ใจของปุถุชนย่อมหวั่นไหวด้วยความกำหนัดเป็นไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ


    ทุกท่านที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่ใช่พระอนาคามี มีการเห็นรูป  และถ้าเป็นรูปซึ่งเป็นอิฏฐารมณ์ คือ เป็นรูปที่น่ายินดี น่าพอใจ โสมนัสเวทนาเกิด เพราะเห็นรูปที่พอใจ เป็นชีวิตจริงๆหรือเปล่า ธรรมนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง ความพอใจในขณะที่เห็นรูปทางตาในวันหนึ่งๆ ยังมีไหม ถ้ามี ก็เป็นจริงค่ะ ที่สติจะต้องระลึกรู้ว่า ความรู้สึกยินดีพอใจ หรือความรู้สึกโสมนัสนั้นเกิดขึ้นเพราะเห็นรูปที่น่าพอใจทางตา เกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุปัจจัย จะพยายามไปเปลี่ยนให้เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ได้ไหมคะ คิดเอาเฉยๆ ย่อมไม่ได้ เพราะเหตุว่าแม้เวทนา คือ สภาพที่รู้สึกในอารมณ์ที่ปรากฏ ก็ยังเป็นอนัตตา คือ ฝืนหรือบังคับไม่ได้ แม้พระอรหันต์เอง อารมณ์ที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่เป็นอิฏฐารมณ์กระทบ แม้จิตของพระอรหันต์ ก็เป็นสุขเวทนา เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น

    ถ้าอารมณ์ที่กระทบทางกาย เป็นอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ แม้จิตของพระอรหันต์ก็เกิดร่วมกับทุกขเวทนาในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้นสำหรับปุถุชนก็ย่อมเป็นไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ เพราะเหตุว่ายังมีอกุศลมากเหลือเกิน ที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ พร้อมที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ แต่แสดงให้เห็นว่า แม้ความรู้สึกที่เคยยึดถือว่า เป็นเรารู้สึก แท้ที่จริงแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามอารมณ์ที่กระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไม่รู้สภาพธรรมในขณะนั้น ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นธรรมที่ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

    ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้วเป็นผู้เสวยรูป เสวยความกำหนัดในรูป และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในรูปอันมีอยู่ในภายในว่า เรายังมีความกำหนัดในรูปในภายใน อาการที่ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้วเป็นผู้เสวยรูป เสวยความกำหนัดในรูป และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในรูป อันมีอยู่ในภายในว่า เรายังมีความกำหนัดในรูปในภายใน อย่างนี้แล  เป็นธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ฯ...ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เวลาที่กระทบกับอิฏฐารมณ์แล้วมีความยินดี พอใจในอารมณ์ที่ปรากฏ


    หมายเลข 7523
    21 ส.ค. 2558