ไม่ใช่ไม่ยอมให้คิด รู้เรื่องได้ตามที่ทรงแสดงไว้ แต่ควรรู้ลักษณะของวิบาก


    ผู้ฟัง    อ้ายนี่มันก็ละเอียดเข้าไป ทีนี้ถ้าพูดถึงสิ่งใหญ่ ๆ เช่น ในพระสูตรหนึ่ง ที่สุภมาณพ ลูกของโตเทยยพราหมณ์ ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลทั้งหลายที่ปรากฏในโลกนี้ ทั้งหมดถาม ๗ คู่ มีอายุสั้น อายุยืน มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณงาม ร่ำรวย ยากจน สูงศักดิ์ ต่ำศักดิ์ เกิดในตระกูลสูง เกิดในสกุลต่ำ มีปัญญา ปัญญาทราม อย่างนี้ที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ เพราะเหตุอะไร

    พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมจำแนกไปตามกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สุภมาณพบอกว่า ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ขอให้ทรงจำแนกโดยพิสดาร พระพุทธองค์ก็เลยทรงแสดงว่า

    ผู้ที่มีอายุสั้น มักจะไปฆ่าสัตว์บ่อย ๆ แล้วเกิดมาอีกชาติหนึ่ง ก็จะมีอายุสั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ หรือวิรัติไม่ฆ่าสัตว์ โอกาสที่จะมาเกิดในชาติใหม่นี้ ก็มีอายุยืน

    ผู้ที่มีความมักโกรธ คือ คนขี้โกรธนั่นเอง ก็จะมีผิวพรรณทราม ผู้ที่ไม่มักโกรธ ก็จะมีผิวพรรณงาม

    คนที่อิจฉาริษยา เกิดมาก็จะไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ ไม่สูงศักดิ์ คนที่อิจฉาลาภของสมณพราหมณ์ ก็จะต่ำศักดิ์ คนที่ไม่อิจฉาริษยาลาภของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ก็จะสูงศักดิ์

    คนที่มีการกราบไหว้ผู้ใหญ่ หรือกราบไหว้ลุกรับผู้ที่ควรกราบไหว้ ก็จะเกิดในตระกูลสูง คนที่ไม่กราบไหว้ต่อผู้ที่ควรกราบไหว้ ก็จะอยู่ในตระกูลต่ำ ผู้ที่สอบถามธรรมกับบัณฑิตทั้งหลาย ก็จะมีปัญญา ผู้ที่ไม่สอบถาม ก็จะทรามปัญญา อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงอย่างนี้ เรื่องของกรรม ผลของกรรม อดีตกรรม ก็แสดงไว้ชัด แต่ทีนี้ไม่ยอมให้คิด มันเรื่องอะไร

    ส.   ไม่ใช่ไม่ยอมให้คิดค่ะ แต่เวลาที่บุคคลใดก็ตาม อายุสั้น รู้ได้ตามที่ทรงแสดงว่า เป็นผลของการเบียดเบียนหรือว่าการฆ่าสัตว์ซึ่งเป็นอดีตกรรม ไม่ใช่หมายความว่า ไม่ให้คิด ความคิดย่อมเกิดขึ้นเสมอ แต่การที่จะรู้ลักษณะของวิบาก ในขณะที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏ โดยรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นวิบาก ไม่ใช่รู้เรื่องของวิบาก แต่เป็นการรู้ลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นวีตราคจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของอดีตกรรม ต้องในขณะที่เกิดขึ้นทางหนึ่งทางใด ใน ๕ ทวาร

    คือ ทางตา เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลังจากนั้นจะคิดว่า เห็นอะไรก็แล้วแต่ แต่การที่กำลังคิด ไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น เพื่อที่จะรู้ลักษณะของวิบาก เวลาที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น และสติระลึกรู้ลักษณะสภาพซึ่งเป็นทุกข์ทางกายในขณะนั้น ที่จะรู้ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นวิบาก เป็นผลของอดีตกรรม ไม่ใช่ในขณะที่คิดถึงเรื่องอดีตกรรม แต่ในขณะที่สติระลึกตรงลักษณะที่เป็นทุกขเวทนาที่ปรากฏที่กาย จึงจะรู้ว่า ขณะนั้นที่กล่าวว่าวิบาก คือ ขณะที่กำลังรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย

    และขณะที่ได้ฟังเรื่องของวิบาก ไม่ใช่ในขณะที่สติกำลังระลึกรู้ลักษณะของวิบาก ขณะที่กำลังฟังเรื่องของผลของปาณาติบาต ขณะนั้นรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือเปล่า รู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏทางหู รู้สภาพที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนั้นหรือเปล่าว่า ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ที่กำลังได้ยินเสียงนั้น เป็นผลของอดีตกรรมอะไร เพราะเหตุว่าอดีตกรรมในอดีต เป็นปัจจัยให้เกิดการได้ยินเสียงนั้น ส่วนการที่จะรู้เรื่องผลของปาณาติบาต นั่นไม่ใช่ในขณะที่ได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้นการรับผลของกรรมนี้ จะต้องรู้ละเอียดว่า วิบากจิตเกิดขึ้นเป็นผลของอดีตกรรมในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่กระทบสัมผัส ส่วนในขณะที่กำลังฟัง คิดเรื่องของผลของกรรมต่าง ๆ ขณะนั้นไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน

    เรื่องธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสได้ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมเจริญปัญญา และพิจารณาอย่างละเอียดด้วย


    หมายเลข 7086
    23 ส.ค. 2558