ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุ แล้วเป็นผู้เสวยรูป เสวยความกำหนัดในรูป และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในรูปอันมีอยู่ในภายในว่า เรายังมีความกำหนัดในรูปในภายใน อาการที่ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุ แล้วเป็นผู้เสวยรูป เสวยความกำหนัดในรูป และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในรูป อันมีอยู่ในภายในว่า เรายังมีความกำหนัดในรูปในภายใน อย่างนี้แล เป็นธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกมาให้ดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ฯ

    ไม่รู้ธรรมอย่างนี้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ได้ เพราะสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    7523 ใจของปุถุชนย่อมหวั่นไหวด้วยความกำหนัดเป็นไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ

    ทุกท่านที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่ใช่พระอนาคามี มีการเห็นรูป และถ้าเป็นรูปซึ่งเป็นอิฏฐารมณ์ คือ เป็นรูปที่น่ายินดี น่าพอใจ โสมนัสเวทนาเกิด เพราะเห็นรูปที่พอใจ เป็นชีวิตจริงๆ หรือเปล่า ธรรมนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง ความพอใจในขณะที่เห็นรูปทางตาในวันหนึ่งๆ ยังมีไหม ถ้ามี ก็เป็นจริงค่ะ ที่สติจะต้องระลึกรู้ว่า ความรู้สึกยินดีพอใจ หรือความรู้สึกโสมนัสนั้นเกิดขึ้นเพราะเห็นรูปที่น่าพอใจทางตา เกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุปัจจัย จะพยายามไปเปลี่ยนให้เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ได้ไหมคะ คิดเอาเฉยๆ ย่อมไม่ได้ เพราะเหตุว่าแม้เวทนา คือ สภาพที่รู้สึกในอารมณ์ที่ปรากฏ ก็ยังเป็นอนัตตา คือ ฝืนหรือบังคับไม่ได้ แม้พระอรหันต์เอง อารมณ์ที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่เป็นอิฏฐารมณ์กระทบ แม้จิตของพระอรหันต์ ก็เป็นสุขเวทนา เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น

    ถ้าอารมณ์ที่กระทบทางกาย เป็นอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ แม้จิตของพระอรหันต์ก็เกิดร่วมกับทุกขเวทนาในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้นสำหรับปุถุชนก็ย่อมเป็นไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ เพราะเหตุว่ายังมีอกุศลมากเหลือเกิน ที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ พร้อมที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ แต่แสดงให้เห็นว่า แม้ความรู้สึกที่เคยยึดถือว่า เป็นเรารู้สึก แท้ที่จริงแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามอารมณ์ที่กระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไม่รู้สภาพธรรมในขณะนั้น ตามความเป็นจริง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 18
    16 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ