จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 018


    นี่เป็นความรวดเร็วของวิถีจิต ซึ่งผู้ที่จะดับกิเลสได้ ต้องรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า แม้แต่ชั่วขณะวาระหนึ่งของวิถีจิตที่เห็น มีวิบากจิตซึ่งเป็นผลของอดีตกรรมในอดีตเนิ่นนานมาแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นผลของกรรมในชาตินี้ หรือว่าเป็นผลของกรรมในชาติก่อน หรือว่าเป็นผลของกรรมในชาติโน้นๆ แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเหตุว่าเป็นอจินไตย ถ้าคิดแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตรงกันข้าม สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ศึกษารู้ในลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แล้วละการยึดถือว่าสภาพธรรมนั้นเป็นเรา หรือเป็นของเรา ก็เป็นประโยชน์แก่การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปปาท ชั่วในขณะที่วิถีจิตเกิดขึ้นวาระหนึ่ง วาระหนึ่งทางตา ขณะที่เห็น รู้ลักษณะที่ต่างกันของวิถีจิต และกุศลจิต หรืออกุศลจิต ซึ่งเกิดต่อ

    ทางหูก็เช่นเดียวกัน พร้อมกันนั้นก็รู้ว่า ไม่มีสมบัติ ไม่มีเรา ไม่มีของเรา เพราะเหตุว่าทุกสิ่งปรากฏ เวลาที่กระทบกับทวารแล้ว ก็ดับไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย

    7085 พิสูจน์อจิณไตยจากกำลังเห็นขณะนี้ รู้ไหมว่าเป็นผลของกรรมอะไร

    ท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยไหมคะ เชิญค่ะ

    ถาม เรื่องกรรมและผลของกรรมนี้ ในสูตรนี้พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงว่า ไม่ควรคิด แต่บางครั้งพระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงไว้ว่า การกระทำอันใดเป็นผลให้เกิดอะไร เช่น การฆ่าสัตว์จะทำให้ชีวิตสั้น อย่างนี้เป็นต้น พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงไว้ แล้วก็ไม่ยอมให้คิด หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มิได้ค่ะ หมายความว่า การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นวิบาก คือ สภาพธรรมที่เป็นจิตและเจตสิก ในขณะที่เกิดขึ้นเห็น ในขณะนั้นที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็คือรู้ลักษณะที่เป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นธาตุรู้ อาการรู้ และในขณะนั้นจะรู้ไหมคะว่า เป็นผลของกรรมอะไร พิสูจน์ได้จากขณะนี้ค่ะ กำลังเห็น เป็นผลของกรรมอะไร

    7086 ไม่ใช่ไม่ยอมให้คิด รู้เรื่องได้ตามที่ทรงแสดงไว้ แต่ควรรู้ลักษณะของวิบาก

    ผู้ฟัง อ้ายนี่มันก็ละเอียดเข้าไป ทีนี้ถ้าพูดถึงสิ่งใหญ่ๆ เช่น ในพระสูตรหนึ่ง ที่สุภมาณพ ลูกของโตเทยยพราหมณ์ ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลทั้งหลายที่ปรากฏในโลกนี้ ทั้งหมดถาม ๗ คู่ มีอายุสั้น อายุยืน มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณงาม ร่ำรวย ยากจน สูงศักดิ์ ต่ำศักดิ์ เกิดในตระกูลสูง เกิดในสกุลต่ำ มีปัญญา ปัญญาทราม อย่างนี้ที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ เพราะเหตุอะไร

    พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมจำแนกไปตามกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สุภมาณพบอกว่า ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ขอให้ทรงจำแนกโดยพิสดาร พระพุทธองค์ก็เลยทรงแสดงว่า

    ผู้ที่มีอายุสั้น มักจะไปฆ่าสัตว์บ่อยๆ แล้วเกิดมาอีกชาติหนึ่ง ก็จะมีอายุสั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ หรือวิรัติไม่ฆ่าสัตว์ โอกาสที่จะมาเกิดในชาติใหม่นี้ ก็มีอายุยืน

    ผู้ที่มีความมักโกรธ คือ คนขี้โกรธนั่นเอง ก็จะมีผิวพรรณทราม ผู้ที่ไม่มักโกรธ ก็จะมีผิวพรรณงาม

    คนที่อิจฉาริษยา เกิดมาก็จะไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ ไม่สูงศักดิ์ คนที่อิจฉาลาภของสมณพราหมณ์ ก็จะต่ำศักดิ์ คนที่ไม่อิจฉาริษยาลาภของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ก็จะสูงศักดิ์

    คนที่มีการกราบไหว้ผู้ใหญ่ หรือกราบไหว้ลุกรับผู้ที่ควรกราบไหว้ ก็จะเกิดในตระกูลสูง คนที่ไม่กราบไหว้ต่อผู้ที่ควรกราบไหว้ ก็จะอยู่ในตระกูลต่ำ ผู้ที่สอบถามธรรมกับบัณฑิตทั้งหลาย ก็จะมีปัญญา ผู้ที่ไม่สอบถาม ก็จะทรามปัญญา อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงอย่างนี้ เรื่องของกรรม ผลของกรรม อดีตกรรม ก็แสดงไว้ชัด แต่ทีนี้ไม่ยอมให้คิด มันเรื่องอะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่ยอมให้คิดค่ะ แต่เวลาที่บุคคลใดก็ตาม อายุสั้น รู้ได้ตามที่ทรงแสดงว่า เป็นผลของการเบียดเบียนหรือว่าการฆ่าสัตว์ซึ่งเป็นอดีตกรรม ไม่ใช่หมายความว่า ไม่ให้คิด ความคิดย่อมเกิดขึ้นเสมอ แต่การที่จะรู้ลักษณะของวิบาก ในขณะที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏ โดยรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นวิบาก ไม่ใช่รู้เรื่องของวิบาก แต่เป็นการรู้ลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นวีตราคจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของอดีตกรรม ต้องในขณะที่เกิดขึ้นทางหนึ่งทางใด ใน ๕ ทวาร

    คือ ทางตา เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลังจากนั้นจะคิดว่า เห็นอะไรก็แล้วแต่ แต่การที่กำลังคิด ไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น เพื่อที่จะรู้ลักษณะของวิบาก เวลาที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น และสติระลึกรู้ลักษณะสภาพซึ่งเป็นทุกข์ทางกายในขณะนั้น ที่จะรู้ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นวิบาก เป็นผลของอดีตกรรม ไม่ใช่ในขณะที่คิดถึงเรื่องอดีตกรรม แต่ในขณะที่สติระลึกตรงลักษณะที่เป็นทุกขเวทนาที่ปรากฏที่กาย จึงจะรู้ว่า ขณะนั้นที่กล่าวว่าวิบาก คือ ขณะที่กำลังรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย

    และขณะที่ได้ฟังเรื่องของวิบาก ไม่ใช่ในขณะที่สติกำลังระลึกรู้ลักษณะของวิบาก ขณะที่กำลังฟังเรื่องของผลของปาณาติบาต ขณะนั้นรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือเปล่า รู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏทางหู รู้สภาพที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนั้นหรือเปล่าว่า ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ที่กำลังได้ยินเสียงนั้น เป็นผลของอดีตกรรมอะไร เพราะเหตุว่าอดีตกรรมในอดีต เป็นปัจจัยให้เกิดการได้ยินเสียงนั้น ส่วนการที่จะรู้เรื่องผลของปาณาติบาต นั่นไม่ใช่ในขณะที่ได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้นการรับผลของกรรมนี้ จะต้องรู้ละเอียดว่า วิบากจิตเกิดขึ้นเป็นผลของอดีตกรรมในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่กระทบสัมผัส ส่วนในขณะที่กำลังฟัง คิดเรื่องของผลของกรรมต่างๆ ขณะนั้นไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน

    เรื่องธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสได้ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมเจริญปัญญา และพิจารณาอย่างละเอียดด้วย

    7087 กรรมตอบสนองทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

    ท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยอะไรไหมคะ เชิญค่ะ

    ถาม เรื่องของวิบากนี้ รู้สึกว่าจะเข้าใจยากเหลือเกิน แต่ท่านอื่นจะเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่ผมยังแยกไม่ออก อย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่า ในขณะที่ได้เห็น ได้ฟัง รู้รสนี้ ก็เป็นวิบากแล้ว แต่ว่าเป็นวิบากของกรรมในอดีต อันนี้ก็หมายถึงว่า เป็นผลที่ให้สัตว์นั้นๆ กลับมาเกิด เพื่อจะได้มีวิบากเหล่านี้ ใช่ไหม เพราะไม่อย่างนั้น มันก็จะไม่ทำให้มองไม่ออกว่า ได้ยินเฉยๆ นี้เป็นวิบากอย่างไร ใช่ไหม ก็ยังไม่ทราบเลยว่า เป็นวิบากอย่างไร ถ้าคนทำกรรมไว้แล้ว กรรมนั้นต้องตอบสนอง อันนี้เห็นชัด

    ท่านอาจารย์ ตอบสนองทางไหน ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย จะตอบสนองทางไหน

    ผู้ฟัง ก็ต้องตอบสนองทางใจ

    ท่านอาจารย์ มิได้ค่ะ ทางใจเป็นสภาพที่คิดนึก เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต อย่าลืมนะคะ การเรียนเรื่องวิถีจิต ซึ่งรู้อารมณ์ทางใจแต่ละวาระ เฉพาะทางมโนทวารวิถีล้วนๆ มีวิถีจิตเพียง ๓ วิถี คือ มโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นกิริยาจิต นึกถึงเรื่องนั้น เกิดก่อนกุศลจิตและอกุศลจิต กุศลจิตและอกุศลจิตจะเกิดทันทีไม่ได้ ต้องมีกิริยาจิตเกิดก่อนเสมอไปทุกครั้ง รำพึงถึงเรื่องนั้นทางใจ หรือว่าถ้าเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กุศลและอกุศลจะเกิดทันทีก็ไม่ได้ ต้องมีโวฏฐัพพนจิต คือ จิตที่ตัดสินให้วิถีจิตต่อไปเป็นกุศลหรืออกุศลเกิดขึ้น เมื่อดับไปแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตจึงเกิดได้ แต่หลักที่จะจำก็คือว่า กุศลจิตและอกุศลจิตเกิดทันทีไม่ได้ ต้องมีกิริยาจิตเกิดก่อน

    เพราะฉะนั้นทางมโนทวารวิถี ขณะที่จะคิดนึกเรื่องใดๆ ก็ตาม ดูเหมือนว่าคิดนึกทันที แต่เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นมโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวารเกิดก่อน รำพึง คือ นึกถึงเรื่องนั้น แล้วดับไป แล้วกุศลจิตหรืออกุศลจิตจึงคิดเป็นไปในเรื่องนั้นได้ ซึ่งไม่ใช่วิบาก ทางมโนทวารมีวิบากจิต ซึ่งเกิดต่อจากชวนวิถี แต่ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญอะไรเลย เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงวิบากจิต ๒ ขณะ ที่เกิดต่อจากชวนวิถีเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นการรับผลของกรรมที่ทุกคนปรารถนาจะได้รับผลของกุศลกรรม ทางตา ต้องการเห็นสิ่งที่ดี ทางหู ต้องการได้ยินเสียงที่ดี ทางจมูก ต้องการได้กลิ่นที่ดี ทางลิ้น ต้องการลิ้มรสที่ดี ทางกาย ต้องการกระทบสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่ดี

    ลองพิจารณาดูว่า ทุกท่านต้องการอย่างนี้หรือเปล่า ทุกท่านต้องการเพียงเท่านี้หรือเปล่า คงจะไม่ต้องการเกินกว่านี้ ใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่าแค่นี้ก็เหลือจะมากแล้ว คือ ต้องการจะเห็นอะไรก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สวยๆ งามๆ ไม่จบ เมื่อเห็นสิ่งนี้แล้ว ก็ยังอยากเห็นสิ่งอื่นต่อไปทันที ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นสิ่งที่ต้องการผลของกรรมที่ดี

    7088 วิบากมีแต่ในผู้นับถือพระพุทธศาสนาหรือไม่

    ผู้ฟัง พูดถึงเรื่องวิบาก เลยทำให้ต้องคิดกว้างขวางมากไปหน่อย เพราะถ้าเราพูดในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ทีนี้ถ้าพูดถึงว่า ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการที่ปฏิบัติตรงกับหลักศาสนาพุทธน้อยมาก แต่บุคคลเหล่านั้นก็ยังสามารถที่จะมีวิบาก เสวยความสุขอยู่ในโลกนี้ได้ ลักษณะนี้ใช่ไหม ที่ทำให้พระพุทธเจ้าท่านห้าม ไม่ต้องให้คิดว่า เขาทำกรรมอะไร เขาถึงความสุข เพราะถ้าหากว่า ถ้าเราจะพูดตามหลักศาสนาพุทธแล้ว ก็หมายความว่า บุคคลเหล่านั้นน่าจะต้องเคยเกิดเป็นผู้ที่นับถือพุทธศาสนาในอดีตชาติมาก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้วผลนี้ก็ไม่น่าจะมี ที่อยากจะพูดนี่ ก็อยากจะวิเคราะห์ในฐานะที่นับถือศาสนาด้วยกัน คริสต์ก็ดี ศาสนาอิสลามก็ดี ก็ยังค่อยยังชั่ว เพราะว่าเขาก็ยังมีโอกาสที่จะได้ทำความดีบ้าง แต่ผู้ที่ตรงกันข้ามกับศาสนาเลย เช่นผู้ที่นับถือลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างนี้ รู้สึกว่าการมองหาวิบากไม่ค่อยพบเลย เพราะบุคคลเหล่านี้สามารถจะมาครองความสุขอยู่ได้อย่างผู้บริหารของเขา อย่างนี้ก็เลยทำให้คิดไปคิดมา วิบากนี้มีเฉพาะในเรื่องของผู้ที่นับถือศาสนาหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตาก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี เป็นศาสนาอะไรคะ ตา เป็นศาสนาอะไร เห็น เป็นศาสนาอะไร หู ได้ยิน เป็นศาสนาอะไร จมูก การรู้กลิ่น เป็นศาสนาอะไร ลิ้น สภาพธรรมที่ลิ้มรส เป็นศาสนาอะไร การกระทบสัมผัสสิ่งที่ปรากฏ เป็นศาสนาอะไร เป็นสภาพธรรมที่มีจริง สามารถที่จะพิสูจน์ได้ กล่าวถึงได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อ

    ยังมีข้อสงสัยอะไรไหมคะ แล้วแต่ว่าใครต้องการที่จะรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ หรือไม่ต้องการที่จะรู้

    7089 ลักษณะของจิตประการที่ ๔ ชื่อว่าจิตเพราะเป็นธรรมชาติวิจิตร

    นั่นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ซึ่งทุกคนนี้ต่างกันตามลักษณะของจิตประการที่ ๔ ที่ว่า

    อนึ่ง จิตแม้ทุกดวง

    เวลานี้จิตก็เกิดดับไปแล้วนับไม่ถ้วน แต่แม้กระนั้น จิตแม้ทุกดวง ชื่อว่า จิต เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตร ตามควรสมควร โดยอำนาจแห่งสัมปยุตธรรม วิจิตร คือ ต่างๆ ๆ กันไปตามสัมปยุตธรรม คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และการสั่งสมของแต่ละบุคคล

    เพราะฉะนั้นที่จะให้เหมือนกันไม่ได้ ที่จะให้มีความคิดอย่างเดียวกัน เป็นศาสนาเดียวกัน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าแม้แต่รูปร่างกายก็ไม่เหมือนกัน ความคิดนึกย่อมเหมือนกันไม่ได้ ความเห็นความเชื่อต่างๆ ก็ย่อมเหมือนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเองก็ไม่สามารถที่จะทำให้บุคคลทั้งหลายมีความเห็นถูกได้ทุกคน

    เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่สะสมเหตุปัจจัยที่มีโอกาสที่วิบากจะได้ยินได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษา ได้อ่าน ได้พิจารณาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา และเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว จะพิจารณาแล้วก็ใคร่ครวญสอบสวนให้รอบคอบละเอียดขึ้น จนเป็นปัญญาที่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ทรงแสดงไว้ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา

    7090 ความเห็นผิดไม่ได้มีแต่ในลัทธิอื่น แม้แต่ในผู้นับถือพระพุทธศาสนาก็มี

    เพราะฉะนั้นความเห็นผิด ไม่ใช่มีแต่ในลัทธิอื่นนะคะ แม้แต่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ท่านผู้ฟังเองย่อมทราบว่า มีการศึกษาและมีการประพฤติปฏิบัติต่างๆ กัน ซึ่งไม่ใช่ของใหม่ แม้ในครั้งหลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๒ ภิกษุชาววัชชีผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุให้กระทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ก็ได้ตั้งนิกายต่างๆ ตามความเห็นของตน เช่น ข้อหนึ่งที่ว่า ผู้ใดก็ตามที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ต้องเปล่งวาจาว่า “ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ”

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่มีแต่สมัยนี้นะคะ ที่จะมีการเข้าใจข้อประพฤติปฏิบัติผิดพลาดคลาดเคลื่อน มีมาแต่ในครั้งนั้น เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะพิจารณา แล้วเป็นผู้ที่ศึกษาโดยละเอียด เพื่อที่จะให้รู้ว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมสำหรับบุคคลที่ไม่ใช่อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือวิปัญจิตัญญูบุคคล คือ ไม่ใช่บุคคลที่จะรู้เร็ว แต่ว่าบุคคลในสมัยนี้ ถ้าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ต้องเป็นเนยยบุคคลแน่นอน และถ้าไม่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แม้ว่าจะฟังมาก อ่านมาก สนทนามาก กล่าวธรรมมาก ก็เป็นปทปรมบุคคล

    แต่ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อทรงอนุเคราะห์ผู้ที่เป็นเนยยบุคคลและปทปรมะ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาเพื่อที่จะได้รู้จริงๆ ว่า การรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้นคือรู้อะไร และหนทางที่จะรู้การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้จริง ต้องอบรมเจริญอย่างไร

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะต้องเป็นผู้ที่ศึกษา พร้อมกันนั้นก็เข้าใจว่า ประโยชน์ของการศึกษา เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียด แม้แต่ลักษณะของจิตที่ได้กล่าวถึงแล้ว และวิบากจิตซึ่งกำลังเห็น ก็เป็นสติปัฏฐาน เป็นสภาพธรรมที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งในความเป็นอนัตตา ในสภาพที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และกำลังเกิดดับ แต่ว่าต้องฟังให้ละเอียด และต้องพิจารณาโดยละเอียด เพื่อที่การระลึกจะได้ระลึกรู้ได้ตรง ถูกต้อง โดยละเอียด

    ยังมีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะในเรื่องของวิบากจิต

    7091 ทุกขณะในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นวิบาก และ ไม่พ้นจากกิเลส

    เพราะฉะนั้นทุกขณะในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นวิบาก เพราะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่พ้นจากกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงแค่เห็น แค่ได้ยิน แค่ได้กลิ่น แค่ลิ้มรส แค่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังเกิดความยินดีพอใจ หรือว่าความไม่แช่มชื่น ไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางาย ทางใจ ซึ่งเป็นตุที่จะให้เกิดวิบากข้างหน้า

    เพราะฉะนั้นต้องแยกกันให้ตรงนะคะ ความหวัง ความปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะปัจจุบันเป็นเหตุปัจจุบัน ที่จะให้เกิดวิบากข้างหน้า ตรงตามเหตุ คือ ถ้าเป็นอกุศลธรรมเกิดขึ้น ย่อมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ไม่ดี กระทบสัมผัสสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ากุศลจิตเกิด เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ลิ้มรสแล้ว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือคิดนึกเป็นกุศล ผลก็คือว่า จะได้เห็นสิ่งที่ดีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้นถ้าท่านหวังด้วยอกุศลที่จะเป็นเศรษฐีมั่งมี มีสมบัติมากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ลักษณะนั้นเป็นอกุศล อย่าลืมว่า จะไม่ให้ผลเป็นกุศลวิบาก แต่ว่าจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องระลึกรู้ลักษณะของอกุศล เพื่อที่จะละอกุศล เพราะถ้าไม่รู้ก็ไม่ละ แต่ถ้ารู้ย่อมละ และในขณะที่รู้นั้นเป็นกุศล เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นย่อมเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก เมื่อทุกคนยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสอกุศลได้ เพราะว่าพอเห็นก็เกิดอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง ก็จริง แต่อย่าให้ถึงความรุนแรงที่จะให้เป็นทุจริตกรรม พร้อมกันนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศลกรรม และกุศลกรรมที่ควรเจริญอย่างยิ่ง ก็คือสติปัฏฐาน การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที ในขณะนี้ก็ได้ ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ก็ได้ นั่นเป็นกุศลเหตุ ที่จะเป็นเหตุให้กุศลวิบากข้างหน้าเกิดขึ้น

    7092 วิบากเป็นผลของเหตุในอดีต กุศลหรืออกุศลเป็นเหตุให้เกิดวิบากข้างหน้า

    เพราะฉะนั้นเหตุกับผลต้องตรงกันนะคะ วิบาก ขณะเห็น เป็นผลของเหตุในอดีต แต่กุศลหรืออกุศลในปัจจุบันเป็นเหตุของวิบากข้างหน้า อย่าคิดว่า เวลาที่ปรารถนาสิ่งใดด้วยอกุศลแล้วได้สิ่งนั้น อย่าเข้าใจว่า นั่นเป็นผลของการหวัง เพราะเหตุว่าขณะที่หวังเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นกุศลวิบากที่ได้รับหลังจากหวัง ไม่ใช่ผลของอกุศลที่หวัง แต่เป็นผลของเหตุในอดีต แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อกัน จนกระทั่งไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงเวลาที่วิบากเกิดขึ้น ถ้าเป็นผลของกุศลวิบากแล้ว ต้องเป็นผลของกุศลกรรมในอดีต ไม่ใช่เป็นผลเพราะความหวัง หรือความต้องการเมื่อสักครู่นี้ หรือว่าเมื่อวันก่อน เพราะว่าเหตุกับผลต้องตรงกัน

    นี่ก็เป็นเหตุที่จะทำให้เจริญกุศลมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็ควรที่จะละอกุศล แต่อกุศลก็ละยากเหลือเกิน ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ ก็ย่อมจะไม่สามารถจะละอกุศลได้เลย

    7093 สภาพธรรมที่เป็นวิบาก เป็นนามธรรมอย่างเดียว

    แต่ว่าต้องทราบด้วยว่า สภาพธรรมที่เป็นวิบากเป็นนามธรรมอย่างเดียว คือ เป็นจิตและเจตสิกซึ่งเป็นสภาพที่รู้อารมณ์เช่นเดียวกับเหตุ คือ กุศลและอกุศล เมื่อกุศลหรืออกุศลเป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้อารมณ์ ผลของกุศลและอกุศลนั้นก็ต้องเป็นนามธรรม คือ เป็นสภาพที่รู้อารมณ์เช่นเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นวิบากทั้งหมดไม่ใช่รูปธรรมเลย วิบากทั้งหมด ได้แก่ นามธรรม คือ จิตและเจตสิก ซึ่งเป็นผลโดยตรงของเหตุซึ่งเป็นนามธรรม คือ กุศลธรรมและอกุศลธรรม กุศลและอกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดรูปธรรมได้ เช่นเดียวกับกุศลและอกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรมซึ่งเป็นวิบาก แต่ว่ารูปธรรมนั้นไม่ใช่วิบาก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 18
    16 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ